พท.ฉะไม่เลิกซื้อ
เรือดำน้ำ-อาวุธ
กมธ.บี้ปม’อัครา’

‘บิ๊กตู่’สั่งปรับลดงบปี65 กันเงินไว้รับมือวิกฤตโควิด ชะลอโครงการไม่เร่งด่วน ยกเลิกแผนงานไม่เกิดประโยน์ ผอ.สำนักงบฯ ยันต้องปรับลดให้เหลือ 70-80% เพื่อไทยซัดนายกฯสั่งประหยัด แต่ไม่แตะงบเรือดำน้ำ-จัดซื้ออาวุธกองทัพ ส.ส.ปทุมฯ ‘ชัยยันต์’ ยอมรับแนะเพื่อนส.ส.เพื่อไทย ถอนชื่อคำร้องถอด ‘สิระ’ ยันไม่ได้ล็อบบี้ ไม่มีการจ่ายเงิน ก้าวไกลจี้รัฐบาลแจงผลเหมืองอัครา กระทรวงอุตฯ อ้างเจรจาบริษัทคิงส์เกตส่อจบด้วยดี ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย รัฐบาลใช้อะไรต่อรอง ‘ชวน’ เซ็นตั้งแล้ว 11 ก.ก.สมานฉันท์

ตู่มอบนโยบายใช้งบปี 65

เวลา 08.30 น. วันที่ 11 ม.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวมอบนโยบายให้หน่วยรับงบประมาณทั่วประเทศ เพื่อจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ว่า การจัดทำงบ 2565 ต่อเนื่องจากงบปี 2564 ยังคงเป็นงบแบบขาดดุลในจำนวนที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อวินัยและความยั่งยืนทางการคลัง เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวพ้นภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นจากการระบาดของ โควิด-19 รวมทั้งเพื่อฟื้นฟูให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้อย่างปกติตามศักยภาพ

ครม.มีมติเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2564 เห็นชอบวงเงินงบปี 2565 จำนวน 3,100,000 ล้านบาท ลดลงจากวงเงินงบปี 2564 (3,285,962.5 ล้านบาท) เป็นจำนวน 185,962.5 ล้านบาท เนื่องจากข้อจำกัดด้านการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล ปีงบประมาณ 2565 ประมาณการว่าจะจัดเก็บได้ 2,400,000 ล้านบาท ลดลงจากปีงบ 2564 จำนวน 277,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของ โควิด ประกอบกับการดำเนินมาตรการด้านภาษีเพื่อบรรเทาผลกระทบดังกล่าว รวมถึงการชะลอมาตรการภาษีภายใต้แผนการปฏิรูปภาษี ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ในปีงบ 2565 ทำให้การขาดดุลงบเพิ่มขึ้นจากปีงบ 2564 จำนวน 91,037.5 ล้านบาท

สั่งชะลองบประจำไม่จำเป็น

จากวงเงินงบที่มีจำกัดจึงขอความร่วมมือจากทุกหน่วยงานบริหารงบรายจ่ายประจำอย่างประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความจำเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาปรับใช้ในการทำงานมากขึ้น เช่น การประชุม สัมมนา ประชาสัมพันธ์ทางออนไลน์ และรายจ่ายประจำที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนให้ชะลอไปก่อน และควรประเมินผลสำเร็จของการดำเนินงานว่าเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายมากน้อยเพียงใด หากแผนงานหรือโครงการใดไม่ก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมาย ก็ควรยกเลิก เพื่อนำงบไปดำเนินการในแผนงานและโครงการอื่นต่อไป

ต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ และคนพิการ เพื่อให้มีรายได้เพียงพอดำรงชีวิต และลดความเสี่ยงจากผลกระทบโควิด-19 ไปยังบุคคลอื่นและชุมชน ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น (อปท.) เพิ่มศักยภาพการถ่ายโอนภารกิจ การจัดบริการสาธารณะ ลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งการพัฒนาประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้และประสิทธิผลของการใช้จ่ายของอปท. จัดทำงบให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน โดยหน่วยรับงบที่มีเงินนอกงบต้องพิจารณานำเงินดังกล่าว เช่น เงินรายได้ เงินสะสมคงเหลือ มาใช้ในภารกิจของหน่วยงานเป็นลำดับแรก ควบคู่การพิจารณาทบทวนเพื่อชะลอ ปรับลด หรือยกเลิกการดำเนินโครงการที่มีความสำคัญในระดับต่ำหรือหมดความจำเป็น รวมทั้งต้องพิจารณาแหล่งเงินอื่นดำเนินโครงการลงทุน เช่น การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (TFF) เพื่อลดภาระงบประมาณ และทำให้การใช้ทรัพยากรของประเทศเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

การจัดทำคำของบประมาณต้องให้ความสำคัญเป็นลำดับแรกกับประเด็นการพัฒนาตามแผนแม่บทเฉพาะกิจ 4 ประเด็น ที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อรับมือและเตรียมความพร้อมช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ขอให้หน่วยรับงบประมาณ จัดทำคำขอรับงบปี 2565 และจัดส่งให้สำนักงบประมาณ ภายในวันที่ 15 ม.ค.นี้

สำนักงบแจงปรับลด 20-30%

นายเดชาภิวัฒน์ ณ สงขลา ผอ.สำนักงบประมาณ กล่าวว่า การจัดทำงบปี 2565 ยังต้องยึดยุทธศาสตร์ชาติเป็นหลัก และขอให้ทุกหน่วยงานพิจารณาปรับลดรายจ่ายประจำลงให้เหลือ 70-80% เพราะกรอบวงเงินงบประมาณกำหนดวงเงินงบลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 20% ของวงเงินงบประมาณรวม หรือมีวงเงิน 6.2 แสนล้านบาท ในเมื่อกรอบงบรวมปีนี้ลดลง วงเงินรายจ่ายประจำต้องลดลงด้วย ทุกหน่วยงานต้องไปหารือร่วมกันว่ารายจ่ายประจำที่ลดลงควรเป็นรายการใด หรือชะลอไปถึงปี 2566 ได้บ้าง พร้อมจัดทำเป็นกรอบงบประมาณรายจ่ายระยะปานกลาง ปี 2565-67 มาให้สำนักงบประมาณพิจารณา

“ที่สำคัญปีนี้คือ ขอให้ทุกหน่วยงานดำเนินงานให้ตรงตามความต้องการประชาชน หมายถึงเข้าไปสอบถามว่าประชาชนต้องการอะไร ไล่ตั้งแต่ประชาคมหมู่บ้าน อำเภอ หรือกรณีเป็นท้องถิ่นตั้งแต่ ตำบล อบต. เทศบาล ถึง อบจ. เมื่อประชาชนต้องการให้จัดทำเป็นเป้าหมาย วัตถุประสงค์ กำหนดเป็นตัวชี้วัดให้ดี ส่วนการก่อหนี้อยากให้ก่อหนี้ในไตรมาส 2 ไม่ใช่ ส.ค.-ก.ย.เหมือนที่ผ่านมา โดยไม่ใช่การเตรียมความพร้อมแค่แบบรูป พื้นที่ หรือรายการ แต่ต้องพร้อมจะก่อหนี้ได้เลย หรือทำทีโออาร์เอาไว้เรียบร้อยแล้ว” ผอ.สำนักงบฯ กล่าว

ปรับหลักเกณฑ์ส่งเงินนอกงบ

สำหรับงบรายจ่ายประจำปี 2565 มีกรอบวงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 185,962 ล้านบาท เนื่องจากข้อจำกัดด้านการจัดเก็บรายได้ปี 2565 ที่ประมาณการว่าจะจัดเก็บได้ 2.4 ล้านล้านบาท ลดลง 2.77 แสนล้านบาท เพราะผลกระทบจากโควิด การดำเนินมาตรการด้านภาษีของรัฐบาล รวมถึงการชะลอบางมาตรการภายใต้แผนการปฏิรูปภาษี ส่งผลต่อการจัดเก็บรายได้ปี 2565 จึงต้องขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 91,037 ล้านบาท

หน่วยงานราชการ และ อปท.ที่สามารถจัดเก็บรายได้ได้เอง เช่น ค่าธรรมเนียม หรือเงินนอกงบประมาณที่ต้องสมทบตามความเหมาะสม ปีนี้จะปรับหลักเกณฑ์การส่งเงินสมทบให้สูงขึ้น เพื่อแบ่งเบาภาระงบประมาณ ส่วนงบบุคลากรที่นายกฯ อยากให้ปรับลดนั้น สำนักงบประมาณขอย้ำว่า งบประมาณและสวัสดิการต่างๆ ยังคงเดิม และจะไม่ปรับลดจำนวนบุคลากร แต่จะพิจารณาเรื่องการแต่งตั้งและสถิติการใช้จ่ายเพื่อดูความเหมาะสม สำหรับการก่อสร้างต่างๆ ต้องมีหนังสืออนุมัติใช้พื้นที่ก่อสร้าง ไม่ใช่เพียงแค่มีหนังสือคำขอ

พท.ซัดไม่ปรับลดงบกองทัพ

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการมอบนโยบายจัดทำงบปี 2565 ของนายกฯ ว่า ครม.เห็นชอบวงเงินงบปี 2565 จำนวน 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากวงเงินงบปี 2564 จำนวน 185,962 ล้านบาท เนื่องจากมีข้อจำกัดในการจัดเก็บภาษี ที่จะลดลงในงบปี 2565 จำนวน 277,000 ล้านบาท เป็นผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-19 ตนเป็นส.ส.มากว่า 20 ปี ไม่เคยเห็นรัฐบาลไหนตั้งงบประจำปีลดลงกว่า 200,000 ล้านบาท เหมือนรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ เพราะงบปี 2565 ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักจากโควิด-19 รัฐบาลมีหน้าที่สำคัญที่สุดคือการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในส่วนของภาครัฐคือการลงทุน โครงการภาครัฐต้องเพิ่มขึ้นเพื่อให้ประชาชนค้าขายทำธุรกิจได้ คนจะได้มีรายได้และมีงานทำเพิ่มขึ้น เพราะขณะนี้ภาคเอกชนกำลังจะตายสนิท ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ภาคการท่องเที่ยวก็ไม่มีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศเข้ามา คนไทยก็ไม่เที่ยว พล.อ.ประยุทธ์ บอกแต่ว่าให้ประหยัดงบ แต่ไม่มีนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ช่วยเหลือภาคธุรกิจและประชาชนจากวิกฤตเศรษฐกิจโควิด แต่กลับไม่แตะต้องงบกองทัพต่างๆ เลยแม้แต่น้อย

มีข้อสังเกต คือพล.อ.ประยุทธ์ ไม่พูดเรื่องการปรับลดงบปี 2565 ในส่วนของกองทัพ โครงการจัดซื้ออาวุธต่างๆ ยังเดินหน้าเต็มที่ในงบปี 2565 เช่น กองทัพเรือจัดซื้อเรือดำน้ำใหม่จากจีน 2 ลำ งบ 25,000 ล้านบาท โครงการก่อสร้างท่าจอดเรือดำน้ำ 950 ล้านบาท, กองทัพบก โครงการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์โจมตี 4,226 ล้านบาท โครงการจัดซื้อรถถังใหม่ 1,672 ล้านบาท โครงการจัดหายานเกราะ 1,026 ล้านบาท ซื้อเครื่องบินหรู 1,350 ล้านบาท, กองทัพอากาศ โครงการจัดซื้อเครื่องบินโจมตีเบา 4,500 ล้านบาท โครงการพัฒนาการปฏิบัติการในห้วงอวกาศ 1,470 ล้านบาท

ซื้อเรือดำน้ำจีน-จำเป็นยังไง

“พล.อ.ประยุทธ์ พูดเรื่องการจัดทำงบปี 2565 ที่ลดลงไป 200,000 ล้านบาท ซึ่งไม่มีรัฐบาลไหนเขาทำกัน เพราะต้องเอางบมาช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในทุกภาคส่วน แต่คำถามคือทำไม พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมปรับลดงบของ 3 กองทัพเลย มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรที่ต้องซื้อเรือดำน้ำใหม่จากจีน 2 ลำในงบปี 2565 ในสภาวะคนไทยเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสในทุกภาคส่วน” รองหัวหน้าพรรคพท. กล่าวย้ำ

นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวกรณีรัฐบาลยืนยันว่ายังมีงบเพียงพอในการช่วยเหลือประชาชน แต่ที่น่าสนใจคือการเยียวยาโควิดรอบแรกรัฐยังล้มเหลวในการช่วยเหลือประชาชน หากมีเงินเหลือจริงทำไมไม่ช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ เป็นที่น่าสงสัยที่รัฐบาลประวิงเวลาไม่ยอมเปิดเผยว่ามีมาตรการเยียวยาอย่างไร พรรคเพื่อไทยพร้อมเป็นกระบอกเสียงแทนประชาชนในการทวงถามรัฐบาลถึงมาตรการในการดูแลพี่น้องประชาชนที่ชัดเจน รัฐบาลต้องรับผิดชอบประชาชนมากกว่านี้ ไม่ควรทิ้งภาระทั้งหมดให้ประชาชนรับผิดชอบตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

เลขา‘ชวน’แจงยิบปมคำร้องสิระ

เวลา 11.50 น. ที่รัฐสภา นายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา แถลงกรณีศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องพิจารณาสมาชิกภาพส.ส.ของนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พลังประชารัฐ โดยมีส.ส.หลายคนกล่าวหานายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ว่า การยื่นคำร้องของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขอให้ประธานสภาส่งเรื่องให้ศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพส.ส.ของนายสิระ โดยยื่นคำร้อง 17 ธ.ค. 2563 มีส.ส.ร่วมลงชื่อ 62 คน มีส.ส.ถอนชื่อ 10 คน ฝ่ายสำนักงานเลขาธิการสภาตรวจลายมือชื่อพบไม่ตรงตามลายมือชื่อที่ให้ไว้อีก 2 คน จึงเหลือส.ส. 50 คน ครบ 1 ใน 10 ของจำนวนส.ส.เท่าที่ มีอยู่

วันที่ 28 ธ.ค. สำนักงานเลขาธิการสภาได้ยื่นคำร้องต่อศาล กระบวนการทั้งหมดของประธานสภามีความชอบด้วยมาตรา 82 คำร้องที่ยื่นไปสมบูรณ์ ไม่มีขาดตกบกพร่อง และแจ้งให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ทราบว่ายื่นคำร้องต่อศาลแล้ว แต่วันที่ 28 ธ.ค. มีส.ส. 2 คนยื่นหนังสือขอถอนชื่อออกจากคำร้อง ซึ่งเลยเวลาที่ยื่นต่อศาลไปแล้ว และเจ้าหน้าที่สภาได้ตรวจลายมือชื่อและเสนอผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน โดยยื่นต่อศาลวันที่ 29 ธ.ค. เพราะถือว่าเรื่องเข้าสู่ศาลแล้ว การถอนชื่อต้องให้ศาลเป็นผู้วินิจฉัย

ไม่ได้แจ้ง 2 ส.ส.ก่อนตัดชื่อออก

ต่อมา 6 ม.ค.2564 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยื่นเอกสารขอเพิ่มชื่ออีก 5 คน โดยหนังสือถึงสำนักงานประธานสภา เวลา 10.40 น. เจ้าหน้าที่ได้ส่งตรวจลายมือชื่อเวลา 13.00 น. ผลการตรวจสอบกลับมายังเจ้าหน้าที่ 7 ม.ค. และเสนอตามขั้นตอนเสร็จเวลา 14.30 น. เจ้าหน้าที่สภาได้ไปยื่นศาล เวลา 15.50 น. แต่มีข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ลงวันที่ 7 ม.ค. ระบุมีการประชุมพิจารณาคดีไปแล้วเมื่อ 6 ม.ค. ดังนั้นกรณีขอเพิ่มชื่อส.ส.อีก 5 คน ศาลจึงไม่รับเข้าสู่สำนวน ยังมี 2 ส.ส.ที่ขอถอนชื่อไปแล้วนั้น ทำหนังสือขอยกเลิกการถอนชื่อ ยื่นถึงเจ้าหน้าที่สภาวันที่ 7 ม.ค. ซึ่งยื่นหลังจากศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องแล้ว จะเห็นว่า นายชวนดำเนินการตามกระบวนการขั้นตอนที่ตรงไปตรงมา ถูกต้องชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ทุกประการ

เมื่อถามว่าก่อนตัด 2 ชื่อที่ลายมือไม่เหมือนที่ให้ไว้ ได้แจ้งส.ส.ดังกล่าวทราบหรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า เมื่อเจ้าหน้าที่สภาตรวจสอบเห็นว่ารายชื่อครบตามจำนวนแล้วส่งไปตามขั้นตอน และปกติไม่จำเป็นต้องแจ้งให้ส.ส.ที่ถูกตัดชื่อทราบ เพราะไม่มีผลเนื่องจากจำนวนครบแล้ว

ก้าวไกลจี้ปธ.สภาแจง

นายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.ก้าวไกล กล่าวกรณีเช่นนี้ การที่นายชวน จงใจไม่บอกกล่าวต่อพล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ในฐานะผู้ยื่นคำร้องว่ามีการผิดพลาด หรือขาดรายชื่อ ลายมือชื่อ ไม่เหมือนในเอกสารที่ยื่น ทั้งกรณีส.ส.บางส่วนถอนชื่อครั้งเเรก และส่วนของรายชื่อที่ไม่ตรงในเอกสาร เเละครั้งสุดท้าย 7 ม.ค.คือ การถอนรายชื่อจากส.ส. 2 คนของเพื่อไทย ทั้งหมดรวม 14 คนก่อนส่งศาล เป็นการจงใจให้คำร้องถูกตีตกใช่หรือไม่ เพราะหากยื่นไปไม่ถึง 50 รายชื่อ ก็คือไม่ครบ 1 ใน 10 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ขอให้นายชวน ออกมาชี้เเจงประเด็นที่ตนตั้งข้อสังเกต ด้วยข้อเท็จจริงเเละเหตุผล เพื่ออธิบายว่าการกระทำนั้นชอบด้วยมาตรฐานจริยธรรมเเละเป็นกลางหรือไม่

อุบลศักดิ์ยันลงชื่อถอดถอนสิระ

นายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเป็น 1 ในส.ส.ที่ร่วมลงชื่อถอดถอน และยืนยันว่าไม่ได้ถอนชื่อออก แต่เมื่อเร็วๆ นี้ มีเจ้าหน้าที่รัฐสภาโทร.มาสอบถามว่าได้ร่วมลงชื่อขอถอดถอนนายสิระหรือไม่ เพราะลายมือชื่อที่เซ็นรับรองถอดถอนกับลายมือชื่อที่เซ็นรับรองเป็นส.ส.ต่อสภา ไม่เหมือนกัน จึงยืนยันไปว่าได้ลงชื่อถอดถอนจริง แต่ลายเซ็นอาจไม่ตรงกัน เพราะเซ็นแบบหวัดๆ ไม่บรรจง แต่ตอนเซ็นชื่อรับรองเป็นส.ส. เซ็นตัวบรรจง เจ้าหน้าที่อาจเข้าใจผิดคิดว่าไม่ได้ลงชื่อ

“ยืนยันว่าได้ลงชื่อแน่นอน ดังนั้นถ้าผมลงชื่อในคำร้อง จะมีชื่อส.ส.ที่ลงชื่อรับรองในคำร้อง 49 คน ถือว่าครบตามจำนวนส.ส. 1 ใน 10 ของส.ส.ที่มีอยู่ ตามมาตรา 82 ไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่สภานับผมเป็น 1 ในส.ส.ที่ยื่นถอดถอนนายสิระหรือไม่” นายอุบลศักดิ์กล่าว

ชัยยันต์อ้างแค่แนะนำส.ส.ถอนชื่อ

นายชัยยันต์ ผลสุวรรณ์ ส.ส.ปทุมธานี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวเป็นคนชักชวนและโน้มน้าวให้เพื่อนส.ส.ถอนชื่อออกจากคำร้องถอดถอนนายสิระ ว่า วันที่ 12 ม.ค. ตนจะเข้าไปคุยกับพรรคว่าเขาจะมี นโยบายอย่างไร แต่ความจริงเรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย ตนให้คำปรึกษากับเพื่อน 1-2 คนซึ่งเป็นส.ส.ภาคกลาง มาปรึกษาตนในฐานะทนายเท่านั้น เมื่อนายสิระมาพูดขู่ในกมธ.และแถลงข่าวขู่ ตนในฐานะที่อยู่กมธ.เดียวกับนายสิระ ก็เข้าไปขอว่าอย่าฟ้องเพื่อนตนได้ไหม นายสิระก็ตอบว่าถ้าเป็นเพื่อนพี่ให้ แต่ถ้าใครยืนยันลงชื่อกับพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อีกเป็นครั้ง 2 ถือว่าเอาเป็นเอาตายกับเขา เขาจะไม่ยอมถอนฟ้องให้ ตนก็เอาความนี้ไปแจ้งให้เพื่อนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ไม่ได้ไปคุยกับ ส.ส.อีสานเลยแม้แต่คนเดียวเพราะไม่สนิท

ก่อนหน้านี้ตนโทร.ไปแจ้งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพท. แล้วว่า มี ส.ส.ภาคกลาง 1 คนประสงค์จะถอนชื่อ เลขาฯก็รับทราบและไม่ได้ว่าอะไร เพราะขณะนั้นยังไม่ได้เป็นมติพรรค ส.ส.มีเอกสิทธิ์เข้าชื่อหรือถอนชื่อได้อย่างเต็มที่ มีเพียงกรณีนี้เท่านั้น แต่วันนี้พรรคกลับมาโยนให้ตนคนเดียว ก็ไม่เข้าใจ ตนเป็นส.ส.สมัยแรก จะไปมีพาวเวอร์อะไรไปคุยกับส.ส.อีสาน ซึ่งเป็น ส.ส.มาหลายสมัย จะขอดูท่าทีของพรรคก่อนหากได้ข้อสรุปอย่างไรตนอาจขอเปิดแถลงข่าวที่สภา เพราะเรื่องนี้ก็ทำให้ตนเสียหายในพื้นที่เช่นกัน ยืนยันไม่ได้ล็อบบี้ใคร ไม่ได้รับเงินรับทองใครมาให้คนในพรรคทั้งสิ้น แค่ให้คำแนะนำกับเพื่อนเมื่อเขามาปรึกษาในฐานะทนายเท่านั้น

กมธ.สงสัย‘เหมืองอัครา’จบง่าย

นายอภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.ก้าวไกล ประธานกมธ.การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า กรณีมีรายงานข่าวจากทำเนียบระบุถึงข้อพิพาทเหมืองทองคำอัครา ระหว่างบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดตเต็ด ลิมิเต็ด กับรัฐบาลไทย ที่อยู่ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรม รายงานให้ที่ประชุมครม. ธ.ค.ที่ผ่านมา ผลการเจรจากับคิงส์เกตค่อนข้างชัดเจนว่าจะจบลงด้วยดี มีแนวโน้มถอนฟ้องรัฐบาลไทยและกลับมาลงทุนอีกครั้ง ภายใต้นโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ พ.ศ.2560 และ พ.ร.บ.แร่ฉบับใหม่ พ.ศ.2560 โดยคิงส์เกตอาจจับมือกับนักลงทุนไทยเพื่อลงทุนครั้งใหม่นี้ด้วยนั้น ทำให้ แปลกใจว่าจะจบกันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ

จี้รัฐบาลแจงการเจรจาต่อรอง

รัฐบาลต้องรีบชี้แจงให้ชัดเจน เพราะตามวิสัยของนักลงทุนและนายทุน การไม่ได้ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปลายปี 2559 ด้วยคำสั่งตาม ม.44 ของหัวหน้าคสช. คือพล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นนายกฯขณะนี้ด้วย วันนั้นถึงวันนี้กว่า 3 ปีที่เขาไม่มีรายได้และสูญเสียหลายอย่าง รวมทั้งสู้คดีกับรัฐบาลไทยจนเป็นเรื่องใหญ่โต เรื่องจะจบง่ายๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย จึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก นำมาซึ่งคำถามว่ารัฐบาลไทยเอาเรื่องอะไรไปเจรจาต่อรอง มีเรื่องใดแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ด้วยหรือไม่ เพราะท้ายที่สุด สิ่งที่ถกเถียงกันต่อไปถ้าเกิดต้องเสียค่าโง่ในครั้งนี้ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ รัฐบาลไทย หรือพล.อ.ประยุทธ์

ประชาชนคงเกิดคำถามว่าทำไมเรื่องนี้มันจบง่ายจัง เท่าที่ติดตามข่าวคิงส์เกตฯ เรียกค่าเสียหาย 3 หมื่นล้าน และการสู้คดีรัฐบาลไทยใช้เงินไปมหาศาล พรรคก้าวไกลเคยตรวจสอบตัวเลขนี้แล้วเมื่อปี 2562 เป็นจำนวน 60 ล้านบาท ปี 2563 จำนวน 218 ล้านบาท และงบปี 2564 ตั้งไว้ 111 ล้านบาท รวม 389 ล้านบาท ซึ่งสูงมากเพื่อใช้แก้ปัญหาให้บุคคลคนเดียวคือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ใช้อำนาจตาม ม.44 อย่างไม่รับผิดชอบ คำถามคือข้อร้องเรียนจากชาวบ้านเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมจะมีแนวทางแก้ไขอย่างไร และผลการเจรจาที่บอกว่าคิงส์เกต อาจจับมือกับนักลงทุนไทยเพื่อลงทุน ครั้งใหม่เป็นกลุ่มทุนไหน เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศคงรอฟังคำตอบเหล่านี้

ฝ่ายค้านเล็งขยายเวลาซักฟอก

ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน รองหัวหน้าเพื่อไทย เผยว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 6 พรรคจะประชุมร่วมกันในวันที่ 15 ม.ค.ถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยรอพิจารณารูปแบบการประชุมอีกครั้งว่าจะประชุมแบบพร้อมหน้า หรือผ่านออนไลน์ เพื่อกำหนดประเด็น ข้อมูลและหลักฐานว่าแต่ละพรรคจะกำหนดให้ใครเป็นผู้อภิปราย และจะอภิปรายรัฐมนตรีคนใดบ้าง ซึ่งคาดว่าจะทราบทิศทางการอภิปรายและตัวบุคคลที่ชัดเจนได้ประมาณ 80% และนำข้อมูลหลักฐานที่พร้อมมาร่างญัตติเสนอต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภา ภายในสิ้นเดือนม.ค.นี้

ยอมรับว่ากังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 กระทบต่อการขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และไม่มั่นใจจะเปิดอภิปรายได้หรือไม่ แต่หาก ก.พ.ไม่ทัน ก็สามารถขอขยายเวลาการอภิปรายไปในเดือนถัดไปได้ ซึ่งเป็นการขอขยายเวลาเพื่อชดเชยกรณีพิจารณาไม่จบตามสมัยประชุม ที่สามารถขอเลื่อนได้ แต่หากเวลาทอดยาวออกไป ประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจก็อาจเพิ่มอีกก็ได้

‘ชวน’เซ็นตั้ง11กก.สมานฉันท์

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้ลงนามในประกาศ รัฐสภา เรื่อง แต่งตั้งกรรมการสมานฉันท์ ตามที่มีประกาศรัฐสภาเรื่อง การเเต่งตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ ลงวันที่ 8 ธ.ค.2563 กำหนดรูปแบบเเละองค์ประกอบ โดยมีกรรมการ 21 คน บัดนี้รัฐบาล ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ส.ว. ที่ประชุมอธิการบดี ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏ และที่ประชุมคณะกรรมการอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ได้เสนอชื่อผู้เเทนมาแล้ว

อาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 80 วรรคสี่ ประธานรัฐสภา จึงออกประกาศแต่งตั้งบุคคลต่อไปนี้ เป็นกรรมการสมานฉันท์ 1.พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล 2.นายเทอดพงษ์ ไชยนันทน์ 3.นายนิโรธ สุนทรเลขา 4.นาย สรอรรถ กลิ่นประทุม 5.นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ 6.นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร 7.นายสุริชัย หวันแก้ว 8.นายวันชัย วัฒนศัพท์ 9.นายสมศักดิ์ รุ่งเรือง 10.นายนิรุต ถึงนาค 11.นายวิโรจน์ ลิ้มไขแสง และให้ข้าราชการของสำนักงานเลขาธิการสภา ทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการ ของคณะกรรมการ ดังนี้ นายคุณวุฒิ ตันตระกูล เลขานุการ นายณัฐพัฒน์ พัดทอง ผู้ช่วยเลขานุการ นายศตพล วรปัญญาตระกูล ผู้ช่วยเลขานุการ

ถกนัดแรก 18 ม.ค.

นายคุณวุฒิ ตันตระกูล รองเลขาธิการสภา ทำหน้าที่เลขานุการคณะกรรมการฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ได้ประสานกรรมการให้ร่วมประชุมนัดแรกวันที่ 18 ม.ค. เวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา โดยในนัดแรก นายชวน จะเข้าร่วมประชุมและเปิดให้สื่อมวลชนเข้าร่วมด้วย วาระประชุมเริ่มจากการเลือกกรรมการให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ เช่น ประธาน รองประธาน โฆษก และวาระเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ด้านงานปรองดอง 4 คน รวมถึงหารือถึงกรณีกรรมการที่กำหนดให้มาจากผู้ชุมนุมด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน