แถลงครั้งแรกเบื้องหลังสู้6ปี

คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา พร้อมด้วยณพ ณรงค์เดช บุตรเขย และทีมทนาย ความ เปิดบ้าน
บุณยะจินดา สุขุมวิท 71 เปิดแถลงเป็นครั้งแรกภายหลังศาลตัดสินให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ชนะ ทุกคดีที่ถูกกล่าวหาปลอมลายเซ็น-เอกสาร

เมื่อวันที่ 2 พ.ย. คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา พร้อมด้วย นายณพ ณรงค์เดช ลูกเขย พร้อมนายอภิวุฒิ ทองคำ ที่ปรึกษากฎหมายได้เปิดบ้านบุณยะจินดา สุขุมวิท 71 ร่วมแถลงข่าว ภายหลังศาลพิพากษาให้ชนะคดีปลอมลายเซ็นและปลอมเอกสาร คดีหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด

คุณหญิงกอแก้วกล่าวว่า ในชีวิตไม่เคยคิดว่าจะต้องออกมาแถลงข่าวใดๆ ที่ผ่านมาไม่ได้ออกมาพูดหรือให้ข่าวอะไร ก็เพราะต้องการความชัดเจนของกฎหมายและศาล บัดนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ตนไม่ได้โกงใคร และไม่ได้ปลอมลายเซ็นใครตามที่กล่าวหา ที่ผ่านมามีการเผยแพร่ข่าวที่ไม่ครบถ้วน ทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด

“ดิฉันในวัย 70 ปีแล้ว ครอบครัวอยู่อย่างสงบ ร่มเย็นเป็นสุข และใช้ชีวิตอย่างสบายๆ ไม่ได้ต้องการอะไรของใคร วันหนึ่งเมื่อลูกมาขอความช่วยเหลือ ดิฉันก็ต้องช่วยเหลือ เพราะณพ เป็นพ่อของหลานสองคน และเป็นสามีของลูกสาว วันนั้นไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเค้าเลย และไม่มีใครอยากยุ่งกับบริษัทนี้ ดิฉันเมื่อรักลูกรักหลานก็ต้องรักลูกเขยด้วย วันนั้น ถ้าดิฉันไม่ได้ซื้อหุ้นวินด์ฯ ไว้ บริษัทอาจถึงขั้นล้มละลาย เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ ก็จะไม่ให้สินเชื่อ ณพมาพูดกับดิฉันเป็นคนสุดท้ายเพื่อจะมาขอความช่วยเหลือ ดิฉันจึงตัดสินใจว่าดิฉันจะให้ความช่วยเหลือแต่มีเงื่อนไขว่า แม่จะไม่ออกหน้านะ ขอให้ณพหาคนที่ ไว้ใจได้มาใส่ชื่อแทนแม่ ซึ่งดิฉันก็ไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์วุ่นวายจะเกิดขึ้น เมื่อวินด์ฯ พ้นวิกฤตและทำรายได้ปีละหลายพันล้านบาท เมื่อนั้นคดีความต่างๆ การกล่าวหาก็มา เพื่อต้องการอยากได้หุ้น ถ้าคุณลงทุน คุณก็ได้หุ้น ถ้าคุณไม่ลงทุน คุณย่อมไม่มีสิทธิ์ อันนี้เป็นข้อที่ชัดเจน” คุณหญิงกอแก้วกล่าว

คุณหญิงกอแก้วกล่าวต่อว่า เมื่อคุณไม่ได้ลงทุนแต่อยากได้หุ้น เมื่อไม่ได้หุ้นก็เบี่ยงเบนหลักฐาน ความจริง การเงิน ทุกอย่างเรามีครบ ไม่ใช่พูดไปเรื่อย พูดไม่ครบประโยคไม่ครบเรื่อง พูดเพียงบางส่วนทำให้คนอื่นได้รับความเสียหาย จึงขอให้สังคมลองย้อนกลับไปถึงตอนนั้น บริษัทซึ่งไม่มีคุณค่า ไม่มีราคา ไม่มีใครอยากได้ ขอยืนยันว่า ตนไม่เคยโกงใครและไม่ได้ปลอมลายเซ็นใคร ตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าศาลได้พิพากษาออกมาทั้ง 3 ศาล ว่าตนไม่ได้โกงและไม่ได้ปลอมลายเซ็นใครอย่างที่กล่าวหา

ชนะทุกคดี – คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา พร้อมนายณพ ณรงค์เดช บุตรเขย เปิดแถลงข่าวครั้งแรก หลังศาลตัดสินให้เป็นผู้บริสุทธิ์คดีปลอมลายเซ็น และปลอมเอกสาร ซึ่งยกฟ้องทุกคดี เมื่อวันที่ 2 พ.ย.ที่บ้านบุณยะจินดา สุขุมวิท 71

จากนั้น นายอภิวุฒิ ที่ปรึกษากฎหมาย คุณหญิงกอแก้ว กล่าวสรุปคำพิพากษาชนะคดีตลอด 6 ปีเต็ม โดยคดีที่ 1 – คดีฮ่องกง HCA 1525/2018 (ศาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง) ซึ่งมีนายเกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์ ฟ้อง ซึ่งคำพิพากษา อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง โดยให้ชำระค่าใช้จ่ายในอัตราสูงสุด 70-80 ล้านบาทให้แก่จำเลย ในกรณีจะมีการดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าใช้จ่ายต่อไป

ส่วนคดีที่ 2 – คดีใช้เอกสารปลอม อ.2497/2561 (ศาลอาญา รัชดา) นายเกษม ณรงค์เดช เป็นโจทก์อ้างว่าตนเองในฐานะ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด ฟ้องคุณหญิงกอแก้ว จำเลยที่ 1 ณพ จำเลยที่ 2 และสุรัตน์ จิรจรัสพร จำเลยที่ 3 เรื่องความผิดเกี่ยวกับเอกสาร ซึ่งศาลได้พิพากษายกฟ้อง พยานผู้เชี่ยวชาญยันกัน ไม่อาจรับฟังเป็นยุติ ลายมือชื่อไม่ได้ผิดแผกแตกต่างให้เห็นชัดเจน ว่าเป็นลายมือชื่อปลอม อีกทั้งเงินช่วยเหลือจากครอบครัวก็เป็นเงิน กู้ยืม ซึ่งนายณพรับผิดชอบภาระหนี้และการบริหารจัดการคนเดียว จึงไม่ใช่การร่วมลงทุนในความหมายของกฎหมาย พยานโจทก์รับฟังไม่ได้โดยปราศจากข้อสงสัย ว่าเอกสาร ทั้ง 3 ฉบับเป็นเอกสารปลอม

คดีที่ 3 – คดีเรียกทรัพย์คืน พ.1031/2562 (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) นายเกษมเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลย 14 คน และมีจำเลยร่วมอีก 31 คน เมื่อปี 2562 เรื่องให้เรียกทรัพย์คืน (หุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด) โดยคำพิพากษา โจทก์ขอถอนฟ้อง ไปเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2566 ซึ่งเรื่องนี้ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินปันผลของบริษัท วินด์ฯ โดยให้เหตุผลชัดเจนว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแม้หากฟังว่า นายเกษมให้หุ้นดังกล่าวแก่นายณพ การเรียกคืนจะต้องปรากฏว่า นายณพ ประพฤติเนรคุณ แต่ไม่ปรากฏเหตุว่าประพฤติเนรคุณ

คดีที่ 4 ผิดสัญญา เรียกทรัพย์คืน พ.978/2565 (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) โดย นายกฤษณ์ และนายกรณ์ เป็นโจทก์ร่วมฟ้อง นายณพ เป็นจำเลยที่ 1 บริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ เป็นจำเลยที่ 2 บริษัท โกลเด้น มิวสิค ลิมิเต็ด จำกัด เป็นจำเลยที่ 3 และคุณหญิงกอแก้ว เป็นจำเลยที่ 4 เมื่อปี 2565 เรื่องสัญญาเพิกถอนนิติกรรม เรียกทรัพย์คืน โดยคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ทั้งสองไม่สามารถนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่า เอกสารในการโอนหุ้นไม่เป็นเอกสารที่แท้จริง หรือเป็นพยานเอกสารที่รับฟังไม่ได้เพราะเหตุใด จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของหุ้นพิพาท ไม่จำต้องโอนหุ้นคืนแก่โจทก์ทั้งสอง

คดีที่ 5 – คดีปลอมลายเซ็น อ.1708/2564 (ศาลอาญากรุงเทพใต้) คดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 1) เป็นโจทก์ฟ้องนายณพ กับพวกรวม 3 คน เมื่อปี 2564 ในฐานความผิดร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอม โดยคำพิพากษา ยกฟ้อง

ด้านนายณพกล่าวว่า เป็นเวลา 6 ปีแล้ว ที่มีบุคคล 2 กลุ่ม คือนายนพพร ศุภพิพัฒน์ กับพี่และน้อง คือนายกฤษณ์ และนายกรณ์ ณรงค์เดช ที่ได้เผยแพร่ให้ข่าวเกี่ยวกับที่ พวกเขาได้ฟ้องคดีตนและคุณหญิงกอแก้ว โดยใช้วิธีการให้ข่าวที่เบี่ยงเบนประเด็นโดย ไม่ให้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วน ทำให้ผู้ติดตามข่าวเกิดความเข้าใจผิดว่าตนไปโกงนายนพพร และโกงพี่น้อง ซึ่งทำให้ตน คุณหญิงกอแก้ว ภรรยา และลูกๆ ตน เสื่อมเสียชื่อเสียงและ ได้รับผลกระทบมากมาย โดยที่ตนเลือก ไม่ตอบโต้ เพื่อรอให้ศาลพิพากษาครบทุกคดี กระทั่งเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2566 ศาลแขวงพระนครใต้ ซึ่งเป็นคดีที่นายนพพรได้ฟ้องตนและพวกรวม 14 คน ในคดีโกงเจ้าหนี้ เป็นคดีอาญา ซึ่งศาลได้ยกฟ้องจำเลยทุกคนเช่นเดียวกัน “ความจริงคืออะไร ใครกันแน่ที่โกง”

นายณพยืนยันว่า เงินจ่ายค่าหุ้นให้นพพร ก้อนแรก 90.5 ล้านเหรียญ ก้อนหลังอีก 85.75 ล้านเหรีญ รวมกันแล้ว 6 พันกว่าล้านบาท ซึ่งเงินส่วนน้อยที่กู้ยืมจากครอบครัว และมีการใช้คืนพร้อมดอกเบี้ยแล้ว ปัจจุบันเหลือหนี้ ไม่ถึง 500-600 ล้านบาท ตามที่พี่ชายกล่าวอ้างยืนยันว่าตระกูลณรงค์เดช ไม่มีส่วนในการเซ็นค้ำประกันในการจ่ายค่าหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ฯ เลย กระทั่งการกู้เงินสำหรับใช้ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานลมเอง ครอบครัวก็ไม่มีเซ็นค้ำประกันเลย ยืนยันเป็นเงินที่ตนจัดหามาเองทั้งหมด

“เรื่องที่ผมเสียใจที่สุดคือการที่ คุณพ่อ (นายเกษม ณรงค์เดช) ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพียงเพราะมีคนต้องการผลประโยชน์จากหุ้นวินด์เอนเนอร์ยี่ฯ นอกจากนี้ ผมและลูกๆ ไม่ได้รับโอกาส ให้เข้าไปพบคุณพ่อตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา เพราะความขัดแย้งของพี่น้อง และยังคงเฝ้ารอโอกาสที่จะได้เข้าพบคุณพ่อเสมอ ปัจจุบันนี้ ธุรกิจที่มี 3 พี่น้อง กฤษณ์ ณพ และกรณ์ ณรงค์เดช เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกันนั้น มีเพียงบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ เท่านั้น โดยถือหุ้นคนละ 1 ใน 3 จนกระทั่งเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องหุ้นวินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง ทำให้ผมถูกกันออกมา ไม่ได้ร่วมบริหารหรือร่วมตัดสินใจใดๆ รวมทั้งการที่ บริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ด้วย ทั้งๆ ที่ผมถือหุ้น 1 ใน 3” นายณพกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน