ปรับ145ล.-ชดใช้เหยื่อพันล้าน
คดีตุ๋นลงทุนซื้อขายแบรนด์เนม
ยกฟ้องแก๊ง-ให้ขังรออุทธรณ์
อธิบดีศาลแย้งร่วมกันฉ้อโกง

‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ อ่วมคดีฉ้อโกงพันล้าน ศาลสั่งคุก 1,155 ปี ปรับ 145 ล้านและชดใช้เงินคืนเหยื่อ ในคดีลวงคนร่วมลงทุนซื้อขายแบรนด์เนม ให้ผลตอบแทนสูงร้อยละ 50 ต่อปี อัยการยื่นฟ้อง 9 จำเลยร่วมกันโกงในคดี ขณะที่ศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยที่เหลือแต่ให้จำคุกไว้รออุทธรณ์ ด้านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาทำความเห็นแย้งว่า ทั้งหมดกระทำผิดร่วมกัน

วันที่ 3 ก.ค. ที่ห้องพิจารณา 903 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีฉ้อโกง ประชาชนหมายเลขดำ อ.1837/2564 ที่พนักงาน อัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท วีเลิฟยัวแบ็ก (ไทยแลนด์) จำกัด จำเลยที่ 1, น.ส.อมราภรณ์ หรือพ.ต.(ญ) พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข จำเลยที่ 2, บริษัท เหนือโลก จำกัด โดย นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กรรมการผู้จัดการ ในฐานะนิติบุคคล จำเลย ที่ 3, นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก อดีตประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน นักธุรกิจพันล้าน จำเลยที่ 4, นายกิตติศักดิ์ เย็นนานนทน์ จำเลยที่ 5, น.ส.ณัฐวรรณ อุตตมะปรากรม ที่ 6, บริษัท เอ็ม โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด โดยน.ส.สิริมา เนาวรัตน์ กรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 7, น.ส.สิริมา เนาวรัตน์ จำเลยที่ 8 และนายกิตติวัฒน์ อ่วมอารีย์ จำเลยที่ 9

ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-9 ตามลำดับ ในฐานความผิด พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 3, 4, 5, 9, 11, 12, 15 พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3, 14(1) ประมวล กฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 341, 343 และให้พวกจำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายที่ยังไม่ได้ รับคืน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 จำเลยทั้งหมด ให้การปฏิเสธ

คดีนี้อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2563 ถึงวันที่ 19 เม.ย. 2564 พวกจำเลยได้ร่วมกันและแยกกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันด้วยการหลอกลวงและแสดงข้อความอันเป็นเท็จ โดยการโฆษณาชักชวนประชาชนมาร่วมลงทุน ซื้อขาย ฝากขายสินค้าแบรนด์เนม เช่น หลุยส์ วิตตอง ชาแนล แอเมส กุชชี่ และสินค้าทำความสะอาดสินค้าแบรนด์เนม เป็นต้น ในหลายรูปแบบคิดโดยจะให้ผลประโยชน์ตอบแทน ร้อยละ 40.15-51.1 ต่อปี ซึ่งเป็น ผลประโยชน์ตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตามที่สถาบันการเงินกฎหมายกำหนดที่ร้อยละ 3.25 ต่อปี จนมีประชาชนจำนวนมากหลงเชื่อร่วมลงทุนกับพวกจำเลยตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่พวกจำเลยตั้งขึ้น

ทั้งที่ความจริงแล้วพวกจำเลยไม่มีเจตนา นำเงินจากประชาชน และผู้เสียหายไปลงทุน ในธุรกิจดังกล่าว เป็นเพียงอุบายเพื่อนำเงินลงทุนมาเพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกจำเลยเท่านั้น สร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาลกว่า 1,000 ล้านบาท ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษพวกจำเลย ตามความผิดด้วย

โดยวันนี้ ศาลได้อ่านคำพิพากษาให้ นายประสิทธิ์ จำเลยที่ 4 ฟังคำผ่านระบบ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไปที่เรือนจำกลางบางขวาง จ.นนทบุรี

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยาน หลักฐาน ของทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้าง แล้วเห็นว่าพยานโจทก์เบิกความสอดคล้อง รู้เห็นด้วยตัวเอง สมเหตุสมผลมีรายละเอียด เชื่อมต่อเป็นลำดับเรื่องราวความเป็นมาของการ กระทำความผิดตั้งแต่เปิดธุรกิจของ จำเลยที่ 1, 3, 4 มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนที่จำเลยที่ 1, 3, 4 ต่อสู้คดีอ้างว่ามีแผนการธุรกิจและคำนวณตามโมเดลธุรกิจดังกล่าวมีความเป็นไปได้ที่จะให้ผลตอบแทนสูงนั้นเป็นเพียงแนวคิดเบิกความลอยๆ ที่โฆษณาหลอกลวงว่าประชาชนผู้เสียหายจะได้รับผลตอบแทนจำนวนมากนั้นไม่สามารถกระทำได้จริง พยานและหลักฐานของจำเลยที่ 1, 3, 4 ยังมีข้อพิรุธน่าสงสัยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐาน ของโจทก์

มีปัญหาต้องวินัจฉัยว่า จำเลยที่ 2, 5-9 กระทำ ความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเพื่อลงโทษจำเลยที่ 2, 5-9 จึงพิพากษายกฟ้องแต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1, 3, 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 342 พ.ร.ก.กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการ กระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14(1) ประกอบมาตรา 83 เป็นความผิดกฎหลายบทต่างกัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชนที่เป็นหนักสุด

ให้จำคุก นายประสิทธิ์ จำเลยที่ 4 กระทงละ 5 ปี จำนวน 321 กระทง รวม 1,155 ปี และปรับจำเลยที่ 1, 3 และ 4 รายละ 5 แสนบาท รวม 321 กระทง รวมเป็นเงิน 145,500,000 บาท อย่างไรก็ตามกฎหมายกำหนดไว้ให้ จำคุกไม่เกิน 20 ปี คงจำคุกนายประสิทธิ์ จำเลยที่ 4 ไว้รวม 20 ปี และให้จำเลย 1, 3 และ 4 ร่วมกันชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหายอัตราร้อยละ 5 ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่ วันฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 2, 5-9 พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามในวันนี้ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ทำความเห็นแย้ง เห็นว่า จำเลยทั้ง 9 รายมีส่วนร่วมรู้เห็น การกระทำผิดด้วย ทั้งนี้การทำความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญานั้นจะอยู่ในสำนวนคดีและหากอัยการยื่นอุทธรณ์ความเห็นแย้งดังกล่าวก็จะอยู่ในการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน