ย้ำตร.ไม่จับแพะ
เน้นหลักฐานชัด

‘บิ๊กปั๊ด’ แจงกมธ.กฎหมายฯลั่นตำรวจไม่กดดันไม่ตั้งธงหาแพะทำคดีตามพยานหลักฐาน-ยึดกฎหมายส่วนเรื่องสอบชาวบ้านกว่า 900 ปากนั้น ไม่ใช่การสอบสวนทั้งหมด แค่เรียกมาพูดคุยใครมีประเด็นเป็นประโยชน์ค่อยสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง หมอจุฬาฯ ย้ำชันสูตร 2 ครั้งผลใกล้เคียงกัน พิสูจน์ได้แค่เสียชีวิตเพราะขาดอาหาร แต่ไม่อาจระบุได้ว่าใครเป็นคนทำ แม่ยังย้ำไม่เชื่อลูกสาวเดินหลงเข้าป่าเอง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 15 ก.ค. ที่ห้องประชุม 408 รัฐสภา การประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกมธ. เป็นประธานในที่ประชุม เชิญพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รองผบ.ตร.

ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีการเสียชีวิตของด.ญ.อรวรรณ หรือน้องชมพู่ วงศ์ศรีชา อายุ 3 ขวบ ที่หายจากหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ก่อนไปพบศพบนภูเขาเหล็กไฟ ในเขตอุทยานแห่งชาติภูผายล

นายสิระกล่าวว่า ที่ผ่านมาการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการเรียกประชาชนเกือบ 1,000 คน เข้าให้ปากคำ และตรวจดีเอ็นเอจำนวนมาก ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทางคณะกมธ. จึงต้องการทราบข้อเท็จจริงถึงแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ในคดีดังกล่าว

ด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ ชี้แจงว่า ตั้งแต่ทำคดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ให้ข่าวทุกวัน แต่จะให้เท่าที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อป้องกันความสับสน และเจ้าหน้าที่คำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของประชาชน รวมถึงประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย

ทั้งนี้ การทำงานในขณะนั้น เนื่องจากเราพบวัตถุพยานหลายอย่างจาก ร่างกายด.ญ.อรวรรณที่สกัดเอาดีเอ็นเอออกมาได้ จึงต้องพยายามหาตัวอย่างมาเปรียบเทียบ ซึ่งกรณีที่ดีเอ็นเอตรงกันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนร้ายเสมอไป

ส่วนคน 900 กว่าคน ที่เจ้าหน้าที่เรียกมาไม่ได้ถูกสอบสวนทุกคน แต่เป็นการพูดคุยซักถาม หากคนใดมีประโยชน์จึงเข้าสู่กระบวนการสอบปากคำในลักษณะพยานในสำนวนการสืบสวน ประมาณ 63 ราย โดยไม่ได้บังคับแต่เป็นการพูดคุยด้วยความสมัครใจ และไม่มีการกระทำใดที่เป็นการละเมิดสิทธิ ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครบอกว่าถูกตำรวจคุกคาม ในทางกลับกันชาวบ้านในหมู่บ้านอยากรู้ความจริงว่าเด็กขึ้นไปบนเขาได้อย่างไร

“การเก็บดีเอ็นเอ เราทำตามป.วิอาญา ม.131 โดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอบรมมา มีบันทึกความยินยอมทุกฉบับในการเก็บดีเอ็นเอ เรื่องนี้ถือเป็นคดีแรกในชีวิตที่ไม่เคยเห็นที่ไหนในโลกที่เป็นประเด็นในข่าวทุกวันกว่า 60 วัน ผมไม่เคยเจอ

แต่ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่กดดัน เราทำตามพยานหลักฐาน เพียงแต่การทำงานยากขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานด้วยความระมัดระวัง ขอให้เชื่อว่าเราดูเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ดูเป็นท่อนๆ ยืนยันว่า เราทำตามกฎหมายไม่ทำอะไรนอกอำนาจหน้าที่

ส่วนประเด็นตั้งธงหาแพะนั้น ยืนยันว่าการทำคดีไม่จำเป็นต้องจับคนร้ายได้ทุกคดี การสืบสวนสอบสวนมีเส้นทางของมัน หากไม่ได้จริงๆ ก็พักการสอบสวนตามป.วิอาญาได้ แต่อำนาจการสอบสวนยังอยู่ ซึ่งทีมสอบสวนของเราไม่ได้รู้สึกกดดัน” พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว

กมธ.สอบถามถึงการชันสูตรศพ 2 ครั้งที่แตกต่างกัน รองผบ.ตร. ชี้แจงว่า ที่ต้องผ่า 2 ครั้ง เพราะครั้งแรกญาติยังติดใจสงสัย ว่ามีข้อมูลเพิ่มเติมจากผู้เชี่ยวชาญอื่นหรือไม่ ครอบครัวจึงร้องขอให้ผ่าเป็นครั้งที่ 2 หากผลขัดแย้งกันต้องหาคำอธิบาย ยืนยันว่าคดีนี้มีแต่ข่าวที่นำเสนอไปเองว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศ ตำรวจยังไม่เคยสรุปแบบนี้ เพราะการผ่าครั้งที่ 2 ผลอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงได้

เช่น การขนย้าย แพทย์ที่ชันสูตรมีคำอธิบายอยู่แล้ว ขอย้ำว่าทุกวันนี้เป็นการสรุปคดีกันเอาเอง ส่วนที่ต้องเก็บดีเอ็นเอสื่อมวลชนด้วยนั้น เพราะวันนั้นสื่อตามขึ้นไปทำข่าวด้วย ไม่ใช่การเก็บเรื่อยเปื่อยที่ทำมีเหตุผลสนับสนุน ส่วนที่ประชาชนร้องเรียนว่าถูกคุกคาม ตำรวจพร้อมปรับการทำงานและสามารถร้องเรียนมาที่ตำรวจได้

“ประเด็นละเมิดทางเพศเป็นเรื่องที่อยู่ในสำนวน ส่วนศพน้องไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร มีแค่ 2 ทาง คือ ไปเองหรือมีใครพาไป ดังนั้น ต้องมาดูเปอร์เซ็นต์ความเป็นไปได้ว่าน้องสามารถไปเองได้หรือไม่ แต่ตำรวจยังไม่เคยสรุปว่า ศพไปอยู่ตรงนั้นวันไหนเมื่อไหร่ เพราะอาจจะไปพักที่อื่นมาก่อนก็ได้ เส้นผมขาดได้อย่างไร

ยืนยันว่าตำรวจยังไม่ได้ตัดประเด็นเหล่านี้ เพราะทุกอย่างต้องมีคำตอบ แม้ว่าจะจับคนร้ายได้หรือไม่ก็ตาม แต่ต้องมีเหตุผลอธิบายได้ ย้ำว่าทุกฝ่ายอย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไร ประชาชนต้องใช้วิจารณญาณ” พล.ต.อ.สุวัฒน์กล่าว

ด้าน ศ.นพ.วิรัติ พาณิชย์พงษ์ กรรมการแพทยสภา กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีกรรมการขึ้นมาเปรียบเทียบการผ่าศพ 2 ครั้ง เหมือนกับคดีนายห้างทอง ธรรมวัฒนะ เพื่อผ่าครั้งที่ 3 ว่าแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งให้แพทยสภารับผิดชอบเรื่องนี้ได้ เพราะคดีนี้พฤติการณ์ตายยังไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร

แต่กลับมีการข้ามขั้นไปตรวจดีเอ็นเอหาสาเหตุการตายแล้วซึ่งเป็นเป็นเรื่องยาก เพราะศพเน่าไปแล้ว ดังนั้น ต้องหาสาเหตุการตายให้ได้ก่อนว่ามีข้อสันนิษฐานอย่างไร

นพ.ภาณุวัฒน์ ชุติวงศ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และอาจารย์ประจำภาควิชานิติเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นปัญหาที่สื่อมวลชน เพราะเข้าไปถามข้อมูลจากพยานถึงเรื่องในครอบครัว

ดังนั้น คดีนี้มีความกดดันอย่างแน่นอน ส่วนการผ่าศพ 2 ครั้ง ยืนยันว่า ในทางนิติเวชไม่มีทางจะได้ข้อมูลมากกว่าครั้งแรก แต่ครั้งที่ 2 อาจถูกชี้นำได้ ในทางการแพทย์ไม่มีใครอยากผ่าซ้ำ และการผ่าครั้งที่ 2 ผ่าได้ยากมาก แต่ในทางสังคมมักเชื่อไปเองว่าครั้งที่ 2 จะได้ผลมากกว่าครั้งแรก

ส่วนตัวคิดว่าคดีนี้กำลังมาผิดทาง เพราะเมื่อได้ผลจากครั้งแรกไม่พอใจต้องส่งไปผ่าครั้งที่ 2 เสมอ ทำให้ประชาชนรู้สึกไม่มั่นใจในการทำหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน

“เมื่อผลออกมาต่างกัน คำตอบก็จะไปออกในผลที่น่าพอใจมากที่สุด ทั้งที่ไม่รู้ว่าผลครั้งไหนถูกต้อง และคดีนี้จากการชันสูตรสาเหตุการตายว่ามาจากการขาดอาหารก็มีความเป็นไปได้ แต่ถ้าจะถามว่าใครพาขึ้นไป ทางการแพทย์ไม่สามารถตอบได้ และขอให้ตำรวจแยกสิ่งตรวจพบ

และความเห็น โดยเฉพาะสื่อที่พอหาคำตอบไม่ได้ ก็ไปหาความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญที่ไม่เกี่ยวข้องในคดีจนเกิดความสับสน” นพ.ภาณุวัฒน์กล่าว

วันเดียวกัน นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา อายุ 39 ปี มารดาด.ญ.อรวรรณ เผยถึงประเด็นที่วันนี้ผลชันสูตรศพรอบที่ 3 ว่า ยังไม่ปักใจเชื่อว่าลูกสาวเดินไปเสียชีวิตด้วยตัวเอง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากลูกสาวขึ้นเขาไปคนเดียวต้องเห็นเสื้อน้องที่สวมใส่ ต่อให้ถอดเสื้อก็ต้องอยู่แถวนั้นแหละ

อย่างไรก็ไม่เชื่อว่าลูกสาวขึ้นไปเอง หากเป็นเช่นนั้นต้องทำเหมือนลูกสาวทุกอย่างเลย ตื่นเช้ามาไม่ต้องรับประทานอะไรเลย หรือรับประทานเหมือนน้องคือ 07.00 น. รับประทานไข่เจียวนิดหน่อย 08.00 น. ดื่มน้ำส้มอีกนิดหน่อย แล้ว 09.00 น. ลองเดินขึ้นเขาดูสิว่าจะเหนื่อยมั้ย ไม่ต้องเอาเด็กใช้ผู้ใหญ่ก็ได้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยพาลูกสาวขึ้นไปบนเขาเลย และปกติลูกสาวชมพู่ไม่ใช่เด็กขี้กลัว หากคนที่ไม่รู้จักมาจับแขนจะสะบัดออกเลย

นางสาวิตรี เปิดเผยต่อว่า ยิ่งประเด็นที่ว่าระหว่างทางขึ้นเขาที่เป็นทางลัดจะมีก้อนหินที่ต้องปีนขึ้นไป ความสูงกว่า 90 ซ.ม. นั้น ลูกสาวมีส่วนสูงเพียงแค่ 93 ซ.ม. และโดยปกติมักจะไม่ปีนอะไรแบบนั้น แม้บันไดบ้านยังไม่เดินขึ้นไป หรือแม้กระทั้งแค่นั่งไม้หน้าบ้านที่มีความสูง 50 ซ.ม.กว่าๆ ยังจะไม่ขึ้นเลย ทำให้ไม่เชื่อว่าลูกสาวจะขึ้นไปเอง ต่อให้หลงไปเองจริงๆ ก็จะไม่ไปหลงอยู่ในจุดพบศพ ยังสงสัยว่าถ้าน้องหลงไปเองจริง เสียชีวิตเอง ต้องมีคนไปพบศพน้องแล้วพาน้องไปข้างบน

“ส่วนถ้าเจ้าหน้าที่จะมีการพักการสอบสวนในคดีนี้ ทางเจ้าหน้าที่ก็มาบอกฉันให้ได้ว่า ทำไมถึงต้องพัก ซึ่งฉันนก็จะต้องฟังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนที่เรื่องสังคมไม่เข้าใจในคดีนี้ แล้วมีการวิจารณ์ต่างๆ นานา อยากให้พวกเขาลองมาลงพื้นที่ดู แล้วจะรู้ว่าการขึ้นเขามันมีความลำบากเพียงใด และสังคมจะมองว่าฉันมีส่วนเกี่ยวข้องนั้น ฉันเป็นแม่ ฉันปล่อยให้คดีมันยาวนานถึง 2 เดือนเพื่ออะไร” นางสาวิตรีกล่าวปิดท้าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน