ก่อนลดเหลือ3ปี
โทษจำ-รออาญา

ศาลอาญาสั่งจำคุกสูงสุด 290 ปี กลุ่มผู้ต้องหาคดี ‘เมจิกสกิน’ ฐานหลอกลวงผู้บริโภค ผลิตสบู่เมซโซ-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แต่รับสารภาพ ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี สำนึกผิด พยายามชดใช้ให้ผู้เสียหาย 91 ราย 1.6 ล้านบาท ผ่อนชำระ 25 ราย วางเงินต่อศาลชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวน โทษจำคุกลงเป็นรายกระทงไม่เกิน 3 ปี พิพากษาให้รอลงอาญา 3 ปี ให้โอกาสกลับตัว ประกอบอาชีพสุจริต นำเงินมาชดใช้ให้หมด

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 24 มี.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อ.42/2562 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้อง บริษัท เมจิกสกิน จำกัด โดยนายกร พวงสน กรรมการผู้มีอำนาจ, นายกร พวงสน ฐานะส่วนตัว, นางวรรณภา พวงสน ภรรยาของจำเลยที่ 2, นายพีร์นิธิ ติรณวัตถุภรณ์, นายกสิทธิ์ วรชิงตัน และนายไมยสิทธิ์ สว่างธรรมรัตน์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-6 ตามลำดับ ฐานกระทำผิด พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558, พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพ โดยจำเลยที่ 1-6 มาศาล พร้อมทนายความเพื่อฟังคำพิพากษา

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 5 ส.ค.2560-15 ก.พ.2561 ต่อเนื่องกันบริษัท เมจิกสกินฯ นายกร และนางวรรณา ได้ร่วมกันผลิตเครื่องสำอางและสบู่ยี่ห้อ Mezzo โดยจดแจ้งต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ว่า บริษัทเมจิกสกินฯ ตั้งอยู่เลขที่ 522/46 ถ.สืบศิริ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นผู้ผลิต แต่ความจริงแล้วจำเลยทั้งสามเป็นผู้ว่าจ้างบริษัทพีโอเอส.คิสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ผลิตเพื่อจำหน่ายเครื่องสำอางยี่ห้อดังกล่าว ต่อมามีผู้เสียหายหลายรายหลงและมอบเงินให้พวกจำเลยเป็นของตนเองโดยทุจริต

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่า จำเลยทั้งหมดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (1), พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 มาตรา 41,71 และจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามมาตรา 6(10), 25(2), 53,59 และพ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 การกระทำของจำเลยทั้งหมดเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และฐานร่วมกันโฆษณาคุณประโยชน์ สรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด มีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2-6 กระทงละ 2 ปี รวม 59 กระทง และปรับ 5,000 บาท รวม 59 กระทง และความผิดข้อหาอื่นฯ

จำเลยทั้งหมดให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน คงจำคุกจำเลยที่ 2-6 กระทงละ 1 ปี ปรับจำเลยทั้งหก กระทงละ 2,500 บาท รวม 59 กระทง ฐานร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง และร่วมกันผลิตอาหารปลอม คงปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท ฐานร่วมกันจำหน่ายอาหารปลอมและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ควบคุมฉลากโดยแสดงฉลากไม่ถูกต้อง คงจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 3 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 3,000 บาท ฐานร่วมกันผลิตเพื่อขายเครื่องสำอางโดยจัดให้มีฉลากและแสดงฉลากไม่ถูกต้อง คงจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 1 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท ฐานร่วมกันผลิตเครื่องสำอางไม่ตรงตามที่จดแจ้ง คงปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท ฐานร่วมกันขายเครื่องสำอางปลอมที่แสดงฉลากไม่ถูกต้อง คงจำคุก จำเลยที่ 2-3 คนละ 1 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 5,000 บาท

รวมจำคุกจำเลยที่ 2 และ 3 คนละ 59 ปี 5 เดือน และปรับคนละ 170,500 บาท, จำคุกจำเลยที่ 4-6 คนละ 59 ปี และปรับคนละ 147,500 บาท สำหรับความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนให้จำคุกจำเลยที่ 2-6 คนละ 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2)

ทั้งนี้เมื่อรวมโทษทั้งหมดแล้ว คงปรับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 175,000 บาท จำเลยที่ 2 และ 3 จำคุกคนละ 20 ปี 5 เดือน และปรับ 170,500 บาท จำเลยที่ 4-6 จำคุกคนละ 20 ปี และปรับ 147,500 บาท

พิเคราะห์เห็นว่าคดีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องสำอางที่เป็นความผิดไม่มีลักษณะที่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยอย่างร้ายแรงแก่ประชาชนจนถึงขนาดที่ไม่อาจให้โอกาสแก่จำเลยที่ 2-6 กลับตัวเป็นพลเมืองดีในสังคม อีกทั้งจำเลยที่ 2-6 ต่างสำนึกผิด ซึ่งการให้โอกาสจำเลยได้ไปประกอบอาชีพเพื่อนำรายได้มาชดใช้ค่าเสียหายน่าจะเป็นประโยชน์กว่า และไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2-6 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ 3 ปี ได้ชำระเงินและวางเงินต่อศาลครบถ้วน ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จนผู้เสียหายที่ 1-5,7,9-12,14-16,19-25,27-57 และ 59 ไม่ติดใจดำเนินคดี ให้ร่วมกันชำระแก่ผู้เสียหายที่ 6 จำนวน 1.3 ล้านบาท ผู้เสียหายที่ 8 จำนวน 4.1 ล้านบาท ผู้เสียหายที่ 13 จำนวน 428,930 บาท ผู้เสียหายที่ 17 จำนวน 37,100 บาท ผู้เสียหายที่ 18 จำนวน 71,615 บาท ผู้เสียหายที่ 26 จำนวน 142,957 บาท และผู้เสียหายที่ 58 จำนวน 132,957 บาท

ศาลอาญายังได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.43/2562 ที่พนักงานอัยการคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท เมจิกสกิน จำกัด โดยนายกร พวงสน กรรมการผู้มีอำนาจ, นายกร พวงสน ฐานะส่วนตัว, นางวรรณภา พวงสน สามีภรรยา ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับฐานกระทำผิด พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558 พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

กรณีเมื่อระหว่างเดือนก.พ.2560-เม.ย.2561 ต่อเนื่องกันพวกจำเลยร่วมกับน.ส.ตรีชฎา ใจสบาย, บริษัท ฮานิว โคเรีย และน.ส.ปาจรีย์ วงศ์สมบูรณ์ จำเลยคดีอาญาหมายเลขแดง อ.3781/2561 กระทำผิดหลายกรรมต่างกันโดยบังอาจร่วมกันผลิตเพื่อจำหน่ายเครื่องสำอางปลอมโดยจำเลยทั้งสามร่วมกับ น.ส.ตรีชฎา บริษัท ฮานิส และน.ส.ปาจรีย์ ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำโดยร่วมกันรับจ้างผลิตเครื่องสำอางยี่ห้อ ตรีชฎา แล้วจดแจ้งการผลิตเพื่อจำหน่ายต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) โดยมีผู้เสียหายจำนวนมากที่หลงเชื่อ มูลค่าความเสียหาย 55,711,529 บาท

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 343 วรรคแรก พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2548 พ.ร.บ.ว่าด้วย การกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์2550 ความผิดตามพ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน จำคุกจำเลยที่ 2-4 กระทงละ 2 ปีและปรับจำเลยทั้ง 4 กระทงละ 5,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ถึง 4 คนละ 290 ปีและปรับคนละ 735,000 บาท ฐานร่วมกันขายเครื่องสำอางปลอม จำคุกจำเลยที่ 2 ถึง 4 คนละ 2 เดือนและปรับจำเลยทั้ง 4 คนละ 10,000 บาทและจำเลยที่ 1-3 ยังมีความผิดฐานร่วมกันผลิตเพื่อขายรับจ้างผลิตเครื่องสำอางปลอมจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 1 ปีและปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 คนละ 20,000 บาท

เมื่อจำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพให้จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 145 ปี และปรับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 คนละ 362,500 บาท ฐานร่วมกันผลิตเพื่อขาย รับจ้างผลิตเครื่องสำอางปลอม จำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ 3 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 10,000 บาท รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 145 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยที่ 1-3 คนละ 377,500 บาท จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนดโทษ 145 ปี 1 เดือน และปรับจำเลยที่ 4 จำนวน 367,500 บาท แต่ความผิดฐานฉ้อโกงดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี จึงให้จำคุกจำเลยที่ 2 – 4 คนละ 20 ปี จำเลยที่ 2-3 คนละ 20 ปี 4 เดือนและปรับ 377,500 บาท จำเลยที่ 4 มีกำหนด 20 ปี 1 เดือนและปรับ 367,500 บาท

พิเคราะห์แล้วจำเลยทั้ง 4 ต่างสำนึกผิด โดยชดใช้เงินให้ผู้เสียหาย 91 ราย คิดเป็นเงิน 1.6 ล้านบาท ผ่อนชำระ 25 ราย มีผู้เสียหายส่วนน้อยที่ตกลงค่าเสียหายไม่ได้ แต่ได้วางเงินต่อศาลเพื่อบรรเทาความเสียหายแล้ว และเมื่อจำเลย ที่ 2-4 ไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษ 3 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29,30

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน