รำลึกสลดโคราช
ทบ.แจงเยียวยา

โคราชทำบุญครบรอบ 1 ปี เหตุสลดจ่าทหารคลั่งไล่ฆ่าทั่วเมืองเมื่อปี 63 มีผู้เสียชีวิต 31 ศพ บาดเจ็บอื้อทบ.สรุปผลเยียวยาเหยื่อรวมถึงช่วยให้รับราชการทหาร-ตำรวจ-รัฐวิสาหกิจ ถอดยศ-ยึดบำเหน็จจ่าคลั่ง-พ.อ.’ตัวต้นเรื่อง หนุ่มบิ๊กไบก์หนุ่มพลเมืองดีเหยื่อกระสุนจนพิการ ยังไม่สิ้นกำลังใจเร่งกายภาพบำบัดหวังกลับไป ใช้ชีวิตปกติ เผยดีใจ ทบ.รับน้องชายเข้าเป็นทหาร

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 8 ก.พ. นายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.นครราชสีมา พร้อม พล.ต.สวราชย์ แสงผล รองแม่ทัพภาคที่ 2 ร่วมเป็นประธานในพิธีทอดผ้าบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลให้กับประชาชน 9 ราย ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทหารคลั่งใช้อาวุธสงครามกราดยิงในวัดป่าศรัทธารวม ต.หัวทะเล อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 บริเวณแทนอนุสรณ์ไว้อาลัยเหยื่อกราดยิง 9 ศพ ใกล้กับประตูทางออกด้านหลังวัดป่าศรัทธารวม

โดยมีหลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เจ้าอาวาสวัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ ซึ่งได้นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จำนวน 4 รูป ประกอบพิธีทอดผ้าบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต ในวาระครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์กราดยิง ท่ามกลางญาติผู้เสียชีวิตที่มาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก ส่วนที่วันที่ 9 ก.พ. เวลา 07.00 น. ทางจังหวัดนครราชสีมา จะร่วมกับทุกภาคส่วนจัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์ 10 รูป เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตทั้ง 31 ราย จากเหตุการณ์ทหารคลั่งใช้อาวุธสงครามกราดยิงที่โคราช เมื่อวันที่ 8-9 ก.พ. 2563 ที่ศาลาการเปรียญวัดป่าศรัทธารวม

พล.ต.สวราชย์ เผยถึงมาตรการเยียวผู้เสียชีวิต 31 ราย ได้รับเยียวยา 28 ราย รายละ 3.2 ล้านราย ตามเงื่อนไขรายบุคคล (เว้นผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ 3 ราย) ผู้บาดเจ็บ 57 ราย ได้รับการเยียวยา 56 ราย แบ่งเป็น บาดเจ็บเสี่ยงพิการ 3 ราย ประมาณรายละ 3.7 ล้านบาท, บาดเจ็บหนัก (พักรักษาตัวเกิน 20 วัน) 12 ราย รายละ 6 แสน ถึง 1.4 ล้านบาท บาดเจ็บหนัก (พักรักษาตัวไม่เกิน 20 วัน) 5 ราย รายละประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นบาท, บาดเจ็บปานกลาง 13 ราย รายละประมาณ 3 แสนบาท และบาดเจ็บเล็กน้อย 23 ราย รายละประมาณหนึ่งแสนสองหมื่นบาท (ยกเว้น 1 ราย)

ส่วนการบรรจุของทายาทของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บสาหัสเข้ารับราชการและรัฐวิสาหกิจ รวม 31 ราย กองทัพบก 26 ราย , ตำรวจแห่งชาติ 4 ราย, และการรถไฟแห่งประเทศไทย 1 ราย.

วันเดียวกัน ที่บ้านเลขที่ 899/48 หมู่บ้านศิริสุข 1 วิลเลจ ต.หนองจะบก อ.เมือง จ.นครราชสีมา บ้านพักของนายจิรัฐิติกาล หรือเนย นอบไทย อายุ 27 ปี หนุ่มบิ๊กไบก์พลเมืองดี ที่ถูกทหารคลั่งยิงขณะเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่บริเวณด้านหน้าศูนย์การค้า เทอร์มินอล 21 โคราช ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสกระสุนปืนทำลายอวัยวะภายในบริเวณช่องท้องและแขนเส้นเอ็นขาด นอนเป็นเจ้าชายนิทราในห้องไอซียู ร.พ.มหาราชนครราชสีมา ประมาณ 1 สัปดาห์

ท่ามกลางการส่งกำลังใจของญาติและคนไทยทั้งในและต่างประเทศ ในที่สุดปาฏิหาริย์ก็มีจริงนายจิรัฐิติกาลรู้สึกตัวและอาการบาดเจ็บเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะต้องเสียไตไป 1 ข้าง และแขนไม่มีแรงเพราะเอ็นขาด การขับถ่ายต้องผ่านถุงพลาสติก ลำไส้อยู่นอกร่างกาย แต่อดทนและพยายามช่วยเหลือตนเองและฝึกทำกายภาพบำบัดจนมาถึงวันนี้ครบรอบ 1 ปี ร่างกายฟื้นกลับมาแล้วประมาณ 70 เปอเซ็นต์ โดยแพทย์นัดผ่าตัดครั้งใหญ่เอาลำไส้เก็บเข้าท้องในเดือนเม.ย.นี้ จนถึงขณะนี้นายจิรัฐิติกาลยังไม่สามารถทำงานได้เพราะร่างกายไม่แข็งแรง แต่เขาช่วยเหลือตัวเองได้ ขับรถยนต์ได้ และไปทำกายภาพบำบัดทุกวันจันทร์ ไม่เป็นภาระของพ่อและแม่ที่ต้องไปทำงานทุกวัน

นายจิรัฐิติกาลกล่าวขอบคุณ แพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่ของร.พ.มหาราชนครราชสีมาทุกคน รวมถึงกำลังใจของพี่น้องชาวไทยที่รักษาเขาจนกลับมาได้เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ ถึงแม้ร่างกายจะไม่ 100 เปอร์เซ็นต์เต็ม แต่จะสู้ต่อไปไม่อยากจะนึกถึงวันที่เกิดเหตุเพราะทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำคิดถึงวันนั้นทีไรก็บั่นทอนจิตใจ วันนี้คิดอย่างเดียวอยากให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงในเร็ววัน เพื่อออกไปทำงานหาเงินช่วยพ่อแม่ไม่อยากให้เป็นภาระ และไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกและขอให้เป็นครั้งสุดท้ายที่เกิดกับประเทศไทย

“ส่วนการช่วยเหลือจากกองทัพเรื่องการบรรจุเข้ารับราชการทหาร ผมไม่สามารถเป็นทหารได้เพราะร่างกายไม่แข็งแรงไตถูกตัดไป 1 ข้าง ถือว่าเป็นผู้พิการ จึงขอทางกองทัพบกช่วยเหลือโดยให้น้องชายเข้ารับการบรรจุแทน ขณะนี้ทางกองทัพภาคที่ 2 ได้รับหลักฐานเอกสารของน้องไปหมดแล้ว และเสนอทาง ผู้บังคับบัญชาจนได้รับอนุมัติ ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำสั่งบรรจุแต่งตั้ง ผมต้องขอขอบพระคุณทางกองทัพบกที่ไม่ทอดทิ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบและดำเนินช่วยเหลือตามที่ได้เคยประกาศไว้” นายจิรัฐิติกาลกล่าว

ที่บก.ทบ. พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกทบ. แถลงสรุปครบ 1 ปี เหตุการณ์ดังกล่าวว่า หลังจากกองทัพบกมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน และฟื้นฟูเยียวยา รวมถึงพิจารณาลงโทษผู้เกี่ยวข้อง โดยการเยียวยาแบ่งเป็น 2 ลักษณะ ให้กับผู้เสียชีวิตทั้ง 31 ราย และบาดเจ็บ 57 คน รวม 88 ราย โดยบรรจุราชการทหาร 31 คน สังกัดกองทัพบก 26 คน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 4 คน และพนักงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟ 1 คน

ทั้งนี้ ผู้ก่อเหตุและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ประกอบด้วย จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ผู้ก่อเหตุ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ นางอนงค์ มิตรจันทร์ และนายพิทยา แก้วพรหม จะไม่ได้รับการเยียวยา พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนปลดประจำการถอดยศ ถึงแม้จะเสียชีวิตไปแล้วจะไม่ได้รับสิทธิตามระเบียบบำเหน็จตกทอด ทั้งจ.ส.อ.จักรพันธ์ และพ.อ.อนันต์ฐโรจน์

ในขณะที่ผู้บังคับบัญชาประจำหน่วยกองทัพภาค โดนคาดโทษ และผู้บัญชาการช่วยรบที่ 2 ถูกปรับย้ายมาประจำตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิ ประจำกองทัพบก (ยศไม่ขึ้น) นอกจากนี้กองทัพบกยังปรับปรุงระเบียบการรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธ และปรับปรุงระบบสวัสดิการกองทัพให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งสวัสดิการภายในและนอกเหนือ

สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2563 จ.ส.อ.จักรพันธุ์ ถมมา ทหารหน่วยกองพันกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรธรรมพิทักษ์ บุกยิงพ.อ.อนันต์โรจน์ กระแสร์ ผบ.พัน กระสุน 22 และนางอนงค์ มิตรจันทร์ อายุ 63 ปี แม่ยายของพ.อ.อนันต์โรจน์ เสียชีวิตคาบ้านเลขที่ 187 ม.3 บ้านถนนหัก ต.หนองจะบก อ.เมือง จ.นครราชสีมา และนายพิทยา แก้วพรม นายหน้าที่ดิน ลูกน้องนางอนงค์บาดเจ็บ

สาเหตุเกิดจากที่จ.ส.อ.จักรพันธุ์กู้เงินสวัสดิการกองทัพบกเป็นเงิน 1.5 ล้านบาท นำไปซื้อบ้านในโครงการที่นางอนงค์เป็นเจ้าของในราคา 1.1 ล้านบาท มีข้อตกลงว่าจะได้เงินส่วนต่าง หรือเงินทอนจำนวน 4 แสนบาทคืน แต่รอแล้วรอเล่าติดตามทวงถามไปกี่ครั้งก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งมีการนัดหมายมาเจรจา โดยมีเจ้านายของจ.ส.อ.จักรพันธุ์ มาเป็นพยานร่วมไกล่เกลี่ย สุดท้ายก็เหลวอีก จนเป็นเหตุให้จ.ส.อ.จักรพันธุ์ใช้ปืน 9 ม.ม. ที่เตรียมมายิงทั้งหมดด้วยความแค้น

จากนั้นขับรถไปกองพันสรรพาวุธที่ 22 ในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ใช้ปืนจี้ทหารยามยึดปืนเอชเค พร้อมแม็กกาซีน แล้วบุกยังไปกองพัน ยิงพลทหารโชคชัย มูลจันทา ทหารเวรรักษาคลังอาวุธปืนบาดเจ็บ ขโมยอาวุธปืนสงคราม กระสุนจำนวนมาก ใส่รถจี๊ปตรวจการณ์ของทหาร ขับออกหน้าค่ายทหาร แต่ตำรวจสายตรวจสภ.โพธิ์กลาง พยายามสกัดด้วยการขับรถจอดขวางทาง

แต่จ.ส.อ.จักรพันธุ์ใช้อาวุธสงครามยิงเปิดทางขับรถเปลี่ยนเส้นทางออกไปทางด้านหลังค่าย มุ่งหน้าไปทางวัดป่าศรัทธารวม ก่อนใช้ปืนกลเอ็ม 60 ยิงกราดใส่รถของด.ต.ชัชวาลย์ แท่งทอง ที่เข้ามาระงับเหตุ จนเสียชีวิตคาพวงมาลัยพร้อมกับอาสาสมัครตำรวจบ้าน และชาวบ้านที่ถูกลูกหลงเสียชีวิตอีกหลายคน พร้อมยึดวิทยุสื่อสารไปเพื่อดักฟังความเคลื่อนไหวของตำรวจ ก่อนบุกไปที่ห้างเทอร์มินอล 21 กราดยิงใส่รถที่วิ่งไปมา และถ่ายไลฟ์เฟซบุ๊ก พร้อมพิมพ์ข้อความ ประกาศว่าจะสู้จนตัวตาย ท่ามกลางความแตกตื่นของผู้คนที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกจากห้าง แต่ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ถูกขังอยู่ด้านใน และตลอดทั้งคืนมีถูกยิงบาดเจ็บและเสียชีวิตอีกหลายศพ

ช่วงค่ำ 4 หน่วยพิเศษ ประกอบด้วย หน่วยหนุมาน จากกองปราบปราม อรินทราช 26 จาก บช.น. นเรศวร 261 จากบช.ตชด. และคอมมานโด 904 จากตำรวจมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ 904 รอ. ถูกตามตัวบินด่วนมาร่วมปฏิบัติการในภารกิจนี้ โดยมีพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผบ.ตร. เป็นผู้วางยุทธศาสตร์ในการช่วยเหลือตัวประกันและปิดล้อมจับกุมตัวผู้ก่อเหตุ

ต่อมาเวลา 01.00 น. วันที่ 9 ก.พ. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. (ขณะนั้น) พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รองผบ.ตร. นำกำลังเข้าตรึงพื้นที่ พร้อมเป็นบก.ส่วนหน้า กำกับสถานการณ์ด้วยตัวเอง เจ้าหน้าที่ปิดล้อมบีบพื้นที่เข้าไปจนเกิดการปะทะกันขึ้นหลายครั้ง มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตหลายนาย กระทั่งเวลา 08.50 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่บีบพื้นที่จนถึงชั้นในสุด คนร้ายเปิดประตูห้องเย็นออกมายิงต่อสู้กับตำรวจจนถูกจับตายในที่สุด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน