โต้คดีตุ๋นพันล้าน
โดนสอบเครียด
เหยื่อรุมแจ้งจับ
ไม่ต่ำกว่า500คน

‘ประสิทธิ์ เจียวก๊ก’ มอบตัวกองปราบฯ โดนสอบเครียดทั้งวัน ให้การปฏิเสธคดีตุ๋นพันล้าน โวยถูกกลั่นแกล้ง มั่นใจชี้แจงข้อกล่าวหาได้ ตร.ส่งเข้าห้องขัง รุ่งขึ้นส่งฝากขังศาลอาญา พร้อมค้านประกัน เหตุคดีมีผู้เสียหายมาก มูลค่าความเสียหายก็มาก เป็น ผู้ต้องหาคนสำคัญ หวั่นเกรงยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน อาจหลบหนี ขณะที่เหยื่อรู้ข่าวมอบตัว แห่ไปกองปราบฯ ติดตามคดี ให้การมัด มีทั้งนักแสดงละคร ที่ปรึกษารัฐมนตรี ผบก.ป.ระบุมีผู้เสียหายประสงค์แจ้งความแล้วไม่ต่ำกว่า 500 คน

เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่กองบังคับการปราบปราม นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก อ้างตัวเป็นประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน ผู้ต้องหาคนสำคัญคดีฉ้อโกงประชาชน มูลค่าความเสียหายกว่าพันล้านบาท พร้อมทีมทนายความนำพยานเอกสารหลักฐานเข้าพบ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. และพนักงานสอบสวนกองปราบฯ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายจับศาลอาญา

นายประสิทธิ์กล่าวว่าถูกออกหมายจับร่วมกับพวกรวม 6 คน โดยมั่นใจว่าสามารถชี้แจงและต่อสู้คดีตามกฎหมายได้ เพราะสิ่งที่พูดไปทั้งหมดเป็นข้อเท็จจริง และมั่นใจว่าถูกกลั่นแกล้งอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาก็มีคดีความที่ตกเป็นผู้เสียหาย สูญเงินไปกว่า 100 ล้านบาท อีกทั้งยังถูกนำชื่อไปเชื่อมโยงกับประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองด้วย จึงอยากให้สังคมแยกแยะระหว่างการระดมทุนทางธุรกิจกับการทำธุรกิจแบบเครือข่าย ส่วนตัวเชื่อมั่นว่ายังมีคนที่มั่นใจในตนอยู่ และหากทำผิดจริงก็ต้องรับโทษตามกฎหมายอยู่แล้ว

นอนกรง – นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ประธานโครงการคืนคุณแผ่นดิน หลอกตุ๋นร่วมลงทุน ทำธุรกิจ เข้าพบ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม ผบก.ป. พร้อมพยานหลักฐาน สอบเครียดกว่า 6 ชั่วโมง ตร.ไม่ให้ประกันตัว ต้องนอนห้องขัง บก.ป. เมื่อวันที่ 17 พ.ค.

ต่อมา พ.ต.อ.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ รองผบก.ปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (ปอศ.) เปิดเผยว่าตำรวจยังคงสอบปากคำนายประสิทธิ์ อีกทั้งต้องรอความเห็นจาก พล.ต.ต.สุวัฒน์ ว่ายังมีประเด็นใดที่ต้องสืบสวนสอบสวนเชิงลึกหรือไม่ และตำรวจมีอำนาจควบคุมตัวนายประสิทธิ์ 48 ชั่วโมง โดยในชั้นพนักงานสอบสวนยืนยันคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีที่มีผู้เสียหาย และมูลค่าความเสียหายจำนวนมาก ประกอบกับนายประสิทธิ์ถือเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญ เกรงว่าจะยุ่งเหยิงพยานหลักฐาน เเละอาจจะหลบหนี

จากนั้นตำรวจ กก.4 ปอศ. นำนำเอกสารเกี่ยวกับการทำธุรกิจที่พบจากการเข้าตรวจค้น เป็นจำนวน 4 คันรถ ไปส่ง บก.ปอศ. เพื่อตรวจสอบและนำไปประกอบการทำคดี ขณะเดียวกัน มีรายงานข่าวด้วยว่าจากการสอบสวนในเบื้องต้น นายประสิทธิ์ให้การปฏิเสธ ส่วนนายกิตติศักดิ์ เย็นนานนทน์ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือข่ายนายประสิทธิ์ที่ถูกออกหมายจับด้วยนั้นยังคงหลบหนี รวมทั้งเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเส้นทางการเงินเครือข่ายนายประสิทธิ์ โดยประสานข้อมูลธนาคาร แต่ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในขณะที่เจ้าหน้าที่สอบปากคำนายประสิทธิ์อยู่นั้น นายเดชบดินทร์ ฉายทองดี หรือบอส นักแสดงละครซิตคอมเรื่องเฮงเฮงเฮง เดินทางมากองปราบฯ โดยระบุว่าเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนซื้อแพ็กเกจทัวร์ โอนเงินฝากเข้าบัญชีสหกรณ์ออมทรัพย์ที่อ้างผลตอบแทนร้อยละ 11.5-15 ต่อการลงทุนในระยะเวลา 39 วัน กับนายประสิทธิ์ เมื่อทราบข่าวนายประสิทธิ์เข้ามอบตัว จึงมาติดตามคดี พร้อมนำสลิปการโอนเงินมาประกอบเป็นหลักฐาน








Advertisement

นายเดชบดินทร์กล่าวว่าลงทุนซื้อแพ็กเกจทัวร์มีประกันเงินคืน ซึ่งระยะเวลาไม่เกิน 39 วัน หากไม่ใช้ จะแลกเงินต้นคืนพร้อมเงินค่าเสียเวลาได้ โดยลงทุนมานาน 2 ปี เป็นเงินกว่า 9 ล้านบาท ก็ไม่มีปัญหาใดๆ กระทั่งเดือนพ.ย.2563 ไม่สามารถเบิกเงินคืน และไม่ได้เงินตามกำหนด มีเงินลงทุนของตนกับคนอื่นๆ รวม 48 ล้านบาท เมื่อทวงถามไปในช่วงแรกยังติดต่อได้ และเคยไปพบนายประสิทธิ์ด้วยตัวเองครั้งหนึ่งที่ออฟฟิศ เพื่อสอบถามปัญหาที่เกิดขึ้น พบภาพนายประสิทธิ์ถ่ายรูปร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่ระดับประเทศ

นักแสดงหนุ่มกล่าวอีกว่า อีกทั้งนายประสิทธิ์เองก็มีภาพลักษณ์เรื่องการเทิดทูนสถาบัน ช่วยเหลือสังคม โดยบอกว่าจะนำเงินลงทุนไปคืนให้กับสังคม จึงทำให้คนเชื่อถือ นอกจากนี้ยังถูกนายประสิทธิ์ใช้ให้ไปหาเงินลงทุนให้กับผู้เสียหายคนอื่นที่ต้องการเงินต้น 2 ล้านบาทคืน โดยให้หาเงินมาลงทุนเพิ่มอีก 4 ล้านบาท เพื่อหักล้างเงินส่วนนี้คืนลูกค้า จนวันนี้ทราบว่านายประสิทธิ์ เข้ามอบตัว ถ้าได้เจอก็อยากถามว่าจะได้เงินคืนหรือไม่

ต่อมานายแทนคุณ จิตต์อิสระ ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ พาผู้เสียหายกว่า 30 รายที่ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ มูลค่าความเสียหายกว่า 70 ล้านบาท เข้าพบ พล.ต.ต.สุวัฒน์ เพื่อนำพยานหลักฐานมอบให้เพิ่มเติม โดยนายแทนคุณกล่าวว่าผู้เสียหายกลุ่มนี้เป็นผู้สูงวัยหลายราย มีเครือญาติของตนรวมอยู่ด้วย 3 คน ลงทุนไป 17 ล้านบาท เงินที่นำมาลงทุนส่วนใหญ่เป็นเงินเก็บสะสมมาทั้งชีวิต บางคนถูกหลอกทำข้อตกลงชดใช้เงินคืน แบ่งชำระรายปี หลังทราบเรื่องจึงติดต่อขอพบนายประสิทธิ์ แต่นายประสิทธิ์มอบหมายให้นายกิตติศักดิ์ รองประธานกรรมการบริหารบริษัทในเครือที่ยังหลบหนีเป็นตัวแทนมาเจรจา

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ช่วงเช้าก็มีกลุ่มผู้เสียหายกว่า 20 คน นำโดยนายอติชาต เลาหพิบูลย์กุล เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม หลังจากเเจ้งความดำเนินคดีนายประสิทธิ์กับพวก โดยนายอติชาตกล่าวว่าร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์เกือบ 80 ล้านบาทมานานร่วม 2 ปีแล้ว โดยลงทุนทุกรูปเเบบตามที่นายประสิทธิ์เสนอมา เนื่องจากมีความเชื่อถือ เพราะเห็นนายประสิทธิ์เป็นบุคคลมีต้นทุนทางสังคมสูง เเละก็เคยมีโอกาสลงพื้นที่ร่วมทำจิตอาสาร่วมกับนายประสิทธิ์ด้วย

ขณะที่ พล.ต.ต.สุวัฒน์กล่าวว่าจากการสอบปากคำนายประสิทธิ์ตลอดทั้งวัน ผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธ แต่ยังมีอีกหลายประเด็นต้องสอบปากคำเพิ่มเติม เนื่องจากคดีมีรายละเอียดค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะเส้นทางการเงินต่างๆ เพื่อให้แน่ชัดว่ามีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สิน และทองคำออกไปต่างประเทศหรือไม่ คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมส่งตัวผู้ต้องหาฝากขังได้ในวันที่ 18 พ.ค. พร้อมคัดค้านประกันตัว เช่นเดียวกับผู้ต้องหา 4 คนในเครือข่ายที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ หากมีประชาชนรู้ตัวว่าตกเป็นเหยื่อ ขอให้แจ้งความกองปราบฯ จากข้อมูลล่าสุดทราบว่ามีผู้เสียหายประสงค์เข้าแจ้งความแล้วไม่ต่ำกว่า 500 คนแล้ว

จากนั้นเจ้าหน้าที่นำตัวนายประสิทธิ์ไปห้องควบคุมผู้ต้องหา เพื่อเตรียมส่งฝากขังศาลอาญาในวันที่ 18 พ.ค. โดยระหว่างนั้นนายประสิทธิ์กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ พร้อมกับขอให้พนักงานที่โกงเงิน ไปนำเงินกลับมาคืน ยืนยันไม่มีเจตนาโกง แต่เป็นการทำธุรกิจ

วันเดียวกัน พล.ท.ธเนศ วงศ์ชะอุ่ม แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวกรณี พ.ต.พญ.อมราภรณ์ วิเศษสุข สังกัดกองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ช่วยราชการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ถูกจับกุมดำเนินคดีฉ้อโกงประชาชน ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกับนายประสิทธิ์และพวกว่า ตำรวจให้ประกันตัวพ.ต.พญ.อมราภรณ์ โดยกรณีนี้แบ่งเป็น 2 ประเด็น คือความผิดคดีอาญา กับความผิดวินัยทหาร ในส่วนของความผิดวินัยทหาร ทางกองทัพภาคที่ 2 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงว่าการดำเนินการของพ.ต.พญ.อมราภรณ์กระทบต่อภาพลักษณ์ทำให้กองทัพเสียหายหรือไม่ ใช้เวลาราชการ หรือแต่งชุดทหารเข้าไปร่วมทำธุรกิจหรือไม่ แต่จากการสอบถามเบื้องต้นทราบว่าใช้เวลานอกเวลาราชการไปทำธุรกิจ จึงเป็นความผิดส่วนตัวในทางคดีอาญา

แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม จะประสานตำรวจเพื่ออำนวยความสะดวกทั้งเรื่องการสอบสวน และการรวบรวมพยานหลักฐาน หากตำรวจส่งสำนวนคดีให้อัยการ และอัยการพิจารณาส่งศาล ทางกองทัพภาคที่ 2 จะมีคำสั่งให้พ.ต.พญ.อมราภรณ์พักราชการทันที ขอยืนยันว่ากองทัพภาคที่ 2 จะให้ความร่วมมือกับตํารวจอย่างเต็มที่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน