ให้ศาลอุทธรณ์
พิจารณาคดีใหม่

คดี‘เขาแพง’ลูกเทือก ศาลฎีกาสั่งย้อนสำนวน ให้ศาลอุทธรณ์ตัดสินใหม่ตามรูปคดี หลังยกฟ้องเมื่อปี 61 เพราะฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา ยังไม่ได้วินิจฉัยกรณีอุทธรณ์ความผิดรุกป่า ตามศาลชั้นต้นชี้โทษคุก 3-5 ปี เพื่อไม่ให้ลักลั่นและกำหนดโทษจำเลยทั้งสี่เป็นไปตามลำดับศาล

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ห้องพิจารณา 811 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษาคดีรุกป่าเขาแพง หมายเลขดำ อ.3534/56 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายพรชัย ฟ้าทวีพร อายุ 58 ปี ผจก.ห้างหุ้นส่วนเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น, นายสามารถ หรือ โกเข็ก เรืองศรี อายุ 66 ปี หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และนายหน้าขายที่ดิน, นายแทน เทือกสุบรรณ อายุ 42 ปี บุตรชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อายุ 63 ปี อดีตเลขานุการส่วนตัวของนายสุเทพ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและ ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ และ พ.ร.บ. ป่าไม้ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2518 มาตรา 22

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 27 ก.ย.43 – 5 ต.ค.44 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 31 ไร่ 2 งาน 97 ตร.ว. ส่วนจำเลยที่ 3-4 ร่วมกันบุกรุกเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำลาย แผ้วถางป่าเขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เนื้อที่ 14 ไร่ ด้วยการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พวกจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษา จำคุกจำเลยที่ 1-2 คนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่ 3-4 จำคุกคนละ 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากเป็นเรื่องร้ายแรง พวกจำเลยอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ต.ค.61 ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องพวกจำเลยทั้งหมด อัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ลงโทษพวกจำเลย

ศาลฎีกาเเผนกคดีสิ่งเเวดล้อมตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือเเล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1-2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิกับพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2464 มาตรา 54, 55, 72 ตรี โดยโจทก์ระบุถึงฐานความผิดที่ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่อย่างชัดแจ้งและบรรยายฟ้องมีสาระสำคัญว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้บังอาจร่วมกันบุกรุกอันเป็นการทำลายเข้าไปยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าที่เกิดเหตุซึ่งเป็นที่ดินของรัฐ และเป็นที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลใดได้มาโดยชอบด้วยกฎหมายที่ดิน

โดยจำเลยที่ 1-2 ไม่มีสิทธิครอบครองหรือได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องดังกล่าวอันเป็นการบรรยายฟ้องที่ได้ระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยที่ 1, 2 ได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการ กระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งเกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยที่ 1, 2 เข้าใจข้อหาได้ดีแล้วส่วนการกระทำของจำเลยที่ 1, 2 จะเป็นความผิดหรือไม่อย่างไรยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าที่เกิดเหตุอย่างไรบ้างเป็นรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณาและเป็นเรื่องที่ศาลจะวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนต่อไป

ทั้งจำเลยที่ 1, 2 ก็เข้าใจข้อหาได้ดี โดยให้การปฏิเสธต่อสู้คดีมาตลอด ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1, 2 มีสิทธิครอบครองที่ดินที่เกิดเหตุตามกฎหมายและเป็นการซื้อขายต่อมาจากเจ้าของที่ดินรายเดิมการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ทั้งสามแปลงปฏิบัติโดยถูกต้องตามกฎหมายดังนี้ฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1, 2 จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)

แล้วที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้นประกอบกับคดีนี้จำเลยทั้งสี่ต่างอุทธรณ์ต่อสู้ว่า ไม่ได้กระทำความผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1, 2 โดยเห็นว่าเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) โดยยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยที่ 1,2 ที่โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ 1, 2 มิได้กระทำความผิด แต่กลับข้ามไปพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 3, 4 ซึ่งมีความเกี่ยวพันต่อเนื่องเชื่อมโยงกับการ กระทำของจำเลยที่ 1, 2 ทั้งที่มูลเหตุของการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่ก็สืบเนื่องมาจากที่ดิน ส.ค. 1 ทั้งสามแปลงที่จำเลยที่ 1, 2 นำมาดำเนินการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทั้งสามแปลงที่เกิดเหตุ

ซึ่งการที่ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1, 2 ต่อไปนั้น อาจเป็นผลให้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยงแปลงไป เพื่อให้การวินิจฉัยคดีไม่เป็นการลักลั่นและการกำหนดโทษจำเลยทั้งสี่เป็นไปตามลำดับศาล เพราะผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจนำไปสู่การจำกัดสิทธิฎีกาของคู่ความได้ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 204(2) ประกอบมาตรา 225 พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

เขาแพง – นายแทน เทือกสุบรรณ ลูกนายสุเทพ แกนนำกปปส. เดินทางมาศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีรุกเขาแพง โดยศาลตีกลับคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้อง และให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีใหม่ เมื่อ 18 มี.ค.

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน