แค่2มือเปล่า-กับ3นิ้ว
ฉีดน้ำสีอัด-กางร่มต้าน
แยกปทุมวันเดือดระอุ
มีฮือ-อลหม่านทั้งคืน
ออกหมายจับอีก12คน
6องค์กรสื่อติง‘ฉุกเฉิน’
‘บิ๊กตู่’ลั่นไม่ลาออกแน่

เผชิญหน้าระทึก สลายการชุมนุม ตร.ฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสใส่ผู้ชุมนุมหวิดบานปลาย ม็อบแกงตำรวจ หลังสกัดม็อบสุดฤทธิ์ปิดแยกราชประสงค์ห้ามเข้าทุกเส้นทาง ระดมทั้งแบริเออร์-ลวดหนามกั้นหนาแน่น ย้ายที่ยึดสี่แยกปทุมวันแทน ร่วมชุมนุมเรียกร้องคึกคัก อาจารย์ธรรมศาสตร์-เพื่อนๆ อมธ.รุดขอเยี่ยม‘รุ้ง-เพนกวิน-นัด’ที่เรือนจำธัญบุรี แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต เนื่องจากอยู่ระหว่างมาตรการคุมโควิด-19 ศาลแขวงปทุมวันออกหมายจับเพิ่มอีก 12 คนมีอั๋ว-มายด์ด้วย ตร.บุกรวบเอกชัย หงส์กังวาน คดีมาตรา 110 ขณะที่ฟรานซิสนักศึกษามหิดลที่โดนคดีด้วย รุดมอบตัวสน.ดุสิต

สลายม็อบ – ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุม โดยใช้น้ำสีผสมแก๊สน้ำตาฉีดด้วยความดันสูงเปิดทาง ขณะที่ผู้ชุมนุมพยายามกางร่มและนำแผงเหล็ก เข้าต้านทานสู้ยิบตาเกิดการปะทะกันตลอดเส้นทาง บริเวณสยามสแควร์ ใกล้แยกปทุมวัน กทม. เมื่อค่ำวันที่ 16 ต.ค.

ยื่นศาลฝากขังเพิ่มอีก 18 คน

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่บริเวณหน้าบก.ตชด. ภาค 1 ถนนเลียบคลองห้า ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่ายังคงมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตชด. และกำลังตำรวจ สภ.คลองห้า ตรึงกำลังตั้งจุดตรวจบริเวณเชิงสะพานข้ามคลอง ทางเข้าต่อเนื่องตลอดเวลาตรวจสอบเข้มข้นรถยนต์ทุกคันและสอบถามผู้ที่จะข้ามเข้าไปภายใน ตชด.

เวลา 06.45 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวกลุ่มผู้ชุมนุมที่ถูกจับกุมทั้งหมด 18 คน ขึ้นรถห้องขัง โดยมีรถนำขบวนปิดหัวท้ายเดินทางพาทั้งหมด ไปส่งศาลแขวงดุสิต เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยทั้ง 18 รายถูกจับกุมตั้งแต่ตี 5 วันที่ 15 ต.ค. ในความผิดตามข้อกำหนดชุมนุม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และทางพนักงานสอบสวนสอบปากคำทั้ง 18 คนไม่ทัน ต้องนอนค้างคืนอยู่ที่ ตชด.ภาค 1 ตลอดคืนกระทั่งเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวไปส่งศาลแขวงดุสิต เพื่อขออำนาจศาลฝากขังต่อไป

ทั้งนี้ จำนวนผู้ถูกคุมตัวและดำเนินคดีตั้งแต่ 13-15 ต.ค. ทั้งหมดจำนวน 51 คน วันที่ 13 ต.ค. คณะราษฎรอีสาน ถูกคุมตัว 21 ราย เป็นเยาวชน 17 ปี และเยาวชนได้ประกันตัวไป วันที่ 14 ต.ค. ตำรวจคุมตัวแกนนำ 5 คน ส่งฝากขังศาลธัญบุรี 3 คน และศาลเชียงใหม่ 2 คน ล่าสุดวันที่ 15 ต.ค.กุมตัวม็อบราชประสงค์อีก 7 ราย ทั้งหมดถูกคุมตัวมา บก.ตชด.ภาค 1

ตร.บุกจับเอกชัยคดีมาตรา 110

สำหรับกรณีศาลอาญา อนุมัติตามคำร้องของพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ให้ออกหมายจับนายเอกชัย หงส์กังวาน และนายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง นักกิจกรรมทางการเมือง ตามหมายจับที่ 1595/2563 และ 1596/2563 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ในมาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน จากกรณีขัดขวางขบวนเสด็จ ช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 08.30 น.วันเดียวกัน ตำรวจสืบสวน สน.ลาดพร้าว พร้อมด้วยตำรวจสืบสวนนครบาล 4 ร่วมกันจับกุมตัวนายเอกชัย ที่อิมพีเรียลลาดพร้าว ขณะกำลังเดินทางออกจากบ้านพัก เพื่อไปมอบตัวที่สน.ดุสิต เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปลงบันทึกจับกุมที่สน.ลาดพร้าว ก่อนจะส่งตัวไปสอบสวนที่ ตชด.ภ.1 ต่อไป

นายเอกชัยกล่าวว่า ขณะนี้กำลังเดินทางไปยัง ตชด.ภ.1 ซึ่งการจับกุมในข้อหาดังกล่าวเป็นการตั้งข้อหาของทางเจ้าหน้าที่ที่เกินจริง ก่อนจะถูกคุมตัวขึ้นรถกระบะฝ่ายสืบสวนสน.ลาดพร้าว และมีรถตำรวจนำออกไป

ต่อมา เมื่อเวลา 12.20 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตนักโทษคดี 112 และ แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา ถูกตำรวจ สน.ลาดพร้าว แสดงหมายจับ ในข้อหาตามมาตรา 116 ยุยงปลุกปั่น จากการชุมนุมบริเวณสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากนายสมยศเดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจช่วยเหลือนายเอกชัยที่ถูกจับมา สน.ลาดพร้าว เพียงลำพังเมื่อช่วงเช้า ก่อนจะถูกตำรวจโชว์หมายจับ และจับกุม โดยหลังจากนี้จะนำตัวส่ง สน.ชนะสงคราม ซึ่งเป็นผู้ออกหมายต่อไป

‘สมยศ’ก็โดนด้วยปราศรัย 19 กย.

ที่ สน.ชนะสงคราม นายสมยศ พร้อม น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามมาตรา 116 ฐานยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ จากการปราศรัยในการชุมนุมกลุ่มธรรมศาสตร์และการชุมนุมที่ท้องสนามหลวงระหว่างวันที่ 19-20 ก.ย. ทั้งนี้ นายสมยศชูสัญลักษณ์ 3 นิ้ว พร้อมกล่าวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนว่า ในวันชุมนุมดังกล่าวตนได้ปราศรัยบนรถเครื่องเสียง เบื้องต้นถูกแจ้งข้อหา ม.116 เพียงเรื่องเดียวและจะให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา เพราะการปราศรัยนั้นเป็นสิทธิที่พึงกระทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญระบุ มองว่าการแจ้งข้อหาใน ครั้งนี้ไม่ชอบธรรม เป็นการใช้กฎหมายเพื่อกลั่นแกล้ง และยิ่งจะเป็นการเพิ่มเชื้อไฟและทำให้ประชาชนโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ หากไม่ได้รับการประกันตัวก็จะขอต่อสู้ตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

อย่างไรก็ตาม ตอนแรกตนไม่ทราบว่าศาลอาญาได้ออกหมายจับตนในข้อหานี้ เพียงแต่เมื่อช่วงเช้า นายเอกชัยได้ติดต่อตนให้พาไปมอบตัวกับตำรวจในข้อหาตาม ป.อาญา ม.110 เท่านั้น จนตำรวจแสดงหมายจับกุมตนดังกล่าว

‘ฟรานซิส’ก็รุดมอบตัวสน.ดุสิต

เวลา 09.30 น. ที่สน.ดุสิต นายบุญเกื้อหนุนหรือฟรานซิส เป้าทอง นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้เดินทางมาพร้อมมารดา และน.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เพื่อมอบตัวตามหมายจับดังกล่าวกับร.ต.อ.ธราดล วงศ์เจริญยศ รอง สว.(สอบสวน) สน.ดุสิต โดยนายบุญเกื้อหนุนได้ยืนชูสัญลักษณ์ 3 นิ้วที่บริเวณทางเข้าโรงพัก และกล่าวก่อนเข้ามอบตัวว่า ขณะนี้ตนขอรอเพื่อนก่อน เนื่องจากยังไม่รู้ว่าเมื่อเข้ามอบตัวแล้ว จะมีโอกาสออกมาเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องมาตรา 110 นอกจากจะเป็นคดีร้ายแรง ยังเป็นคดีที่ไม่มีใครเคยหยิบมาใช้มาก่อนก็ค่อนข้างจะแปลกใจเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม สปิริตยังดีอยู่

นายบุญเกื้อหนุน กล่าวด้วยว่า การมามอบตัวตามหมายจับในข้อหานี้ เป็นการแสดงความบริสุทธิ์ว่า ไม่มีเจตนาหลบหนี ในวันที่เกิดเหตุ ต้องการชุมนุมอย่างสงบ โดยมีการถือโทรโข่งจริง แต่ช่วงที่จะมีขบวนเสด็จ ไม่ได้รับการแจ้งเตือนแต่อย่างใด เมื่อเห็นขบวน ก็ตั้งใจถอยห่าง เพื่อให้ขบวนผ่านไปได้ แต่ไม่สามารถให้รายละเอียดที่เกิดขึ้นในวันดังกล่าว และมองว่า การถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญามาตรา 110 ไม่เป็นธรรม เพราะไม่มีเจตนาเข้าไปทำร้ายองค์ราชินีและรัชทายาท ยืนยัน จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป

ส่งตัวไปสอบสวนที่บก.ตชด.ภ.1

ด้านน.ส.พูนสุข เปิดเผยว่า ตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ จะต้องเข้าพบพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุ ตนเห็นว่า การนำกฎหมายมาตรานี้มาใช้ ไม่มีมานานแล้ว และยืนยันเช่นกันว่า ผู้ชุมนุมในพื้นที่ขณะเกิดเหตุ ไม่มีเจตนาทำลายขบวนเสด็จ ส่วนลูกความ ก็มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เป็นนักศึกษา และไม่คิดหลบหนี จึงเชื่อว่า จะได้รับการประกันตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่นายบุญเกื้อหนุนจะเดินเข้าโรงพักเพื่อมอบตัว ได้มีเพื่อนๆ ที่เดินทางมาให้กำลังใจเข้าสวมกอดและร้องไห้ ซึ่งนายบุญเกื้อหนุนได้หลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกล่าวว่าขอให้ตนได้เสียสละ

จากนั้นในเวลาประมาณ 10.30 น. นายบุญเกื้อหนุนและมารดา พร้อมทนายความ ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับ ใช้เวลาประมาณ 45 นาที

ต่อมา เวลา 11.15 น. นายบุญเกื้อหนุนกล่าวภายหลังพบพนักงานสอบสวนว่า พนักงานสอบสวนได้ลงบันทึกประจำวันในการติดต่อขอเข้ามอบตัว และเตรียมคุมตัวให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ บก.ตชด.ภ.1 ก่อนจะนำตัวไปฝากขังที่ศาลอาญา ซึ่งตนยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาที่จะล่วงเกิน ไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายตั้งแต่ต้น ยังคงยืนยันตรงนี้ และตนหวังว่ากระบวนการยุติธรรมจะยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตนต่อไป ซึ่งในตอนนี้ตนได้สิ้นสุดการมีอิสรภาพแล้ว ขอให้ทุกคนสู้ต่อไป ตนจะสู้ในชั้นศาลต่อไป

ครม.อนุมัติฉุกเฉิน-จ่อจับอีก5

ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ประชุมครม.นัดพิเศษ มีมติเห็นชอบการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค. เวลา 04.00 น. เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่าก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้กำกับการปฏิบัติงานหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งวอร์รูมภายในมูลนิธิป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ถ.วิภาวดีรังสิต ได้เรียกฝ่ายความมั่นคง ได้แก่ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้ารับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงฯ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภา ความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) และหน่วยงานด้านความมั่นคง ร่วมประเมินสถานการณ์การชุมนุมของคณะราษฎร ที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 15 ต.ค. ทั้งนี้ วอร์รูมดังกล่าว พล.อ.ประวิตร กำหนดให้ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวันละ 3 เวลา เพื่อติดตามสถาน การณ์ภายในมูลนิธิป่ารอยต่อฯ

ล่าสุดหน่วยงานความมั่นคง และตำรวจ ได้รวบรวมหลักฐานที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว และยืนยันว่าจะเอาผิดกับกลุ่มผู้ชุมนุมทุกคน ที่ขวางเส้นทางขบวนเสด็จฯ และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทั้งวาจาและการกระทำ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถระบุตัวบุคคลได้และเตรียมขออนุมัติศาลออกหมายจับเพิ่มอีก 5 ราย เป็นศิลปินอิสระ, นักแต่งเพลงอิสระ, กลุ่มผู้เคยเข้าร่วมเคลื่อนไหวกับ ไผ่ ดาวดิน จ.ร้อยเอ็ด

บิ๊กตู่ยันไม่ใช้กำลัง-ขู่งัดเคอร์ฟิว

เวลา 11.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม นำครม. แถลงผลประชุมครม.นัดพิเศษว่า การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตกทม. พรรคร่วมรัฐบาลเห็นพ้องต้องกัน รัฐบาลมีความจำเป็นเนื่องจากสถานการณ์มีความรุนแรงเกิดขึ้น สาระสำคัญห้ามชุมนุม ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ตรวจค้น จับกุม มีหมดทุกอย่าง ฉะนั้นขอเตือนไว้ด้วยอย่าทำผิดกฎหมาย ซึ่งจะใช้ให้สั้นที่สุด วันนี้ประกาศใช้เพียง 1 เดือน หรือ 30 วัน หรือน้อยกว่านั้นถ้าสถานการณ์คลี่คลายเร็ว ไม่ได้มุ่งหวังจะไปทำร้ายใคร เจ้าหน้าที่ไม่มีการใช้กำลัง มีแต่ถูกใช้กำลัง แม้กระทั่งกฎหมายใช้สื่อโซเชี่ยลโฆษณาบิด เบือน นักข่าวหลายคนก็ใช้อยู่ขอให้ระมัด ระวังด้วย ส่วนนิสิต นักศึกษา ฝากผู้ปกครองช่วยดูแลให้ดีที่สุด ไม่อยากให้มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น มันเป็นอันตราย เราไม่รู้วัตถุประสงค์ของผู้อยู่เบื้องหลัง ระมัดระวังด้วยอย่าให้อยู่ในกลุ่มผู้ต้องสงสัย อย่าหาว่าตนขู่

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องประกาศเคอร์ฟิวหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า มีกำหนดอยู่ในนั้นแต่ยังไม่ประกาศใช้ เมื่อถามถึงเงื่อนไขที่จะประกาศ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “สงบมั้งถึงต้องใช้ คือถ้าลุกลามบานปลายก็ต้องทำ แต่ยังไม่ถึงขั้นประกาศใช้กฎอัยการศึก” เมื่อถามว่าถึงการเกิดรัฐประหารซ้ำ นายกฯ กล่าวอย่างฉุนเฉียว พูดซ้ำซากอยู่อย่างนี้ ปฏิวัติ รัฐประหาร ตนไม่รู้ ยังไม่คิดถึงตรงนั้น เมื่อถามถึงข้อเรียกร้องให้ปล่อยตัวแกนนำ พล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร กล่าวพร้อมกันว่า “มันผิดกฎหมาย”

ลั่นไม่ออก-ให้ระวังพญามัจจุราช

เมื่อถามว่าถึงวันนี้ยืนยันไม่ลาออก พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “เรื่องอะไร ยืนยันว่าไม่ออก” เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่การชุมนุมจะเป็นแบบฮ่องกง นายกฯ กล่าวว่า วันนี้ฮ่องกงโมเดลเป็นอย่างไรบ้าง ฮ่องกงเสียหาย ธุรกิจพังทั้งหมด แล้วคนชุมนุมเป็นอย่างไร แต่อย่าลืมว่าเขาเป็นสังคมนิยมประชาธิปไตย เราเป็นประชาธิปไตยทำได้แค่ไหน “คนไทยกันหรือเปล่า นั่งกันอยู่ที่นี่เป็นคนไทยหรือไม่ ประเทศไม่สงบเพราะอะไร เพราะใคร วันนี้ผมทำอะไรหรือ ผมผิดอะไรหรือ ตอนนี้ ขอถามหน่อยสิ”

เมื่อผู้สื่อข่าวระบุอาจเพราะนายกฯ อยู่นานไปและมีแววว่าจะอยู่ต่ออีกนาน พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า “ฮี่โธ่ เคยฟังพระสวดไหม เคยเข้าวัดกันหรือไม่ ไปฟังพระสวดอภิธรรมมี 4 จบ ผมทำทั้งหมด ทั้งสวด แผ่เมตตา อโหสิกรรมทุกคน ไม่ให้ร้ายกับใครเพราะสิ่งที่ให้ร้ายกับคนจะกลับมาที่ตัวเราเอง อย่าประมาทเพราะทุกคนมีทั้งตายวันนี้และตายพรุ่งนี้ ตามบทสวด อย่าประมาทชีวิต พร้อมจะตายได้ทุกโอกาส เราไปกำหนดไม่ได้ อย่าท้าทายกับท่านพญามัจจุราชที่มีเสนามาก การตายจะเป็นวันนี้ หรืออยู่วันไหน มีโอกาสตายทุกคน โรคภัยไข้เจ็บเครียดสมองแตก อีกบทคืออย่าประมาทเสนาอำมาตย์ที่มีอำนาจน้อย อีกอย่างคนเรามีโอกาสตายได้ทุกวัน” (อ่านรายละเอียดหน้า 3)

รายงานข่าวแจ้งว่า ในที่ประชุมครม. นายกฯ แจ้งให้ที่ประชุมให้ทราบถึงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กทม. เพื่อรับรองประกาศดังกล่าวเป็นมติครม. ซึ่งที่ประชุมส่วนใหญ่รับทราบโดยที่ไม่ได้มีการติดใจสอบถามหรือตั้งข้อสังเกต มีเพียงนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ชี้แจงเพิ่มเติมว่า เมื่อประกาศสถานการณ์ร้ายแรงแล้วใน กทม. จะมีผลให้การใช้พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะหมดไป

นาทีปะทะ – กลุ่มนักเรียนนักศึกษาและประชาชนปะทะตำรวจควบคุมฝูงชนที่เข้าสลาย ก่อนผู้ชุมนุมจะยอมถอยออกไปด้านในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วสลายตัวแยกย้าย โดยนัดรวมตัวกันใหม่วันที่ 17 ต.ค.แต่ยังไม่กำหนดจุด

สั่งปิดจราจรถนนเข้าทุกเส้นทาง

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.ภ.2 และโฆษก ตร., พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และ พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รอง ผบก.ปอท. รองโฆษก ตร. ร่วมกันแถลงข่าวกรณีแนวทางปฏิบัติในการชุมนุม

พล.ต.ต.จิรสันต์ กล่าวจะมีการปิดการจราจรโดยรอบราชประสงค์ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ขอให้ประชาชนวางแผนการเดินทางเพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์กล่าวถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ในช่วงเวลานี้ ขอให้ใช้อย่างระมัดระวัง เพราะสามารถกดโพสต์ ไลก์ แชร์ ต่างๆ ได้ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่ผลที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นอาจจะต้องมานั่งเสียใจภายหลัง ขอให้นักเรียน นักศึกษา และประชาชน ได้คิดตรึกตรองก่อนกระทำการต่างๆ ในสื่อสังคมออนไลน์

พล.ต.ต.ยิ่งยศยังได้แสดงความเป็นห่วงถึงการฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของนักเรียน นักศึกษา และประชาชน โดยได้เน้นย้ำว่า ตำรวจมาปฏิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันความรุนแรง ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคม และตำรวจต้องทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบตามกฎหมาย การชุมนุมนั้นจะจัดขึ้นไม่ได้โดยเด็ดขาด เจ้าหน้าที่จะใช้มาตราการทางกฎหมายเข้มข้นขึ้น พล.ต.ต. ยิ่งยศยังย้ำกับผู้สื่อข่าวว่า มั่นใจว่าจะไม่เกิดความรุนแรงขึ้น

องค์กรนักศึกษาจี้ยกเลิกฉุกเฉิน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 14.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มนำแท่งแบร์ริเออร์และรั้วลวดหนามมาปิดกั้นพื้นที่ถนนโดยรอบแยกประสงค์แล้ว โดยเริ่มจากแยกชิดลมมุ่งหน้าแยกราชประสงค์ ถนนราชดำริมุ่งหน้าราชประสงค์ ถนนราชดำริฝั่งแยกประตูน้ำมุ่งหน้ามาทางราชประสงค์ และถนนพระรามที่ 1 มุ่งหน้าแยกราชประสงค์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่มีการสลายการชุมนุม จับกุมแกนนำและผู้ร่วมชุมนุม รวมทั้งการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในช่วงเช้าวันที่ 15 ต.ค.นั้น ทางองค์กรนักเรียน นิสิต นักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ อาทิ องค์กรนิสิตรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ สภานักศึกษามหาวิทยาลัยแม่โจ้ องค์การนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาด กระบัง องค์การนักศึกษาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เครือข่ายนักเรียน นิสิต นักศึกษาเคียงข้างประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (คนป.) ได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการใช้ความรุนแรงในการชุมนุม และประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนที่ร่วมชุมนุมด้วยสันติวิธี และขอให้ปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับกุมโดยทันที พร้อมทั้งยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กทม.

กำลังตำรวจเข้าพื้นที่ยึดตั้งแต่บ่าย 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามที่กลุ่มคณะราษฎร ได้นัดทำกิจกรรมใหม่อีกครั้งบริเวณแยกราชประสงค์ จุดเดิม ในเวลา 17.00 น.นั้น ปรากฏว่าตลอดช่วงเช้าบริเวณแยกราชประสงค์สถานการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ห้างสรรพสินค้าย่านนี้เปิดให้บริการตามปกติ มีเพียงรปภ.ห้างต่างๆ คอยดูแลความปลอดภัย สกายวอล์กรถไฟฟ้าบีทีเอส ทางเชื่อมเข้าห้างยังเปิดให้ประชาชนสัญจรตามปกติไม่มีการปิดรั้วกั้น และมีเจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาดกล้องวงจรปิดบริเวณทางเชื่อมเข้าห้าง 3 จุด หลังพบมีการนำสติ๊กเกอร์มาติดเพื่อบดบังการทำงานจับภาพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 14.00 น. ตำรวจเริ่มเข้าควบคุมพื้นที่และการจราจร เริ่มที่ถนนราชดำริ ตั้งแต่แยกราชดำริถึงแยกประตูน้ำ และถนนพระราม 1 ต่อเนื่องถนนเพลินจิต ตั้งแต่แยกเฉลิมเผ่า หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ถึงแยกชิดลม ไม่อนุญาตให้รถทุกชนิดและประชาชนที่ไม่มีกิจธุระสัญจรเข้ามาในพื้นที่แยกราชประสงค์ โดยตั้งจุดคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวด พร้อมใช้แผงเหล็กกั้นปิดทาง ใช้โซ่ล็อกแผงกั้นอย่างแน่นหนา ส่วนอีกชั้นเป็นรั้วพลาสติกสีส้ม โดยข้างในรั้วพลาสติกได้บรรจุน้ำเปล่า เพื่อถ่วงดุลน้ำหนักให้กำแพงไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ ท่ามกลางความสนใจของผู้คนที่สัญจรไปมา

บีทีเอสอ๊อกประตูกั้นสกายวอล์ก

จากนั้นเวลา 15.00 น. เริ่มมีรถกว่า 30 คัน ขนกำลังพลตำรวจทั้งจากสถานีตำรวจภูธร(สภ.) ต่างจังหวัด เช่น สภ.เมืองขอนแก่น เข้าสู่รั้วตร. อีกทั้งมีกำลังพลจากตชด.จำนวนกว่า 300 ร้อยนายแต่งชุดพร้อมปฏิบัติงานและถือโล่กำบัง นำแบร์ริเออร์กั้นพื้นที่โดยรอบห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าบริเวณดังกล่าว ด้านเจ้าหน้าที่เทศกิจกรุงเทพมหานคร ออกเดินขอความร่วมมือผู้ค้าให้ทยอยออกจากพื้นที่

ขณะที่เจ้าหน้าที่บีทีเอสได้ให้ช่างเข้าอ๊อกเชื่อมเหล็กประตูทางกั้นสกายวอล์ก เพิ่มความแน่นหนาและเพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้ บริเวณสกายวอล์กแยกราชประสงค์ ทางเจ้าหน้าที่ได้เชิญให้ประชาชนออกจากพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุดที่ปิดการจราจรจะไม่อนุญาตให้รถยนต์และบุคคลที่ไม่มีกิจธุระเข้าไป แต่จะอนุญาตให้ผู้ที่มีกิจธุระจำเป็น อาทิ ไปโรงพยาบาล มีบ้านพักอาศัยบริเวณนั้นเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งการดูแลรักษาความปลอดภัยวันนี้เข้มงวดมากขึ้น โดยตำรวจได้เตรียมอุปกรณ์สำหรับการควบคุมฝูงชนเต็มรูปแบบ

ขณะเดียวกันห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ประกาศปิดให้บริการในเวลา 16.00 น. รวมถึงได้เคลียร์รถยนต์ ทั้งที่จอดอยู่ภายในห้างหรือนอกห้าง อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เวลา 15.00 น. มีฝนตกลงมาอย่างแรง ล่าสุดยังไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมคนไหนเข้ามาในพื้นที่แยกราชประสงค์

เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนได้เข้าปิดพื้นที่โดยรอบแยกราชประสงค์ซึ่งเป็นจุดที่ผู้ชุมนุม กลุ่มคณะราษฎร 63 ที่จะจัดชุมนุมต่อเนื่องในเวลา 17.00 น โดยปิดการจราจร 3 จุด จุดที่ 1.คือถนนราชดำริ ตั้งแต่แยกราชดำริ-แยกประตูน้ำ จุดที่ 2.ถนนเพลินจิตตั้งแต่แยกชิดลม-แยกราชประสงค์ จุดที่ 3.ถนนพระราม 1 จากแยกราชประสงค์-แยกเฉลิมเผ่า โดยแต่ละจุดใช้แผงเหล็กกั้นคล้องด้วยโซ่ และมีแบร์ริเออร์เป็นแนวป้องกันอีกชั้น เช่นเดียวกันกับสกายวอล์กก็ถูกปิดกั้นทุกเส้นทาง ซึ่งเป็นไปตามการยกระดับมาตรการ การบังคับใช้กฎหมายตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรง

คณาจารย์-อมธ.เยี่ยม3นักศึกษา

เวลา 11.30 น. วันเดียวกัน ที่เรือนจำธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี คณาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมสาสตร์ พร้อมนักศึกษา และทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางเข้าเยี่ยมน.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกูล (รุ้ง) นายณัฐชนน ไพโรจน์ (นัด) และนายพริษฐ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) โดยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมสาสตร์และนักศึกษาได้เขียนข้อความให้กำลังใจใส่กระดาษ เนื่องจากทางเรือนจำไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยมเนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเโควิด-19 โดยจะมอบข้อความให้กำลังใจผ่าน นายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายจากศูนย์ทนาย ความเพื่อสิทธิมนุษยชน พร้อมกับหนังสือที่อาจารย์นำมาฝากให้ได้อ่านภายในเรือนจำ ประกอบด้วย 1.คุกกับคน อำนาจและการต่อต้านขัดขืน 2.อยู่กับบาดแผล 3.โลกของคนไร้บ้าน ซึ่งเมื่อทนายเข้าไปภายในเรือนจำก็จะไม่ได้พบทั้ง 3 คนตัวต่อตัว ต้องสื่อสารกันผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์เท่านั้น เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโรคโควิด

ผศ.คร.จันทรนี เจริญศรี คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต กล่าวว่า การที่พวกเราได้เข้ามาเยี่ยมเพื่อดูแลสวัสดิภาพและเสรีภาพของนักศึกษา แต่ไม่อนุญาตให้เข้าเยี่ยม พวกเราจึงเขียนข้อความห่วงใยรวมถึงฝากหนังสือไปให้นักศึกษาได้อ่านแทน

โรมลั่นใช้ตำแหน่งส.ส.ประกันไผ่

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกล พร้อมทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เดินทางมาเพื่อยื่นขอประกันตัว นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ ไผ่ ดาวดิน อายุ 29 ปี เเกนนำกลุ่มคณะราษฎรที่ชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ ซึ่งถูกจับกุมตัว เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ในความผิด 12 ข้อหา อาทิ เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันเป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อเจ้าพนักงาน ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ

“ผมจะใช้ตำแหน่งส.ส.ยื่นขอประกันตัว สมัยก่อนเขาเอาเงินมาประกันตัวผม ตอนนี้ผมก็ต้องมาประกันตัวคนอื่น เพียงแต่ว่าคราวนี้เราโชคดีหน่อย ที่สามารถใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวได้ ปกติส.ส.แต่ละคนจะมีเงินเดือน 1 แสนกว่าบาท เมื่อคุณ 10 เท่าของเงินเดือนก็จะมีมูลค่าอยู่ประมาณ 1 ล้าน ก็จะประกันตัวได้จำนวนหลายคน” นายรังสิมันต์ โรมระบุ

นายรังสิมันต์ โรม กล่าวต่อว่า เพราะไผ่ ดาวดิน เป็นคนที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ก็หวังว่าการใช้มูลค่าที่กำลังจะวางหลักทรัพย์ 1 ล้านบาท แล้วรอดูว่า ไผ่ ดาวดิน จะได้รับการประกันตัวหรือไม่ เราก็หวังว่าจะได้รับข่าวดี เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในกรุงเทพฯ อีกหลายศาล ก็ไม่มีใครได้ประกันตัวเลย เข้าใจว่ามีคนที่ได้ประกันตัวเพียงคนเดียว คือน้องผู้ชุมนุมที่อายุ 17 ปี จากศาลเยาวชนฯ ส่วนคนอื่นๆ มีแต่ข่าวร้าย

อหิงสา – หนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุมนั่งขวางทางแนวขบวนของตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อไม่ให้ใช้รถฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสีและแก๊สน้ำตาเคลื่อนเข้าไปสลายกลุ่มผู้ชุมนุม ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดเกิดการปะทะกัน

ม็อบย้ายที่ชุมนุมแยกปทุมวัน

เมื่อเวลา 16.00 น. เจ้าหน้าที่รถไฟฟ้าบีทีเอสสถานีสยาม ได้ประกาศให้ผู้โดยสารทราบว่ารถไฟฟ้าจะหยุดให้บริการจอดสถานนี้ที่สถานีราชดำริ และชิดลม ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป เนื่องจากประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จากการชุมนุมของกลุ่มคณะราษฎร 2563 ทั้งนี้ ยังมีผู้โดยสารใช้บริการที่สถานีสยามอย่างเนืองแน่นด้วย เพราะเป็นเวลาเลิกงานและเวลาที่ห้างสรรพสินค้าประกาศปิดให้บริการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากแกนนำประกาศผ่านเพจ และเครือข่ายต่างๆ ย้ายสถานที่ชุมนุมจากแยกราชประสงค์ มายังแยกปทุมวันนั้น ปรากฏว่า กลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมารวมตัวใต้สะพานลอยทางเชื่อมเอ็มบีเคโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการอยู่ประมาณ 1 กองร้อย

เวลา 16.50 น. ที่บริเวณสี่แยกปทุมวัน กลุ่มการ์ด ได้เดินประกาศให้กลุ่มผู้ชุมนุม ที่ทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุม ลงจากสกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน ก่อนจะลงไปปิดสี่แยกปทุมวัน แล้วตะโกน ไล่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนที่อยู่บริเวณใต้สกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน ให้ออกไป จนเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถอยออกไป ขณะเดียวกันเริ่มมีมวลชนจับจองพื้นที่กันอย่างหนาแน่นทันที เมื่อเวลา 17.00 น. มวลชนต่างพากันวิ่งลงบนท้องถนน พร้อมตะโกน “ประยุทธ ออกไป ประยุทธ ออกไป”

ม็อบต่อเนื่อง – นักเรียนนักศึกษาและประชาชนจำนวนมาก เปลี่ยนย้ายจุดสถานที่ชุมนุมหลั่งไหลไปที่แยกปทุมวันจนล้นทะลักทุกด้านและเต็มพื้นที่สกายวอล์ก ภายหลังตำรวจปิดล้อมสกัดกั้นบริเวณแยกราชประสงค์ ไม่ให้เข้าไปปักหลักชุมนุมตามที่นัดหมายกันไว้ เมื่อวันที่ 16 ต.ค.

ยึดพื้นที่เบ็ดเสร็จตะโกนไล่ตู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.30 น. กลุ่มมวลชนคณะราษฎร 2563 เริ่มแน่นพื้นที่ทั้งด้านล่างทางถนนและบนสกายวอล์ก ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำอยู่บริเวณนี้แล้ว จากนั้นไม่นานทางตำรวจได้แจ้งให้ผู้ที่อยู่บนสกายวอล์กลงด้านล่าง

ต่อมาเวลา 16.57 น. มวลชนได้ยึดพื้นที่ตรงแยกปทุมวันได้พร้อมชู 3 นิ้ว ตะโกน “ขี้ข้าเผด็จการ” โดยมวลชนที่อยู่ด้านล่างได้ขอให้ผู้ที่อยู่บนสกายวอล์กลงมาอยู่ร่วมกัน ถ้าไม่ลงมาถือว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน พร้อมทั้งเริ่มนั่งปักหลักรอการปราศรัยของแกนนำแล้ว ท่ามกลางพื้นถนนที่เปียกน้ำจากการที่ฝนตกลงมาก่อนหน้านี้

เวลา 17.00 น. ผู้เข้าร่วมการชุมนุมเคลื่อนลงสู่ผิวการจราจร พร้อมตะโกนขับไล่รัฐบาล พร้อมโจมตีพล.อ.ประยุทธ์อยู่เป็นระยะ ขณะที่การดูแลของเจ้าหน้าที่นั้นยังไม่พบการเข้าหรือกันพื้นที่ จากนั้นเวลา 17.25 น. รถเครื่องเสียงขนาดเล็กได้เคลื่อนมาถึงกลุ่มผู้ชุมนุม การ์ดผู้ชุมนุมได้นำแผงเหล็กกั้นมาล้อมรถเครื่องเสียง เพื่อใช้เป็นเวลาปราศรัย และแกนนำได้เริ่มปราศรัย

บังเก้อ – ตำรวจนำแท่งแบริเออร์กั้นกลางสะพานเฉลิมโลก บริเวณแยกประตูน้ำ เช่นเดียวกับเส้นทางเข้ามาแยกราชประสงค์ทุกด้าน พร้อมตรึงกำลังป้องกันหนาแน่น แต่ประชาชนเปลี่ยนสถานที่ชุมนุมไปแยกปทุมวัน

‘ไมค์’โผล่ขึ้นเวทีปราศรัยด้วย

เวลา 18.16 น. ที่สี่แยกปทุมวัน นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ ระยอง ขึ้นปราศรัยว่า วันนี้แฮชแทกในทวิตบอกว่า 16 ตุลาไปปทุมวัน เดี๋ยวมีอีกว่า 17 ตุลาไปแยกไหนดี วันนี้ได้ข่าวมาว่าให้ตำรวจภาค 2 นอกเครื่องแบบพร้อมรถ 4 คัน บอกต้องจับไอ้ไมค์ให้ได้วันนี้ แค่พูดมันง่าย จับกูให้ได้แล้วกัน วันนี้ทุกคนมีส่วนสำคัญขับเคลื่อนขบวนการประชาธิปไตย และที่สำคัญมากๆ อยากเตือนสติทุกคน ได้ยินข่าวมาว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะประกาศกฎอัยการศึก ขอให้ติดตามว่ามันจะทำศึกกับประชาชนจริงหรือเปล่า ถ้ามันมองเราเป็นข้าศึก เราก็มอง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เป็นข้าศึกเหมือนกัน

ไมค์กล่าวต่อว่า เมื่อเช้า ประยุทธ์บอกสื่อว่าจะไม่ออก มันทำอะไรผิด คนด่าเป็นหมื่นเป็นแสน ยังไม่รู้ตัวอีก หน้าด้านจริงๆ ส่วนประวิตรบอกอยากคุยกับแกนนำ ใครจะคุยกับพวกปัญญาอ่อนแบบนี้ จริงๆ ตนเคยเปิดโอกาสหลายครั้งกับการเจรจากับผู้นำประเทศ ถ้าทุกคนดูข่าว ตนตามประยุทธ์ไปหลายครั้งเพราะอยากคุย แต่ตามไปก็โดนอุ้มตลอด แล้วไหนบอกว่าอยากคุยกับแกนนำ อยากบอกว่าถ้ายังมองความผิดตัวเองไม่ชัด ก็มองย้อนไปที่ตัวเองว่าเข้ามาเป็นนายกฯ ได้เพราะอะไร

ทั้งนี้ ขออัพเดตว่าแกนนำที่ถูกจับไปทุกคนมีกำลงใจดีมาก ไม่มีใครท้อเลย เพนกวินอยู่เรือนจำธัญบุรี ทุกคนฝากบอกว่าสบายดี และขอให้ทุกคนสานต่ออุดมการณ์ให้ด้วย เพนกวินบอกว่าออกมาเมื่อไร เจอกันแน่นอน ส่วนทนายอานนท์อยู่เรือนจำเชียงใหม่ สบายดีเช่นกัน บอกไม่ต้องเป็นห่วง สู้ต่อไป ส่วนไผ่ ดาวดินสบายดีเช่นกัน ขอให้ทุกคนสานต่อเจตนารมณ์ของแกนนำ

กระเด็น – ภาพนาทีรถฉีดน้ำแรงดันสูงฉีดน้ำใส่ตัวผู้ชุมนุมจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ขณะที่ กอร.ฉ. แถลงว่าฉีดน้ำพ่นกระจายเป็นวงกว้างเท่านั้น ไม่ได้กระทำรุนแรงแต่อย่างใด

ผบช.น.บัญชาการ-ตร.ฉีดน้ำดันสูง

เวลา 18.45 น. แกนนำประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้มวลชนกระจายกำลังกันอยู่รอบบริเวณ อย่ากระจุกตัวกัน เพราะเจ้าหน้าที่สามารถทำอะไรก็ได้ ขณะที่แกนนำปราศรัยขอความร่วมมือมวลชนที่อยู่บนสกายวอล์กปทุมวันให้ลงมา เพื่อจะได้แยกระหว่างมวลชนกับนอกเครื่องแบบออก รวมทั้งประกาศแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเฉพาะนอกเครื่องแบบที่ปะปนอยู่ หากจะจับให้ส่งทูตเข้ามา เดี๋ยวจะออกไปให้จับเอง อย่าเข้ามา

เวลา 18.00 น. บริเวณแยกปทุมวัน พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตา ผบช.น. ลงพื้นที่สั่งการให้เจ้าหน้าที่เตรียมสลายการชุมนุม โดยเวลา 18.20 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจโดยชุดกองร้อยตชด. ตั้งแถวเดินหน้าเข้าหาผู้ชุมนุม โดยฝั่งผู้ชุมนุมนำแผงเหล็กมากั้นเป็นแนวประชันกับเจ้าหน้าที่ เวลา 18.40 น. แนวของเจ้าหน้าที่เคลื่อนมาหยุดห่างจากแนวของผู้ชุม 20 เมตร โดยผู้ชุมนุมตะโกนส่งเสียงไล่ “ออกไป” ต่อเนื่อง พร้อมชู 3 นิ้ว แล้วพร้อมใจกันนั่งลงกับพื้น พร้อมกับนำแผงเหล็กกั้นมาเสริมด้านหน้าต่อเนื่อง

เวลา 18.45 น. เจ้าหน้าที่ขยับแนวเข้าใกล้ผู้ชุมนุมอีกครั้ง ส่วนผู้ชุมนุมร้องเพลงชาติ จากนั้นเจ้าหน้าที่ประกาศจะฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ผู้ชุมนุม โดยให้เวลา 3 นาที แต่ผู้ชุมนุมไม่ถอยร่นนำร่มมากางด้านกั้นแถวหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่เริ่มนับถอยหลังแล้วฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม แต่แรงดันน้ำไปชนใต้รางรถไฟฟ้าไม่ถึงผู้ชุมนุม รถน้ำจึงขยับเข้ามาใกล้ผู้ชุมนุมและฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมอีกครั้ง

เวลา 18.55 น. เจ้าหน้าที่เริ่มฉีดน้ำพร้อมขยับแถวเข้าประชิดผู้ชุมนุมและฉีดน้ำสีใส่จนเกิดความชุลมุน ขณะที่ผู้ชุมนุมตะโกน “อย่าทำพวกเรา” แม้กลุ่มผู้ชุมนุมเริ่มกระเจิงเพราะน้ำที่ฉีดผสมสารเคมี ทำให้ผู้ชุมนุมแสบตา แสบจมูก จนผู้ชุมนุมกระเจิงกันไป แต่พักเดียวก็พยายามหาอุปกรณ์มาเสริมแนวกั้น ขณะที่รถน้ำยังระดมฉีดน้ำต่อเนื่อง

เวลา 19.15 น. เจ้าหน้าที่เริ่มฉีดน้ำอีกครั้งและขยับกินพื้นที่การชุมนุมเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนยิงน้ำผสมสารเคมีใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมกระจัดกระจาย แต่ไม่ยอมถอยร่นยังคงมีการเสริมแผงเหล็กปิดก่อนเข้าเวทีใหญ่

แกนนำให้ม็อบรวมตัวที่จุฬาฯ

เวลา 19.20 น. บริเวณหน้าสนามกีฬาไปทางแยกเจริญผล แกนนำประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมไปรวมตัวกันที่จุฬาฯ โดยผู้ชุมนุมทยอยเดินทางออกมา โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ส่วนร้านค้าต่างๆ รีบเก็บร้าน ขณะที่การ์ดพยายามบอกตลอดเส้นทางเพราะเกรงเป็นอันตราย

เวลา 19.15 น. เจ้าหน้าที่เริ่มฉีดน้ำอีกครั้งและขยับกินพื้นที่การชุมนุมเข้ามาเรื่อยๆ ก่อนยิงน้ำผสมสารเคมีใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมกระจัดกระจาย แต่ไม่ยอมถอยร่นยังคงมีการเสริมแผงเหล็กปิดก่อนเข้าเวทีใหญ่

เวลา 19.20 น. บริเวณหน้าสนามกีฬาไปทางแยกเจริญผล แกนนำประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้ผู้ชุมนุมไปรวมตัวกันที่สนามหน้า หอประชุมจุฬาฯ โดยผู้ชุมนุมทยอยเดินทางออกมา โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ส่วนร้านค้าต่างๆ รีบเก็บร้าน ขณะที่การ์ดพยายามบอกตลอดเส้นทาง เพราะเกรงว่าผู้ร่วมชุมนุมจะเป็นอันตราย

เวลา 19.25 น. นายรังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เดินทาง มาสังเกตการณ์การชุมนุมบนสกายวอล์กปทุมวัน โดยนายรังสิมันต์ ปฏิเสธให้ถ่ายภาพ โดยกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ขอดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนว่าอะไรเป็นอะไร แล้วจะหาทางช่วยแน่นอน

เวลา 19.30 น. มีรถเก๋งโตโยต้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากแยกปทุมวันเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ชุมนุม บางส่วนได้ด่าทอและทุบรถ จนรถต้องล่าถอยไป

ตร.ยังตามไล่ให้ออกนอกพื้นที่

ต่อมาเวลา 19.40 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แถวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมอาวุธครบมือ ได้ขยับมาประจันหน้ากับด่านของผู้ชุมนุม ที่ตั้งเป็นบังเกอร์ไว้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ผู้ชุมนุมและมีคำสั่งให้เดิน หน้าข้ามแผงไป ทำให้ตำรวจพยายามดัน แผงเหล็กออกไปแล้วมาตั้งแถวแนวหน้าบริเวณแผงเหล็ก ขณะที่ผู้ชุมนุมได้ถอยร่นไปเรื่อยๆ

จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เคลื่อนมาเรื่อยๆ มีการคล้องแขน เคาะโล่แล้วกระจายกำลังเดินทั้งสองฝั่งถนน โดยมีผู้ชุนมุนประมาณ 5 คนพร้อมรถมอเตอร์ไซค์ ยืนประจันหน้า ชู 3 นิ้ว ขณะที่ผู้ชุมนุมอีกฝั่งถนน มีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อนจะถูกฉีดน้ำแรงดันสูงเข้าใส่ จนทำให้ผู้ชุมนุมกระจายออกไป ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดผ่านเครื่องกระจายเสียงให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ตอนนี้ รวมทั้งประชาชนและสื่อมวลชนให้ออกจากสะพาน และเดินหน้ากระชับพื้นที่ โดยฉีดน้ำแรง ดันสูงเป็นระยะ เข้าใส่ทั้งผู้ชุมนุมและสื่อมวลชน

สลายชุมนุม-‘ฟอร์ด’ถูกจับ

เวลา 19.45 น. ผู้ชุมนุมบอกต่อๆ กันว่าแกนนำให้สลายการชุมนุมและแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนผู้ที่ยังอยู่ในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จะมีการ์ดอาสาเข้าไปช่วยดูแล จากนั้นได้ให้ผู้ชุมนุมกลับบ้าน พร้อมกับปิดประตูฝั่งหน้าสระน้ำ

เมื่อเวลา 19.50 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เคลื่อนแถวมาถึงแยกปทุมวัน ขณะที่มีมวลชนบางส่วนยังไม่ยอมกลับแม้ทางแกนนำจะประกาศให้สลายการชุมนุมก็ตาม จากนั้นตำรวจได้ประกาศเตือนครั้งสุดท้ายให้มวลชนและผู้สื่อข่าวออกนอกพื้นที่ และมีการจับแกนนำผู้ชุมนุม

ต่อมาเวลา 20.00 น. นายอนุรักษ์ เจต วนิชย์ หรือฟอร์ด เส้นทางสีแดง นักเคลื่อนทางการเมือง และนายณัฐนนท์ ดวงสูงเนิน แกนนำชุมนุม ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมขึ้นรถ คุมขัง

นอกจากนี้ ยังมีผู้ชุมนุมบางส่วนแตกกลุ่มออกไปชุมนุมต่อที่สะพานหัวช้าง

คดี 110 – ญาติร่ำไห้กอดนายบุญเกื้อหนุน เป้าทอง นักกิจกรรมทางการเมือง ผู้ต้องหากระทำผิดมาตรา 110 ขณะเข้ามอบตัวที่สน.ดุสิต กรณีม็อบประชิดขบวนเสด็จวันที่ 14 ต.ค. ส่วนภาพเล็ก นายเอกชัย หงส์กังวาน มอบตัวในคดีเดียวกัน เมื่อวันที่ 16 ต.ค.

ศาลออกหมายจับเพิ่มอีก 12

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพิ่มอีกจำนวน 7 ราย ประกอบด้วย 1. นายปัญญา เจริญทรัพย์ 2. นายนัดธชัย ขุนแข็ง 3. นายพรเทพ คงอินทร์ 4.น.ส.ธนิฐา กาวี, 5.นายศักดิ์ชัย ศรีเมือง, 6.นายธีรชัย จุติมงคลกุล และ 7.นายนฤชา จันทร์สุข ทั้งหมดมีอายุตั้งแต่ 19 ปีขึ้นไป ในความผิดฐานชุมนุมมั่วสุมกันอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ด้านศาลแขวงปทุมวัน ได้ออกหมายจับแกนนำคณะราษฎร จำนวน 12 ราย ประกอบด้วย 1.น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ 2.นายกรกช แสงเย็นพันธ์ 3.น.ส.ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 4.นายสิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ 5.นายณัฐชนน พยัฆพันธ์ 6.นายสมบัติ ทองย้อย 7.นายวสันต์ กล่ำถาวร 8.นายอรรถพล บัวพัฒน์ 9.นายทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี 10.นายณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 11.นายชินวิตร จันทร์กระจ่าง และ 12.นายภาณุพงศ์ หรือไมค์ จาดนอก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน