4.5พันโรงเรียนจ่อเปิดสอนปกติ – พบติดเชื้อเพิ่มอีก 4 ราย กลับจากต่างประเทศ สหรัฐ 3 ราย ไต้หวัน อีก 1 ถูกกักตัวในสถานกักตัวของรัฐ ศธ.เตรียมให้โรงเรียนกว่า 4.5 พันแห่งเปิดเรียนตามปกติ ไม่ต้องสลับวันเรียน หลังเปิดเทอมมาเกือบเดือนแล้วไม่พบนักเรียนติดเชื้อ

ด้านนายอำเภอชะอวด รายงานผู้ว่าฯนครศรีฯ กรณีคนแน่นคอนเสิร์ต‘เจนนี่ ได้หมด ถ้าสดชื่น’ ยันปฏิบัติตามมาตรการคุมโรคของสธ. แต่พอเข้าไปด้านใน กลุ่มวัยรุ่นถอดหน้ากาก ด้านโรงแรมหรูชื่อดังภูเก็ตเจอพิษโควิด ประกาศปิดตัวถาวรสิ้นเดือนนี้

แจงผู้ว่าฯปมคอนเสิร์ต‘เจนนี่’

จากกรณีเกิดการวิพากษ์วิจารณ์การแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องดัง “เจนนี่ ลิลลี่ ได้หมด ถ้าสดชื่น”บนเวทีกลางงานดอกจูดบาน ซึ่งจัดขึ้นบริเวณหน้าเทศบาลตำบลชะอวด อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช โดยมีการแสดงความคิดเห็นในเชิงต่อว่ากรณีมีคนนับพันเบียดเสียดกันหน้าเวทีคอนเสิร์ต โดยไม่มีมาตรการนิวนอร์มัล และไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยนั้น

เมื่อวันที่ 27 ก.ค. นายศิริพงศ์ ศรีพยางค์ นายอำเภอชะอวด ซึ่งเป็นประธานจัดงาน เปิดเผยว่า “จริงๆงานนี้เป็นงานประจำปี งานประจำอำเภอ และการปฏิบัติ ทางเราก็ทำตามกฎระเบียบ 1, 2, 3 ไม่ว่าจะมีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนเข้างาน แจกเจลล้างมือ และต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย เราทำตามระเบียบทุกอย่าง แต่มีการไปโฟกัสผิดจุด ไปโฟกัสตรงนั้น ซึ่งเราพยายามระมัดระวังให้มันรอบคอบแล้ว เมื่อเช้า ผู้ว่าฯ ก็สอบถามและสั่งให้ชี้แจงไปผมก็ให้ทางสาธารณสุขทำหนังสือชี้แจงอยู่”

“ในส่วนคอนเสิร์ต เจนนี่ ลิลลี่ ได้หมด ถ้าสดชื่น มีการแสดงในคืนวันที่ 24 ก.ค. มีคนเข้าชมนับพันคน และก่อนเข้างานก็ตรวจวัดอุณหภูมิ แจกเจลล้างมือ และให้สวมหน้ากากอนามัย แต่กรณีที่ดราม่านั้นเนื่องจากเมื่อเข้าไปด้านในแล้ว บรรดาวัยรุ่นก็ถอดหน้ากากออก โดยทางผู้จัดงานสภ.ชะอวด ตั้งกล้องวงจรปิดในบริเวณงานด้วยเพื่อป้องกันความเรียบร้อย โดยงานมีไปจนถึงวันที่ 28 ก.ค.” นายอำเภอชะอวดกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับงานดอกจูดบาน เป็นงานประจำอำเภอที่มีการจัดประจำทุกปีเนื่องจาก “กระจูด” เป็นสัญลักษณ์ของอ.ชะอวด และการจัดงานทางอำเภอจะเป็นผู้รับผิดชอบ และจะมีการให้ผู้รับเหมาประมูลจัดงานและนำศิลปินมาจัดแสดงโดยล้อมวิกเก็บเงินเข้าชม

พบติดเชื้อเพิ่มอีก 4








Advertisement

วันเดียวกัน เมื่อเวลา 11.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงข่าวประจำวัน ว่า วันนี้มีผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายใหม่ 4 ราย มาจากสเตตควอรันทีน ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 3,295 ราย มาจากสเตต ควอรันทีน 358 ราย รักษาหายเพิ่ม2 ราย หายป่วยรวม 3,111 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่มเติม ทำให้เสียชีวิตสะสมรวม 58 ราย และยังรักษาตัวในร.พ. 126 ราย ซึ่งหลักร้อยยังพอไหวที่จะมีเตียงเพียงพอในการรักษา

สำหรับผู้ป่วยรายใหม่มาจาก 1.สหรัฐ อเมริกา 3 ราย ได้แก่ นักท่องเที่ยวหญิงไทยอายุ 44 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 20 ก.ค. เข้าพักสเตต ควอรันทีน จ.ชลบุรี ตรวจเจอเชื้อวันที่ 25 ก.ค. แต่ไม่มีอาการ ส่วนอีก 2 รายเป็นนักศึกษาชายไทยอายุ 25 ปี และนักศึกษาหญิงไทยอายุ 21 ปี เดินทางถึงไทยวันที่ 25 ก.ค. ผ่านการคัดกรองด่านควบคุมโรค พบว่ามีอาการเข้าข่ายสอบสวนโรค คือ ผู้ชายมีไข้และ เจ็บคอ ผู้หญิงมีไข้และจมูกไม่ได้กลิ่น ตรวจหาเชื้อ วันที่ 25 ก.ค. พบเชื้อ

2.ไต้หวัน 1 ราย เป็นชายไทยอายุ 30 ปี อาชีพพนักงานโรงงาน เดินทางถึงไทยวันที่ 21 ก.ค. เข้าพักสเตต ควอรันทีน กทม. ตรวจหาเชื้อวันที่ 25 ก.ค. ผลพบเชื้อ มีอาการถ่ายเหลว

สถานการณ์ทั่วโลกมีผู้ป่วยรวม 16.4 ล้านราย ถือว่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ต้องติดตามตลอด เสียชีวิตรวม 6.52 แสนราย โดยสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 จำนวน 4.37 ล้านราย บราซิลอันดับ 2 จำนวน 2.41 ล้านราย อินเดียอันดับ 3 จำนวน 1.43 ล้านราย ส่วนไทยขยับลงที่อันดับ 106 ของโลก ส่วนเวียดนามมีรายงานปลอดเชื้อเป็น 0 คล้ายไทยมาตลอดหลายวัน แต่วันที่ 25 ก.ค. พบเจอ 1 ราย และวันที่ 26 ก.ค.เพิ่มขึ้นอีก 3 ราย อย่างที่บอกว่าการเป็น 0 เราไม่ได้คาดหวังเป็น 0 ตลอด มีโอกาสตัวเลขขึ้นมา ส่วนไทยจะเป็นวันไหนก็ต้องช่วยกันให้รับสถานการณ์เหล่านั้นได้

4.5 พันโรงเรียนเล็งเปิดสอนปกติ

นพ.ทวีศิลป์กล่าวด้วยว่า มาตรการผ่อนคลาย โควิด-19 ที่มีการหารือนั้น คือ 1.การใช้รถโดยสารสาธารณะที่ยังต้องเว้นระยะห่าง กรมขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม รายงานว่ามาตรการต่างๆ ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งการเดินทาง การจองตั๋วล่วงหน้า พนักงานขับรถสวมหน้ากากอนามัยตลอดทาง

ส่วนการกำกับดูแลมีการประเมินที่สถานีขนส่งผู้โดยสาร และชุดเช็กพอยต์ 99 จุด ทุก 90 ก.ม. ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งการประเมินระหว่างวันที่ 28 มิ.ย.-19 ก.ค.นั้น มีการสวมหน้ากากผ้า 99.7% มีเจลล้างมือ 98.22% การเว้นระยะห่าง 99.97% และการมีคิวอาร์โค้ด 98.74% ทั้งนี้ขอให้ประชาชนร่วมประเมินด้วย

2.สถานศึกษา จากการเปิดเรียนมาร่วม 1 เดือน ซึ่งทางศบค.ชุดเล็กมอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการประเมินทิศทางการควบคุมดูแล ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการติดเชื้อโควิด-19 เลย ตอนแรกกังวลใจว่า การใกล้ชิดระหว่างเรียนและเล่นที่โรงเรียนอาจติดโรคกันได้ ทั้งนี้กลุ่มเด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อต่ำ ในประเทศมี 1-6% โดยอายุ 0-9 ขวบ ติดเชื้อแค่ 62 ราย คิดเป็น 1.9% จากผู้ป่วยทั้งหมด กลุ่มอายุ 10-19 ปี ติดเชื้อ 126 ราย ติดเป็น 3.87% ไม่เคยมีรายงานติดเชื้อเป็น กลุ่มก้อน สาเหตุนั้นนักวิชาการระบุว่า ในโพรงจมูกที่ตัวรับเชื้อของเด็กน้อยกว่าผู้ใหญ่ โอกาสรับเชื้อในเด็กจึงน้อยไปด้วย จึงไม่ค่อยเห็นเด็กติดเชื้อ แต่ปัญหาคือเด็กรับเชื้ออาจเอาเชื้อที่สัมผัสไปสู่ผู้ใหญ่ ทำให้ติดเชื้อได้ง่ายจึงต้องมีการป้องกัน

นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม มาตรการผ่อนคลายในสถานศึกษาจะเร็วขึ้นได้หรือไม่ ขณะนี้มี 4,528 โรงเรียนต้องใช้สลับวันเวลากันมาเรียนในหลายรูปแบบ ทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง ทั้งการเรียนรู้ของเด็กถดถอย การขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคม เหลื่อมล้ำการเข้าถึงทรัพยากร โภชนาการ การออกจากการเรียนกลางคัน ผู้ปกครองเสียเวลามาเฝ้าเด็ก

จากการประชุมร่วมกันของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ คือจะให้นักเรียนกลับไปเรียนตามปกติ แต่จะต้องมีมาตรการเสริมเข้มข้นขึ้น โดยจัดห้องเรียนให้โต๊ะห่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ กรณีห้องแอร์ให้เปิดประตูหน้าต่างช่วงพักเที่ยง ช่วงไม่มีการเรียนการสอน กำกับโดยคณะกรรมการสถานศึกษา หน่วยงานสาธารณสุขของพื้นที่ ซึ่งมีคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด อำเภอ ตำบล ดูแลเป็นลำดับขั้นลงไป

“กรมอนามัยเข้าไปตรวจประเมินหลังเปิดภาคเรียน จำนวน 25,140 โรง พบว่า สถานศึกษามีมาตรการความปลอดภัยจากการแพร่เชื้อโรค 99.47% มีไม่ครบ 0.53% หรือ 132 แห่ง ได้แนะนำให้ปรับปรุง ส่วนเด็กที่ป่วยพบรายงาน 687 คน แต่ไม่ใช่โควิด เป็นไข้ ไข้หวัด ถือว่าน้อยมาก เพราะปกติจะมีการป่วยเยอะ ซึ่งมาจากมาตรการสวมหน้ากากผ้าหน้ากากอนามัย โดยโรงเรียนมีแผนการรองรับ 96% เช่น เด็กติดเชื้อ 1 คนในโรงเรียนนั้นจะทำอย่างไร จะปิดเลยหรือไม่ หรือปิดเฉพาะห้อง หรือทั้งชั้น ซึ่งจากกรณี จ.ระยอง คนติดเชื้อไปห้าง แล้วเห็นนักเรียนตัวเองมาเดินจึงปิดไป 200 กว่าโรง มองแล้วมากไป ถ้าตั้งแผนเผชิญเหตุ ถ้าติดเชื้อในโรงเรียนจะปิดอย่างนี้หรือไม่ ต้องมีมาตรการจัดการ แตกต่างกันไป”

ช่วงหยุดยาว 4 วันเงินสะพัด

โฆษกศบค. กล่าวต่อว่า ขณะที่มาตรการผ่อนคลายเรื่องแรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาในประเทศ ได้มอบให้กระทรวงแรงงานไปพิจารณาเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของสถานที่กักกันตัวของรัฐ ที่พบว่ายังมี ค่าใช้จ่ายราคาสูง จะทำให้ต่ำลงกว่านี้ได้หรือไม่ นอกจากนั้นประชาชนยังสามารถแจ้งข้อมูลผ่านทางสายด่วนของหน่วยงานต่างๆ ที่มีเจ้าหน้าที่คอยรับฟังการแจ้งข้อมูลจากประชาชน เพื่อนำไปสู่การดูแลและชี้แจงให้ประชาชนทราบต่อไป

“ทั้งนี้ในช่วงวันหยุดยาว 4 วัน ที่มีการใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวในประเทศ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจบวกกับการควบคุมโรคต้องมีการสมดุลกัน เราหยุดโควิด แต่ไม่หยุดเศรษฐกิจไทย และการที่เราดูแลซึ่งกันและกันในประเทศเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยว่าช่วงนี้มีเงินสะพัดหลายพันล้านบาท จึงต้องขอบคุณทุกคนที่เที่ยวในไทย”

แห่เที่ยว‘สะพานมอญ’คึกคัก

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 25 ก.ค. จนถึงวันที่ 27 ก.ค.ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศเดินทางหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ส่งผลให้ยวดยานพาหนะหนาแน่นการจราจรติดขัดเป็นระยะทางยาวหลาย ก.ม. โดยเฉพาะเส้นทางจากเขตเทศบาลตำบลวังกะ มุ่งหน้าไปทำบุญตักบาตรตามประเพณีชาวมอญที่อยู่เชิงสะพานฝั่งชุมชนชาวมอญ และมุ่งหน้าไปกราบไหว้สรีระหลวงพ่ออุตตมะที่อยู่ในโลงแก้ว ประดิษฐานไว้บนปราสาทเก้ายอด ภายในวัดวังก์ วิเวการาม หรือวัดหลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งตำรวจจราจร สภ.สังขละบุรี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ อปพร. เทศบาลตำบลวังกะ ร่วมกันคอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรกันตลอดทั้งวัน

แห่เที่ยว – ประชาชนจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศหลั่งไหลท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว จนบริเวณสะพานมอญ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรีแน่นขนัดไปด้วยผู้คน เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งเตือน พร้อมขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค

นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่อ.สังขละบุรี ส่วนใหญ่จะจองห้องพักตามโรงแรมและรีสอร์ตไว้ล่วงหน้านาน 1-2 เดือน ส่งผลให้ห้องพักต่างๆ ที่มีอยู่เต็มเกือบทั้งหมด ส่วนนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้จองห้องพักไว้ก็ได้อาศัยลานหญ้าตามสถานที่ส่วนราชการสำหรับกางเต็นท์เพื่อนอนพักผ่อน

สำหรับบรรยากาศการท่องเที่ยวบริเวณสะพานมอญ ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด นักท่องเที่ยวออกจากห้องพักมาชมบรรยากาศแม่น้ำ ซองกาเรีย บนสะพานมอญกันอย่างคึกคัก ท่ามกลางสายหมอกและอากาศกำลังเย็นสบาย

โดยมีนายปกรณ์ กรรณวัลลี นายอำเภอสังขละบุรี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่กองร้อย ตชด.ที่ 134 และเจ้าหน้าที่งานสาธารณสุขอำเภอสังขละบุรี ร่วมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ขอความร่วมมือให้ นักท่องเที่ยวปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

สำหรับช่วงวันหยุดติดต่อกัน 4 วันนี้ คาดว่ามีนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาพักในพื้นที่ อ.สังขละบุรี และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวโดยไม่ได้พักค้างคืนในพื้นที่ วันละ 4,000-5,000 คน คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาในพื้นที่ทั้ง 4 วันไม่ต่ำกว่า 30-40 ล้านบาท

บุรีรัมย์คึกแห่ดูปล่องภูเขาไฟ

ส่วนที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดง ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ มีนักท่องเที่ยวชาวไทยจากหลายจังหวัด เดินทางขึ้นไปเที่ยวสะพานแขวน ชมความสวยงามของปากปล่องภูเขาไฟที่มอดดับสนิทมาแล้วนับแสนปี ชมวิวทิวทัศน์ สูดกลิ่นอายธรรมชาติ ไหว้ขอพรพระสุภัทรบพิตร และเคาะระฆังเสริม สิริมงคล บนยอดภูเขาไฟกระโดง ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 265 เมตร ในช่วงวันหยุดยาวคึกคักวันละกว่า 3,000 คน หลังจากเงียบเหงามานานหลายเดือน ขณะที่ทางอุทยานฯ ได้บูรณะปรับปรุงภูมิทัศน์โดยรอบ เพื่ออำนวยความสะดวกรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางขึ้นมาเที่ยวชม โดยเฉพาะผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ สามารถเข้าถึงได้ทุกจุดด้วย

ขณะที่ทางตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับ เจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่า บร.5 และเจ้าหน้าที่วนอุทยานภูเขาไฟกระโดงได้ตรวจคัดกรองด้วยการวัดอุณหภูมิไข้ในร่างกายนักท่องเที่ยวทุกคนตั้งแต่ประตูทางขึ้น และบริเวณสะพานนาคราชที่นักท่องเที่ยวจะเดินขึ้น พร้อมขอความร่วมมือให้สวมใส่หน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัยด้วย เพื่อป้องกันเชื้อโควิดระบาด ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเข้มข้น

เขาใหญ่คนเที่ยวแน่น

ที่ จ.นครราชสีมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงวันหยุดยาว4 วันในพื้นที่ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวชื่อดัง เส้นทางถนนธนะรัชต์ มุ่งสู่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีปริมาณรถจำนวนมาก และมีรถติดสะสมบริเวณหน้าร้านอาหารชื่อดัง

ขณะที่บริเวณหน้าด่านเก็บเงิน อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีปริมาณรถจำนวนมากเช่นกัน รวมถึงบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ก็มีนักท่องเที่ยวขึ้นไปเที่ยวชมธรรมชาติ และกางเต็นท์นอนรับอากาศบริสุทธิ์ในช่วงหน้าฝนกันอย่างคึกคัก

เชียงรายยอดโรงแรมพุ่ง 60%

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงวันหยุดยาวติดกัน 4 วันตั้งแต่วันเสาร์ที่ 25 ก.ค.ถึงวันอังคารที่ 28 ก.ค.นั้น พบว่ามีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ใน จ.เชียงราย ถือเป็นปรากฏการณ์นักท่องเที่ยวทะลักเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน นับตั้งแต่มีการป้องกันโรค โควิด-19 ตั้งแต่เดือนมี.ค. พบว่าช่วงวันหยุดยาวนี้มีนักท่องเที่ยวไปเยือนสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างล้นหลาม โดยที่วัดร่องขุ่น ต.ป่าอ้อดอนชัย อ.เมืองเชียงราย สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่ามีนักท่องเที่ยวไปเยือนวันละกว่า 7,000-8,000 คน

ด้านนางนงเยาว์ เนตรประสิทธิ์ นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจ.เชียงราย กล่าวว่า ช่วงวันหยุดยาว 4 วัน มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ หลากหลาย ส่วนใหญ่จะขึ้นภูเขาเพื่อชมทิวทัศน์และสถานที่ที่งดงามต่างๆ ทำให้บรรยากาศดีขึ้นมากโดยเฉพาะร้านกาแฟจะมี นักท่องเที่ยวใช้บริการเต็ม จากการสอบถาม ผู้ประกอบการโรงแรมขนาดใหญ่จำนวน12 ราย พบว่ายอดจองห้องพักเพิ่มมากขึ้นจากเดิมอยู่ในอัตรา 20% ก็เพิ่มขึ้นเป็นกว่า40-60% ถือว่าดีกว่าเดิมมาก สำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวพบว่าเกือบทั้งหมดเป็นคนไทยและเดินทางไปเป็นลักษณะครอบครัว ทำให้ธุรกิจร้านอาหารต่างๆ ได้รับผลดีตามไปด้วย สภาพ เช่นนี้ไม่ได้มีเฉพาะที่เชียงราย แต่ที่ จ.เชียงใหม่ และพะเยาที่อยู่ใกล้เคียงก็คึกคักไปด้วย

พิษโควิดโรงแรมดังภูเก็ตปิดถาวร

วันเดียวกัน เฟซบุ๊ก U Zen maya Phuket ของโรงแรม ยู เซ็นมายาภูเก็ต รีสอร์ทตั้งอยู่ที่ 6/181 หมู่ที่ 6 ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “ขอบคุณแฟนๆทุกท่านและทุกการสนับสนุนด้วยดีเสมอมา เนื่องจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19) ที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบ ให้ทางรีสอร์ตไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้ ยูโฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท จึงได้ลงความเห็นและตัดสินใจที่จะยกเลิกการบริหารจัดการโรงแรมภายใต้ชื่อ ยูเซนมายา ภูเก็ต โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค. 2563 ตั้งแต่เวลา 23.59 น. เป็นต้นไป หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการความช่วยเหลือเกี่ยวกับการจองห้องพัก สามารถติดต่อเราได้ที่อีเมล์ [email protected]

พิษโควิด – โรงแรม ยู เซ็นมายา ภูเก็ต รีสอร์ท โรงแรมระดับห้าดาว ตั้งอยู่หาดกะหลิมอ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โพสต์เฟซบุ๊กประกาศปิดกิจการตั้งแต่วันที่ 31 ก.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากผลกระทบเศรษฐกิจจากพิษวิกฤตโควิด

สำหรับลูกค้าที่ได้ชำระเงินล่วงหน้าไว้นั้น จะมีเจ้าหน้าที่ติดต่อท่านทางอีเมล์เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากนี้เราขอเรียนให้ท่าน ทราบว่า เราจะลบเพจนี้ออกจากบัญชีเฟซบุ๊ก ในวันที่ 31 ก.ค. 2563 เวลา 23.59 น. ยู โฮเต็ลแอนด์รีสอร์ท รอที่จะได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งสู่การพักผ่อนกับเรา ทั้งในประเทศไทย ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศลาว และรวมถึงประเทศเวียดนาม”

หลังมีการโพสต์ มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นทั้งอดีตพนักงาน และลูกค้าที่เคยใช้บริการ โดยกล่าวว่ารู้สึกเสียดาย และขอเป็นกำลังใจให้สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้ง

สำหรับโรงแรม ยู เซนมายา ภูเก็ต รีสอร์ท เป็นโรงแรมบูติกระดับ 5 ดาว ในเครือ ยู โฮเต็ล แอนด์ รีสอร์ท เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2557 รวมระยะเวลา 6 ปี ตัวโรงแรมตั้งอยู่บนพื้นที่รอยต่อหาดกะหลิม ต.ป่าตอง และ ต.กมลา สามารถมองเห็นวิวทะลได้แบบ 180 องศา ตัวโรงแรมตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมแบบร่วมสมัย ผสมผสานกลิ่นอายชิโน -โปรตุกีส ให้บริการ ห้องพักซึ่งตกแต่งอย่างหรูหรา 50 ห้อง ประกอบด้วยห้องซูพีเรีย, ห้องดีลักซ์ ซีวิว, ห้องดีลักซ์ ซีวิว พูล แอคเซส, ห้อง จูเนียร์สวีท ซีวิว พูล แอคเซส และห้องสวีท ซีวิว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่าง ครบครัน

สธ.หนุนอสม.ได้ตอบแทน 500

จากกรณีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เตรียมบุกทำเนียบรัฐบาล วันที่ 29 ก.ค. หลังจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ตัดเงินช่วยเหลืออสม. ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข (สธ.) เสนอขอใช้งบพ.ร.ก.เงินกู้ จ่ายค่าตอบแทน อสม.คนละ 500 บาท เป็นเวลา 19 เดือน เหลือเพียง 7 เดือนนั้น

นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ประเทศไทยควบคุมโรคโควิด-19 ได้ดี นอกจากประชาชนร่วมมือแล้ว อสม.ทั่วประเทศเป็นอีกพลังที่ขับเคลื่อนระบบเฝ้าระวัง ป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเข้มแข็ง ทั้งลงพื้นที่ให้คำแนะนำ เยี่ยมเยียนชุมชน ติดตามผู้มีความเสี่ยงให้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนโรคหรือกักตัว เป็นการทำงานที่มีความเสี่ยงสูง อสม.หลายคนต้องเจ็บป่วย หรือเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติงาน การสร้างเสริมขวัญกำลังใจ อสม. จึงเป็นสิ่งที่ภาครัฐพึงให้ความสำคัญ

ด้านนพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กล่าวว่า อสม.มีส่วนสำคัญในการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 มีการเคาะประตูบ้านให้ความรู้ประชาชน แนะนำและเป็นตัวอย่างในการป้องกัน ควบคุมโรค ภายใต้วิถีชีวิตใหม่ สร้างความตระหนัก ไม่ให้ชุมชนการ์ดตก เป็นด่านหน้าในการค้นหา คัดกรองประชากรกลุ่มเสี่ยงกว่า 14 ล้านครัวเรือน และติดตามกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงมากกว่า 1 ล้านคน เป็นการทำงานที่มีความเสี่ยงสูง ทุ่มเท เสียสละทั้งเวลา และค่าใช้จ่าย และยังเป็นกลุ่มบุคคลที่ได้รับผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคมจากโรคโควิด-19 เช่นประชาชนทั่วไป ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนและให้กำลังใจ สธ.เห็นควรให้ อสม.ได้รับค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัยในการป้องกันโรคโควิด-19 จำนวน 500 บาท เป็นระยะเวลา 19 เดือน ระหว่าง มี.ค. 2563 – ก.ย. 2564 ตามระยะเวลา พ.ร.ก.เงินกู้

“แม้ว่าสถานการณ์ของโรคโควิด-19 จะดีขึ้น แต่อสม. ยังคงปฏิบัติหน้าที่ดูแลประชาชนต่อไปอย่างเข้มข้น ทั้งการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรค และการดูแลพัฒนาคุณภาพชีวิตด้านต่างๆ ของประชาชนอันเกิดจากผล กระทบของโรคโควิด 19 โดยเฉพาะการฟื้นฟูเยียวยาด้านจิตใจแก่คนในชุมชน” นพ.ธเรศกล่าว

คนไทยในอุซเบฯขู่เผาแคมป์

วันเดียวกัน เพจของสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย แจ้งถึงคนไทยและแรงงานไทยในประเทศอุซเบกิสถานว่า “ด้วยสถานเอกอัครราชทูตฯ ทราบว่า มีคนไทยบางคนในกลุ่มของท่านกำลังวางแผนประท้วง โดยจะเผาแคมป์คนงาน เพื่อหวังจะออกสื่อ ไลฟ์สด เพื่อกดดันให้ท่านได้กลับประเทศไทยเร็วขึ้น สถานเอกอัครราชทูตฯ ขอเรียนเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่า สิ่งที่ท่านคิดนั้นผิด และท่านจะเป็นคนสุดท้ายที่ได้เดินทางกลับไทย ด้วยจะต้องถูกจับดำเนินคดีและจำคุกในประเทศอุซเบกิสถาน กว่าจะได้เดินทางกลับไทยอาจเป็นเวลา 10 ปีหรือ 15 ปี ดังนั้น สถานเอกอัครราชทูตขอเตือนท่านด้วยความห่วงใยที่มีเสมอมา ขอให้ท่านมีความอดทนและเรียนรู้ที่จะรอเพื่อจะได้กลับบ้าน แต่ท่านจะต้องทำตามระเบียบที่ต่างประเทศกำหนดไว้ อย่าได้ทำตามใจตนเอง มิฉะนั้น ทุกอย่างที่กำลังเดินหน้าอาจกลับ ต้องมาเริ่มที่จุดเริ่มต้นใหม่ เมื่อรัฐบาลอุซเบกิสถานปฏิเสธคำขอของสถานเอกอัคร ราชทูตที่ขออนุญาตพาท่านเดินทางกลับ เพราะต้องการดำเนินคดีตามกฎหมายกับ ท่านก่อน

คนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่แห่งหนใด ท่านคือตัวแทนของประเทศไทยเสมอ หากท่านทำอะไรไปในทางที่ดี ก็จะสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ หากท่านตัดสินใจทำอะไรในทางไม่ดี ก็จะทำให้ประเทศไทยเสียเครดิตกับต่างชาติและต้องใช้เวลากอบกู้ชื่อเสียงอีกนับร้อยปี สิ่งที่ท่านคิดจะเผาหรือทำลาย แคมป์คนงาน เพื่อระบายอารมณ์หรือประท้วงกับการที่ยังไม่ได้เดินทางกลับไทยนั้น ขอเรียนว่า ท่านไม่ได้เพียงแต่ทำลายบ้านเมืองคนอื่นไม่ได้ทำลายโควิด-19 แต่ท่านกำลังจะทำลายตัวเอง และที่สำคัญที่สุดท่านกำลังทำลายประเทศไทย เพื่อนท่านจะได้กลับบ้านแต่ท่านจะไม่ได้เดินทางกลับ ท่านจะต้องถูกจับและถูกจำคุกในฐานะผู้วางเพลิง ชีวิตท่านคงจะอยู่ในเรือนจำและมีชีวิตที่ลำบากกว่าปัจจุบันอย่างแน่แท้

พี่น้องแรงงานไทยทุกท่านโปรดเข้าใจด้วยว่า สนามบินนานาชาติของอุซเบกิสถานยังคงปิดทำการอยู่ในขณะนี้ สถานเอกอัคร ราชทูต กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังดำเนินการอย่างสุดความสามารถที่จะนำท่านกลับประเทศไทย ถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมายแต่เราก็มิได้ย่อท้อในการหาทางที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด และประหยัดที่สุดสำหรับท่านที่ต้องการเดินทางออกจากประเทศอุซเบกิสถาน

สุดท้ายนี้ ขอเรียนวิงวอนให้ทุกท่าน หากไม่เห็นแก่คนอื่นแล้ว ท่านควรเห็นแก่ตัวเองบ้าง อย่าตัดโอกาสตัวท่านเองที่จะได้เดินทางไปพบครอบครัวของท่าน คนที่ท่านรัก ถึงแม้จะต้องรออีกสักพักแต่เราจะหาทาง พาท่านกลับ ขอเพียงท่านมีความอดทน ระวังรักษาตนเอง สถานเอกอัครราชทูตจะ ส่งข่าวให้ท่านทราบเป็นระยะๆ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน