17คนจนมุม-หัวโจกด้วย ฝากขัง-ศาลไม่ให้ประกัน

ศาลส่งเข้าคุกไม่ให้ประกัน 2 แก๊งเถื่อนปู่เจ้า-สำโรงยกพวกตีกันในโรงพยาบาลชกหมอหญิงคว่ำ ตัวหัวโจกสารภาพไปเหยียบถิ่นอริเพราะจะเอายาบ้าไปแลกสว่านไฟฟ้า ก่อนถูกรุมตื้บจนต้องเรียกเพื่อนมาเอาคืนจนเหตุบานปลาย ส่วนคนชกหมอหญิงอ้างขาดสติที่รู้ข่าวเพื่อนตายแล้ว พญ.เหยื่อหมัดผวาจ่อขอย้ายที่ทำงาน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.ค. ที่สภ.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ พนักงานสอบสวนทีมบูรณาการของจังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทร ปราการ ที่สั่งตั้งคณะทำงานทีมพนักงานสอบสวนเฉพาะกิจเร่งทำสำนวนในคดีกลุ่ม วัยรุ่นยกพวกตีกันในโรงพยาบาล 2 แห่ง ทำร้ายร่างกายแพทย์หญิงและบุคลากรทางการ แพทย์จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา

ฝากขัง – ตำรวจนำกลุ่มผู้ต้องหาคดีทะเลาะวิวาทในร.พ. และทำร้ายพญ.-เจ้าหน้าที่ร.พ.วิภารามชัยปราการ ไปฝากขังต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาศาลไม่ให้ประกันตัว ส่งเข้าเรือนจำ เมื่อวันที่ 21 ก.ค.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.ค. ที่สภ.สำโรงใต้ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ พนักงานสอบสวนทีมบูรณาการของจังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ต.ชุมพล พุ่มพวง ผบก.ภ.จว.สมุทร ปราการ ที่สั่งตั้งคณะทำงานทีมพนักงานสอบสวนเฉพาะกิจเร่งทำสำนวนในคดีกลุ่ม วัยรุ่นยกพวกตีกันในโรงพยาบาล 2 แห่ง ทำร้ายร่างกายแพทย์หญิงและบุคลากรทางการ แพทย์จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา

พนักงานสอบสวนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดทยอยออกมาพิมพ์ลายนิ้วมือและทำสำนวนคดีแยกเป็นรายบุคคล โดยแบ่งเป็นคดีทะเลาะวิวาทในพื้นที่ หมู่ 10 ต.บางหญ้าแพรก อ.พระประแดง, ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน โดยใช้กำลังประทุษร้าย กรณีเหตุเกิดที่ร.พ. วิภาราม-ชัยปราการ และร.พ.เมืองสมุทรปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อส่งฝากขังผัดแรกยังศาลจังหวัดสมุทรปราการ เบื้องต้นผู้ต้องหา ผู้ร่วมก่อเหตุทั้งหมดที่ถูกจับกุมรวม 17 ราย เหลืออีก 1 ราย อยู่ระหว่างการติดตามจับ กุมตัว เบื้องต้นศาลไม่ให้ประกันตัว ก่อนให้ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คุมผู้ต้องหาทั้งหมดส่งขังที่เรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบสวนนายอรรถพล หรือแฮ็ก บุญประเสริฐ ที่เป็นตัวต้นเรื่องให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเข้าไปในซอยโรงน้ำแข็ง เพราะต้องการนำเอายาบ้าจำนวน 10 เม็ดไปแลกกับสว่านไฟฟ้ากับคนรู้จักคนหนึ่งในซอยดังกล่าว และต้องเดินผ่านหน้าบ้านของกลุ่มอริ แต่ถูกสั่งห้ามและขู่จะแจ้งตำรวจข้อหาบุกรุกทำให้เกิดมีปากเสียงกัน และถูกฝ่ายตรงข้าม 2 คน เข้ามารุมชกต่อยก่อนจนกองกับพื้น จึงขี่รถกลับออกมาและโทร.หาเพื่อนภายในซอยวัดมหาวงศ์ เพื่อบอกกับเพื่อนว่าตนถูกทำร้ายขอให้มาช่วยหน่อย เพื่อนจึงนัดรวมตัวกันภายในซอยมหาวงศ์ก่อนจะพากันตามไปเอาคืน

จังหวะที่ชุลมุนกันปรากฏว่า นายรัชต์พงษ์ หรือคิว วาสนา อายุ 22 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนที่ตามมาช่วย ถูกฝ่ายตรงข้ามใช้เหล็ก ขูดชาฟต์ แทงเข้าที่ไหปลาร้าจนล้มลงก่อนจะพากันแยกย้ายหลบหนี จึงรีบช่วยกันพา นายรัชต์พงษ์ขึ้นรถจักรยานยนต์ขี่มาส่ง โรงพยาบาลจนกระทั่งเกิดเหตุบานปลายขึ้นตามที่ปรากฏเป็นข่าว หลังคำให้การของนาย อรรถพลเจ้าหน้าที่จึงพาตัวไปชี้จุดที่ซ่อนยาบ้า 10 เม็ด และตั้งข้อหาเพิ่มร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุทำให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ และครอบครองยา เสพติดประเภท 1 ยาบ้า

ด้านนายภานุวัฒน์ หรือกั๊ก แย้มสุข อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุชกแพทย์หญิงภายในห้องฉุกเฉินของร.พ.วิภาราม-ชัยปราการ ให้การยอมรับว่า เป็นผู้ก่อเหตุจริงเนื่องมาจากความโมโหที่ทราบว่านายรัชต์พงษ์เสียชีวิตแล้ว โดยทันทีที่ได้ยินจึงเข้าไปสอบถามว่าใครเป็นคนบอกว่าเพื่อนของตนเสียชีวิต จนมีคุณหมอหญิงพูดขึ้นมาว่าหมอเอง จึงเกิดความโมโหเข้าไปชกที่ใบหน้าข้างขวาของคุณหมอจนล้มลง จากนั้นเจ้าหน้าที่บุรุษพยาบาลชายที่อยู่ใกล้กับคุณหมอหญิงได้พยายามเข้าชกต่อยตน ทำให้นายนิพล หรือมิน วันชม อายุ 23 ปี น้องชาย เข้ามาช่วยและชกบุรุษพยาบาล ก่อนที่ญาติของนายรัชต์พงษ์ผู้เสียชีวิตจะเข้าห้ามและขอร้องไม่ให้มีเรื่อง จึงพากันเดินออกจากห้องฉุกเฉินมา

ขณะที่นายนิพลสารภาพว่า เป็นคนต่อยบุรุษพยาบาลจริงเพราะเห็นว่าเข้าช่วยหมอและพยายามจะต่อยพี่ชายจึงพุ่งเข้าชกอย่างจังก่อนจะถูกห้ามและแยกย้ายออกมา

วันเดียวกัน ที่ร.พ.วิภาราม-ชัยปราการ พล.อ.ท.นพ.ชูพันธ์ ชาญสมร ผอ.ร.พ.วิภาราม- ชัยปราการ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องยอมรับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน แนวทางการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ก็ทำตามมาตรฐานสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ.ญ.ธนิกานต์ สู่พานิช ซึ่งเป็นผู้ทุ่มเทในการช่วยเหลือยื้อชีวิตให้ 50 นาที หลังไม่มีชีพจรก่อนมาถึงโรงพยาบาล แต่กลับถูกทำร้ายร่างกาย ขณะนี้คุณหมออยู่ในอาการขวัญหนีดีฝ่อและยังไม่ได้กลับมาปฏิบัติงาน อีกทั้งยังไม่แน่ชัดว่าจะกลับเข้ามาทำงานภายในสถานที่นี้อีกหรือไม่ เนื่องจากเกรงกลัวว่ากลุ่มวัยรุ่นจะกลับมาทำร้ายอีก โดยเบื้องต้นให้หยุดพักงานอย่างเต็มที่ไปก่อน พร้อมทั้งพยายามปลุกขวัญกำลังใจเพราะเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหลังจากนี้กรมสุขภาพจิตจะลงพื้นที่มาช่วยกันดูแล

ส่วนบุคลากรที่ได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย ยังคงต้องสร้างขวัญและกำลังใจเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่ทำให้บุคลากรทั้งหมดเกิดความเชื่อใจนั้น ต้องสร้างความเชื่อมั่นว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะ ต้องไม่มีผู้ใดก่อเหตุในลักษณะเช่นนี้อีก และผู้กระทำต้องถูกลงโทษอย่างสาสม สำหรับแนวทางการป้องกันนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ได้ร่วมกันลงพื้นที่ภายในโรงพยาบาล เพื่อวางมาตรการการป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก ตัวอย่างเช่นสัญญาณเตือนภัย เสมือนร้านทอง แต่คงไม่จำเป็นที่จะต้องมี เจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่เพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น

“ส่วนกระแสข่าวเรื่องแพทย์หญิงทำหนังสือขอย้ายส่งตัวไปปฏิบัติหน้าที่ประจำการยังสถานที่อื่นนั้น ขณะนี้ยังไม่มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน เพียงแค่ขอหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปก่อน และใครจะเข้า ขอพบก็ปฏิเสธเนื่องจากสภาพจิตใจย่ำแย่ สิ่งหนึ่งที่เราสบายใจคือเครือข่ายโรงพยาบาลวิภารามมีหลายแห่ง อาจจะเปลี่ยนสถานที่ทำงานให้กับคุณหมอเพื่อความปลอดภัย ก็สุดแล้วแต่คุณหมอจะเลือก” ผอ.ร.พ.วิภาราม- ชัยปราการ กล่าว

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เรื่องการทะเลาะวิวาทกันเป็นเรื่องน่าตำหนิ เพราะไปโทษหมอว่าไม่รักษาให้รอดชีวิต เป็นเรื่องของอารมณ์ กระทรวงสาธารณสุขโดยอธิบดีกรมสนับสนุน สุขภาพที่ดูแลควบคุมโรงพยาบาล จะเข้าไปตรวจสอบ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่โรงพยาบาลทำผิดและไม่ใช่การประกอบโรคศิลปะที่ผิด ดังนั้น ฝ่ายปกครองโดยเฉพาะตำรวจต้องดำเนินการอย่างเฉียบขาด อย่าให้คนพวก นี้ไปทำความเดือดร้อนให้กับประชาชนโดยเฉพาะแพทย์

นายอนุทินกล่าวว่า ผู้บริหารโรงพยาบาลต้องแจ้งความดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องหุนหันพลันแล่น ส่วนที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้บ่อย มองว่าไม่เกี่ยวกับ โรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลทุกพื้นที่มีมาตรการป้องกันอยู่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของจิตสำนึก ไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ ถ้านำอารมณ์มาบอกว่าหมอรักษาคนไข้ต้องหายทุกคน ถ้าไม่หายจะไปรุมทำร้ายหมอ ถามว่ามันถูกหรือไม่ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เรื่องแบบนี้ยอมความไม่ได้ เพราะเป็นคดีอาญา และเป็นพฤติกรรมที่แย่

ต่อมาเมื่อเวลา 16.30 น. ที่สภ.สำโรงใต้ พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผบ.ตร. เดินทางมาติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนว่า ในวันนี้ทางผบ.ตร. ได้มอบหมายให้ตนมาตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของทางเจ้าหน้าที่ในด้านต่างๆ ในส่วนหน้าที่ของตนมีอยู่ด้วยกัน 2 ประการ ประการแรกต้องกราบขอโทษประชาชน และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาดูแล ไม่ครบถ้วนในแผนการปฏิบัติในบางส่วน โดยเฉพาะการประเมินสถานการณ์ที่ไม่ครอบคลุม ขณะนี้เตรียมความพร้อมเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก

อีก 1 ประการคือเรื่องการยึดมั่นและให้คำมั่นกับผู้ใต้บังคับบัญชาทุกส่วนเรื่องการดำเนินการตามกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย นอกจากนี้ทางผบ.ตร.กำชับกับทางสภ.สำโรงใต้ รวมไปถึงสภ.ทั้งหมดในจ.สมุทรปราการ และทุกสน. จะต้องไม่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ในโรงพยาบาลอีก อีกทั้งต้องมีแผนเผชิญเหตุที่ชัดเจนทั้งระหว่างก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และหลังเกิดเหตุ จะต้องมีการซ้อมแผนการป้องกันอย่างสม่ำเสมอ

“สำหรับเรื่องคดีความมีความคืบหน้าพอสมควร ทั้งเรื่องทำร้ายกันในจุดเกิดเหตุ ทำร้ายบุคลากร และทำลายทรัพย์สิน โดยแยกออกเป็น 3 ส่วน แต่ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมซึ่งจะต้องเรียกผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง ส่วนกรณีเรื่องค่าเสียหายภายในสถานพยาบาลทางพนักงานสอบสวนจะต้องเดินทางไปตรวจสอบเพิ่มเติม หรือผู้เสียหายสามารถเดินทางเข้ามาแจ้งเรื่องเพื่อดำเนินการได้ในทันที แต่สำหรับค่าชดใช้นั้นผู้ใดทำให้เกิดความ เสียหายจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนกรณีการฝากขังผู้ต้องหาทางพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวทั้งหมด แต่ขึ้นอยู่กับทางอำนาจศาล โดยหลังจากนี้ตนจะเดินทางไปเยี่ยมบุคลากรทางการแพทย์ทั้ง 2 โรงพยาบาล และไปขอโทษกับสิ่งบกพร่องในเรื่องการป้องกันเหตุ” ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน