เมื่อวันที่ 26 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีฟอกเงินทอนวัด สำนวนคดีดำหมายเลข อท.38/2561 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามทุจริตเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระครูกิตติ พัชรคุณ เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค หรือ นายสมเกียรติ ขันทอง อายุ 56 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานฟอกเงินโดยสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินนั้น ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5 (1) (2) (3), 9, 60 กรณีที่พระครูกิตติร่วมกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ พศ. วางแผนยักย้าย- ถ่ายโอนเงินทอนวัดราว 24 ล้านบาทเศษ ที่ได้เบียดบังจากการทุจริตจัดสรรงบประมาณสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ที่เป็นเงินอุดหนุนให้ 12 วัด 13 รายการ จำนวน 28 ล้านบาท ในการบูรณะซ่อมแซมวัด หรือเพื่อโครงการศึกษาพระปริยัติธรรม หรือโครงการเผยแผ่กิจกรรมทางศาสนา

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2562 ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ลงโทษ 13 กระทง กระทงละ 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยมีประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุก 26 ปี ต่อมาอัยการโจทก์และจำเลยยื่นอุทธรณ์

โดยศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่าไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นใดที่ได้จากการไต่สวนที่จะบ่งชี้ให้เห็นว่าระหว่างปีงบประมาณ 2555-2559 จำเลยกับพวกและนายนพรัตน์แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อดำเนินการจัดสรรเงินอุดหนุนโดยทุจริตอย่างไร ข้อเท็จจริงจึงไม่อาจรับฟังได้ตามคำฟ้องที่ศาลชั้นต้นพิพากษานั้นศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยจึงพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน