ประเด็นสำคัญไม่มีในสำนวน
เอาให้ชัดสารเสพติด-ยารักษา
เป็นหลักฐานใหม่ให้อสส.สั่ง

อัยการสรุปฟ้องใหม่คดี ‘บอส อยู่วิทยา’ แต่ชงสอบเพิ่ม 2 ประเด็นสำคัญที่ไม่ปรากฏในสำนวนของตำรวจ พิสูจน์ให้ชัดสารโคเคนที่พบ ในร่างทายาทตระกูลดังเกิดจากสารเสพติดหรือยาปฏิชีวนะ และวิธีคำนวณความเร็วรถขณะเกิดเหตุถ้าพบพยานหลักฐานใหม่ก็เปลี่ยน คำสั่งได้ ส่วนคำสั่งไม่ฟ้องของ ‘เนตร นาคสุข’ รองอสส. พบทำตามกฎหมายตามพยาน หลักฐานที่ปรากฏในสำนวน

ไม่สั่งฟ้องบอสทำตามกฎหมาย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ส.ค. ที่ห้องประชุม 120 ปี ชั้น 1 สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. คณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี กรณีไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลังชื่อดัง ขับรถเฟอร์รารี่ชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจ สน.ทองหล่อ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 แถลงข่าวผลการตรวจสอบพิจารณา โดยผู้แถลงประกอบด้วย นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะทำงาน, นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี คณะทำงาน, นายอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา เลขานุการคณะทำงาน, นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา คณะทำงาน และน.ส.เสฏฐา เธียร พิลากุล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ผู้แทนตอบคำถามสื่อต่างประเทศ

คดีบอส – นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี คณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาสั่งคดี กรณีไม่ฟ้องคดีนายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจสน.ทองหล่อ เสียชีวิต แถลงความคืบหน้าคดี โดยเสนอให้สอบดำเนินคดีใหม่ เนื่องจากมีหลักฐานใหม่เรื่องสารโคเคนและความเร็วของรถ เมื่อวันที่ 4 ส.ค.

นายประยุทธกล่าวว่า คณะทำงานพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในสำนวนการสอบสวน จากนั้นพิจารณาความเห็นและคำสั่งของนายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด แล้วมีความเห็นว่า นายเนตรมีความเห็นและคำสั่งคดีนี้ไปตามพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนและสอบสวน เพิ่มเติมซึ่งปรากฏอยู่ในสำนวน ไม่ได้นำพยานหลักฐานนอกสำนวนหรือที่ไม่ได้ปรากฏในสำนวนการสอบสวนมาสั่งคดี หรือเป็นการใช้ดุลพินิจสั่งคดีไปตามอำเภอใจ รวมทั้งมีเหตุผลประกอบตามสมควร และภายหลังที่มีคำสั่งไม่ฟ้องแล้ว ได้เสนอสำนวนให้ผบ.ตร. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อพิจารณา อันเป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลการสั่งคดีของพนักงานอัยการ ต่อมา ผู้ช่วยผบ.ตร.มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว คณะทำงานเห็นว่าการสั่งคดีของนายเนตร เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องแล้ว

แม้คดีนี้จะมีคำสั่งเสร็จเด็ดขาดไม่ฟ้องนายวรยุทธ ผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่มิได้หมายความว่าจะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว คณะทำงานตรวจพบว่า คดียังไม่ถึงที่สุด กล่าวคือเมื่อมีพยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้สามารถสอบสวนต่อไปได้ โดยคณะทำงานมีความเห็นว่า ในสำนวนสอบสวนมีการตรวจเลือดของนายวรยุทธในวันเกิดเหตุ และพบสารประเภทโคเคนในเลือด แต่พนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาและสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1 ในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522

ชงสอบเพิ่มความเร็ว-โคเคน

ส่วนในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้พนักงานอัยการจะมี คำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธและผบ.ตร.ไม่แย้ง คำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว อันเป็นผลให้คำสั่งไม่ฟ้องเสร็จเด็ดขาดตามกฎหมาย และห้ามมิให้ทำการสอบสวนอีกก็ตาม แต่ปรากฏพยาน หลักฐานสำคัญคือ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษได้ให้ข้อเท็จจริงผ่านสื่อว่า ขณะเกิดเหตุทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้กับกองพิสูจน์หลักฐานกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเกิดเหตุคดีนี้ได้รับการประสานงานจาก พ.ต.ท.ธนสิทธิ แตงจั่น ให้ไปร่วมตรวจที่เกิดเหตุ และดูกล้องวงจรปิด วัตถุพยาน ที่บันทึกภาพรถของผู้ต้องหาที่ 1 พร้อมคำนวณความเร็วของรถที่แล่นไปขณะเกิดเหตุ ดร.สธนทำรายงานการคิดคำนวณส่งให้กับกองพิสูจน์ หลักฐานเพื่อใช้ประกอบคดี โดยยืนยันว่าขณะเกิดเหตุรถของผู้ต้องหาที่ 1 แล่นไปด้วยความเร็วประมาณ 170 ก.ม.ต่อช.ม. แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวไม่ปรากฏในสำนวนการสอบสวน

“นอกจากนี้ยังปรากฏข้อเท็จจริงผ่านสื่อ จากการให้สัมภาษณ์ของ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ให้ข้อเท็จจริงผ่านสื่อว่าเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านคิดคำนวณหาความเร็วของรถ พร้อมกับให้ความเห็นทางวิชาการว่า ขณะเกิดเหตุรถที่ผู้ต้องหาขับขี่ไปน่าจะมีความเร็วไม่ต่ำกว่า 126 ก.ม.ต่อช.ม. ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นพยานหลักฐานใหม่ และเป็นพยานสำคัญที่จะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหาที่ 1 ได้ ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ทั้งสองประเด็นดังกล่าว คณะทำงานจึงมีความเห็นและนำกราบเรียนอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาแจ้งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีนายวรยุทธต่อไป” นายประยุทธกล่าว

ให้ชัดสารเสพติดหรือยาปฏิชีวนะ

ขณะที่นายชาญชัยกล่าวว่า การสั่งคดีของอัยการเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวน เรื่องความเร็วของรถ นายเนตรสั่งเนื่องจากพยานให้การความเร็วรถไม่เกิน 80 ก.ม.ต่อช.ม. โดยพยานผู้เชี่ยวชาญครั้งแรกให้การความเร็วรถที่ 177 ก.ม.ต่อช.ม. แต่ภายหลังพยานคนเดียวกันอ้างว่าไม่สมบูรณ์ ไม่ชัดเจน เมื่อทดสอบใหม่แล้วไม่เกิน 80 ก.ม.ต่อช.ม. เมื่อไม่ปรากฏเรื่องความเร็วเกิน ย่อมถือได้ว่าข้อเท็จจริงเปลี่ยน และพยานทุกคนบอกความเร็วไม่เกิน 80 ก.ม.ต่อช.ม. รวมถึงนาย จารุชาติ มาดทอง พยานผู้ขับรถปิกอัพในกล้องวงจรปิด ระบุว่า ขับรถมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 ก.ม.ต่อช.ม. การสั่งคดีทำได้แค่ข้อเท็จจริงในสำนวน ส่วนการหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมต่อไป ไม่ใช่เรียกว่าการรื้อฟื้นคดี แต่เป็นพยานหลักฐานใหม่

กรณีนายวรยุทธเสพโคเคนและเมาหรือไม่ ขณะตรวจวัดแอลกอฮอล์ ผู้ต้องหาที่ 1 ตรวจเลือดพบมีปริมาณแอลกอฮอล์ 69 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เมื่อพยานแพทย์ผู้เชี่ยวชาญคำนวณอัตราแอลกอฮอล์ที่ลดลง 15 เปอร์เซ็นต์ต่อชั่วโมง ย้อนไปเวลาขณะเกิดเหตุจะได้ 389 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมาจนไม่มีสติขับรถได้ แต่ในชั้นพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการไม่มีพยานหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าขับรถในขณะเมาสุรา ส่วนประเด็นสารที่พบในเลือดมาจากการที่ร่างกายได้รับโคเคนนั้น จะเกิดจากการที่เสพยาเสพติดหรือเกิดจากกรณีอื่นก็ได้ ยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เมื่อพนักงานสอบสวนสอบทันตแพทย์ระบุว่าได้ให้ยา ผู้ต้องหารักษาฟัน จึงไม่ดำเนินคดีข้อหาเสพยาเสพติด คณะทำงานไม่เห็นด้วยจึงขอให้สอบสวนว่าสารดังกล่าวมาจากการเสพโคเคนหรือยาปฏิชีวนะ

“เรื่องนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นปัญหาเชิงระบบจากดุลพินิจของพนักงานสอบสวนฝ่ายเดียว เราควรจะร่วมกันเข้าไปสอบสวนอย่างทันท่วงที ส่วนการร้องขอความเป็นธรรมนั้น สำนักงานอัยการสูงสุดควรจะมีกรอบระยะเวลาให้ยุติได้ด้วยความเป็นธรรม ต้องปรับเปลี่ยนกระบวนการให้ร้องครั้งเดียว และกรณีความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญที่แตกต่างกันแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ควรให้มีการตรวจพิสูจน์กันในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จะต้องเช็ก บาลานซ์กันอย่างไร เรื่องนี้ถ้าเรามองในด้านดี เราพบหลายเรื่องมีปัญหา ทำให้เราได้แนวคิดไปแก้ไข เพื่อจะเป็นประโยชน์ในอนาคต” นายชาญชัยกล่าว

เผยสำนวนไร้วิธีคิดความเร็วรถ

ด้านนายอิทธิพรกล่าวว่า สื่อมวลชนและประชาชนทั่วไปเคลือบแคลงสงสัยในคำสั่งของพนักงานอัยการเป็นอันมาก น่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคล แต่เนื่องจากคณะทำงานไม่มีอำนาจพิจารณาในส่วนของตัวบุคคลจึงมีความเห็นเสนอไปยังอัยการสูงสุดพิจารณาดำเนินตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่าย อัยการฯ พ.ศ.2553 ว่าเรื่องนี้จะมีความบกพร่องหรือไม่ ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งที่อัยการสูงสุดต้องดำเนินการ หากสื่อมวลชนหรือประชาชนมีข้อมูลในเรื่องประเด็นความเร็วรถยนต์ที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหาขับรถความเร็วเท่าใด ขอให้แจ้งมายังอัยการ เพื่อที่อัยการจะดำเนินคดีต่อไป

เมื่อถามว่าการพิจารณาดำเนินคดีจะต้องใช้พยานหลักฐานเรื่องความเร็วและเรื่องโคเคนนำไปให้ตำรวจสอบสวนใหม่ใช่หรือไม่ และเมื่อสอบสวนแล้วจะนำมาพิจารณาสั่งฟ้องผู้ต้องหาใหม่ได้หรือไม่ นายอิทธิพรกล่าวว่า พนักงานสอบสวนจากกองพิสูจน์หลักฐานมีเพียงกระดาษใบเดียว ไม่มีวิธีคิดหรืออธิบายสูตรความเร็ว เหมือนตอนที่คิดและเปิดเผยสูตรต่อสื่อมวลชน แต่ปรากฏว่าภายหลัง ดร.สธน อธิบายโดยมีตัวเลขพร้อมหลักฐานการคิดคำนวณแต่ไม่มีในสำนวน ตรงนี้คือประเด็น ถ้ามีเรื่องนี้ในสำนวนอย่างที่สื่อมวลชนลง และดร.สธนจะช่วยงานในเรื่องความเร็วต่อในคดีนี้ ถ้าเป็นตนสั่งจะให้ตรวจความเร็วรถทุกคัน เพื่อทำความจริงให้ปรากฏและเป็นพยานหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้ว่ากระทำผิด อัยการจะสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาได้

ส่วนนายปรเมศวร์ ตอบคำถามเรื่องการร้องขอความเป็นธรรมเป็นช่องทางการประวิงเวลา จะเป็นปัญหาในกระบวนการยุติธรรมหรือไม่ ว่า ในการร้องขอความเป็นธรรมมีการร้องเข้ามาจนอัยการไม่รับ ฝ่ายผู้ต้องหาไปร้อง กมธ.ที่สภาฯ นี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น และกมธ.ส่งเรื่องกลับมาที่อัยการ แต่อัยการยังไม่เชื่อและสั่งสอบสวนพยานที่ร้องในชั้น กมธ.เป็นพยานเก่าเกือบทั้งหมด มีพยานปากใหม่เป็นทหารอากาศ 2 นาย ที่เพิ่มเข้ามา มีเพียงนายจารุชาติที่เป็นพยานปากเดิมหลังจากเกิดเหตุ 5 วัน ว่ารถของผู้ตายขับอยู่ด้านหน้าและเบียดไปช่องทางเดียวกับรถเฟอร์รารี่ แต่ตอนแรกที่ให้การไม่ได้แจ้งความเร็ว ส่วนตำรวจที่ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ให้ความเห็นว่าจากร่องรอยของรถยนต์ไม่น่าจะใช้ความเร็วเกิน 80 ก.ม.ต่อช.ม. ความเข้าใจที่ว่าชนแล้วลากไปไกลกว่า 200 เมตร เพราะว่าการชนด้วยความเร็ว 177 ก.ม.ต่อช.ม. การปะทะจะต้องแรงกว่านี้ แต่ส่วนตัวก็เชื่อว่ารถเฟอร์รารี่ไม่ได้ขับแค่ 80 ก.ม.ต่อช.ม. เพราะสภาพศพค่อนข้างสมบูรณ์ ที่พูดกันในสื่อและโซเชี่ยล อย่างเรื่องพยานใหม่ ถ้าพยานหลักฐานเหล่านี้มีผู้เชี่ยวชาญสามารถนำมาปรับใช้ได้

ย้ำความเร็วรถประเด็นสำคัญ

ด้านนายชาญชัยกล่าวเสริมว่า การพิจารณาของอัยการทำตามข้อเท็จจริงในสำนวน แต่มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อ เพราะเราทราบข้อเท็จจริงในสำนวนทำให้ฟังเรื่องความเร็วรถประมาณ 80 ก.ม.ต่อช.ม. และมีรถจักรยานยนต์ขับปาดหน้า ความเร็วรถเป็นประเด็นสำคัญ ถ้าความเร็วจะมากกว่า 80 ก.ม.ต่อช.ม. แม้จะมีรถมาปาดหน้า อัยการจะต้องเปลี่ยนแปลงความเห็นของนายเนตรที่สั่งไม่ฟ้อง เพราะคำให้การของพยานผู้เชี่ยวชาญเชื่อได้ว่ารถปิกอัพของนายจารุชาติบังรถจักรยานยนต์ ส่วนความเห็นของนายเนตรที่บอกนายวรยุทธชน ด.ต.วิเชียร เป็นเหตุสุดวิสัยก็เป็นดุลพินิจ แต่ถ้าพยาน หลักฐานในเรื่องความเร็วเปลี่ยนไปจะนำมาพิจารณาใหม่ และที่เจ้าของสำนวนให้ความสำคัญของนายจารุชาติ เพราะเป็นพยานที่ปรากฏในคลิป

นายปรเมศวร์กล่าวเพิ่มเติมในประเด็นการสอบสวนนายจารุชาติว่า ในครั้งสุดท้ายได้เปิดกล้องวงจรปิด และนายจารุชาติยืนยันขณะเกิดเหตุได้ขับรถกระบะมาความเร็ว 50-60 ก.ม.ต่อช.ม. และนายวรยุทธขับตามหลังมาความเร็วประมาณ 60 ก.ม.ต่อช.ม.

ภายหลังแถลงข่าว นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากนี้จะมีการเสนอให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งในประเด็นที่ปรากฏจากสื่อ ถึงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคดีตามที่ปรากฏหน้าสื่อมวลชน ก็ต้องอยู่ที่อัยการสูงสุดพิจารณาว่าจะตั้งคณะทำงาน หรือสั่งพนักงานสอบสวนดำเนินการ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน