‘ผม’คนใกล้ชิดก็ยันชัด ‘ทนายตั้ม’โต้ไม่แปลก เพราะไปไหนด้วยกัน ลุ้นศาลให้ประกันวันนี้ แม่เหยื่อพร้อมยื่นค้าน เอฟซี ‘กกกอก’เริ่มหาย

เปิดหลักฐานมัดลุงพล!! เส้นผมน้องชมพู่ในรถลุงพล ชี้เป็นเส้นผมที่ถูกหั่นหลังจากเสียชีวิตแล้ว กับอีกชิ้นคือเส้นผมคนใกล้ชิดที่ติดตัวลุงพลไปตกในที่เกิดเหตุ ยืนยันลุงพลอยู่ในจุดพบศพแน่ ด้านทนาย ษิทรา ยันต้องดูการตรวจสอบว่าใช้เทคนิคอะไร น่าเชื่อถือหรือไม่ เตรียมยื่นประกันลุงพลต่อศาลวันนี้ แจงเรื่องผมตกอยู่ในรถเป็นเรื่องปกติ เพราะเดินทางไปไหนมาไหนด้วยกัน ด้านแม่น้องชมพู่ ก็พร้อมยื่นคัดค้านประกันตัว ด้านลุงพลนอนคุก เหงา ไร้เอฟซีให้กำลังใจ

เยี่ยมลุงพล – นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น ภรรยาเข้าเยี่ยมนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ผู้ต้องหาคดีน้องชมพู่ ยืนยันสามียังสบายดี พร้อมต่อสู้ทุกข้อหา และเตรียมยื่นประกันตัวในชั้นศาล ที่สภ.กกตูม จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.

จากกรณีศาลมุกดาหารอนุมัติหมายจับนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ในคดีน้องชมพู่ ที่เสียชีวิตบนเขาเหล็กไฟ ที่บ้านกกกอก อ.กกตูม จ.มุกดาหาร ก่อนที่จนท.จับกุมตัวได้ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะที่ลุงพลจะเข้ามอบตัว และส่งตัวมาสอบสวนที่บก.ภ.จว.มุกดาหาร และส่งควบคุมตัวที่สภ.กกตูม ความคืบหน้า เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 3 มิ.ย. พ.ต.ท.สุริยา นภกรีกำแหง สารวัตรใหญ่ สภ.กกตูม กล่าวว่า ตลอดคืนที่ผ่านมาลุงพล อยู่ในห้องขัง อาการปกติไม่มีสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด นอนหลับเหมือนผู้ต้องขังปกติทั่วไป ขณะที่บรรยากาศตลอดคืนที่ผ่านมาไม่มีกลุ่มเอฟซีหรือกลุ่มที่ชื่นชอบลุงพล มารอเยี่ยม ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ โดยกำหนดเวลาเยี่ยมตามปกติคือ 08.00-09.00 น., 12.00-13.00 น. และ 16.00-17.00 น. และบุคคลเข้าเยี่ยม และนำอาหารหรือสิ่งของมาให้ ก็ต้องแจ้งกับ เจ้าหน้าที่ทุกครั้ง เนื่องจากที่สภ.กกตูม เป็นพื้นที่โรงพักขนาดเล็ก เจ้าหน้าที่จึงกั้นพื้นที่โดยรอบทางเข้าโรงพักไม่ให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถขึ้นไปยังตัวห้องขังที่อยู่ชั้นสองของตัวโรงพักได้ เพื่อป้องกันเหตุวุ่นวายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น ต่อมานางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น เดินทางเข้าเยี่ยมลุงพลที่ สภ.กกตูม พร้อมนำข้าวผัดกะเพราทะเล น้ำดื่ม น้ำอัดลม กาแฟ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ของใช้ส่วนตัวเข้าเยี่ยม ลุงพล ป้าแต๋นเปิดเผยสั้นๆ ว่านอนหลับสบายดี และลุงพลก็หลับสบายดี ไม่ได้มีความกังวลใจหรือเครียดอะไร จากนี้ก็ปล่อยให้ทนายดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ส่วนกรณีที่ย้อนกลับไปไทม์ไลน์ของลุงพลในช่วงที่รู้ว่าน้องชมพู่หายตัวไปนั้น ซึ่งจากในข้อมูลของตำรวจระบุว่าลุงพลรู้ว่าน้องชมพู่หายตัวไปตอนช่วงไปรับพระ ซึ่งป้าแต๋นยืนยันว่าลุงพลรู้ว่าชมพู่หายไปจากตอนที่เจอกับป้าแต๋นที่หน้าบ้านป้าถอน และยืนยันว่าไม่ได้โทรศัพท์ไปแจ้งลุงพล เพราะที่บ้านมีโทรศัพท์เพียงแค่เครื่องเดียวเท่านั้น ส่วนหลักฐานดีเอ็นเอต่างๆ ที่พบนั้น ก็ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นของลุงพล และหลักฐานที่พบก็มีเส้นผมหรือเส้นขนของน้องชมพู่ตกอยู่ในรถลุงพลก็เป็นไปตามปกติที่น้องชมพู่เคยขึ้นรถลุงพลกับป้าแต๋นบ่อยครั้ง ทุกครั้งที่ไปด้วยกัน น้องชมพู่ก็อยู่ในรถก็ไม่รู้ว่าขนและเส้นผมต่างๆ ของน้องชมพู่ตกอยู่ในรถเวลาใด ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เส้นขนต่างๆ จะหล่นในรถส่วนตัวก็เป็นตามปกติเหมือนทุกคน แต่ในวันที่เจ้าหน้าที่มาตรวจค้นหลักฐานในรถช่วงนั้นพวกตนไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย เจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจทันทีและเอาเอกสารให้เซ็นไม่ได้เป็นหมายค้น หรือแจ้งมาก่อนล่วงหน้า เพราะว่าเราเป็นชาวบ้านไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายแต่เจ้าหน้าที่อยู่ดีๆ ก็เข้ามาและขอตรวจค้นทันที ซึ่งตรงจุดนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องหรือไม่ ทุกอย่างอยู่ที่ทนายความให้ทนายความดำเนินการตามกฎหมายและเชื่อมั่นในตัวนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ส่วนกรณีที่นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา แม่น้องชมพู่ ยื่นคัดค้านการประกันตัวนั้นก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่เราพร้อมสู้เต็มที่เรายืนยันว่าบริสุทธิ์ เรามีหลักฐานต่อสู้ทุกอย่างกับข้อหาที่ตำรวจแจ้งมาและเรื่องประกันตัวก็ให้ทนายดำเนินการ เตรียมทั้งหลักฐานต่างๆ รวมทั้งเงินสดไปประกันตัวเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเวลา 11.30 น. นายษิทรา หรือทนายตั้ม เดินทางเข้าเยี่ยมลุงพล พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการสู้คดีว่า วางแนวทางไว้แล้วตั้งแต่ก่อนถูกหมายจับ โดยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ การให้สัมภาษณ์ว่า ดีเอ็นเอ เกี่ยวกับลุงพล ทำให้สังคมเข้าใจผิด แต่ท้ายที่สุดคือไม่ใช่ แต่เป็นดีเอ็นเอที่เกี่ยวข้องกับ ลุงพล ทำไมไม่ระบุไปเลยว่าเป็นดีเอ็นเอของป้าแต๋น ซึ่งก็คงเป็นเส้นผม 3 เส้นที่ระบุไว้ ซึ่งตำรวจต้องตอบสังคมว่า ใช้วิธีตรวจแบบไหน ถึงบอกว่าเป็นป้าแต๋น วิธีการตรวจเชื่อถือได้มากแค่ไหน “เวลาการสืบสวนสอบสวน ไม่ใช่ว่ามุ่งไปว่าคนนี้ผิดแน่ๆ แล้วหาหลักฐานไปเพื่อทำให้เขาเป็นคนผิดให้ได้ มันต้องให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย เมื่อขึ้นศาลก็ต้องยืนยันให้มั่นคง ไม่ใช่ออกหมายจับได้แล้วชนะเลย การออกหมายจับเพิ่งเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ใช่จะปิดคดีนี้ได้ ถ้าวันหนึ่งศาลตัดสินว่าลุงพลผิด ท่านสุวัฒน์ สุดยอดเลย” นายษิทรากล่าว นายษิทรากล่าวว่า จากนี้จะยื่นประกันตัว แต่ต้องขอความเมตตาต่อศาล เพราะว่าที่ผ่านมา ลุงพลไม่มีพฤติการณ์หลบหนี หรือ ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จึงอยากจะขอมาต่อสู้ข้างนอก เพราะถ้าหากไม่ได้ประกันตัว จะใช้เวลาในการต่อสู้ข้างในนาน โดยเตรียมพยานหลักฐานทุกมิติ เพื่อแสดงต่อศาล โดยเตรียมไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ หลักฐานที่ตนเตรียมมา ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหาคำตอบมาให้ได้เพื่อนำมาต่อสู้คดีกัน ส่วนข้อกล่าวหาทั้ง 3 ข้อของตำรวจ มองว่าเป็นการคาดคะเนของชุดสืบสวน ไม่มีพยานเป็นประจักษ์บุคคลที่ชัดเจนว่า ลุงพลมีพฤติการณ์ตามที่ถูกออกหมายจับ นายษิทรากล่าวว่า ส่วนที่เดินทางเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะตอนแรกไม่มั่นใจว่ามีหมายจับจริงหรือไม่ กระทั่งลุงพลมาถึงที่กรุงเทพฯ เลยแสดงความบริสุทธิ์ใจไปมอบตัว แต่จากที่มีกระแสข่าวว่า ผบ.ตร. ไม่รับมอบตัว ตนมองว่าหมายจับใช้ได้ทั่วราชอาณาจักร มีอำนาจจับ และมองว่า ผบ.ตร.เป็นพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ พร้อมกับเป็นตำรวจที่รับดูแลเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่หากท่านบอกว่าไม่มีอำนาจรับ มองว่าการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน และที่ไปมอบตัว เพื่อเป็นเหตุผลที่เสนอต่อศาลเพื่อขอพิจารณาประกันตัวนั้น ตนมองว่า ไม่มีใครอยากโดนล็อกตัว ที่ไปก็สมัครใจมอบตัวไม่ใช่ถูกจับ แต่ศาลดูเจตนาของการไปมอบตัวมากกว่า อย่างไรก็ตามคดีของลุงพล สำหรับตนแล้ว มองว่าเป็นคดีกระแส ไม่ได้มีความยากหรือทำให้รู้สึกกังวล นายษิทราเปิดเผยอีกว่า ทางทนายความ ยื่นเรื่องขอประกันตัวในชั้นสอบสวน แต่พนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว ซึ่งทางทนายเตรียมที่จะยื่นประกันตัวอีกครั้งที่ศาลจังหวัดมุกดาหารในวันที่ 4 มิ.ย. โดย ใช้หลักทรัพย์ที่ดินเเละเงินสด นายษิทรากล่าวต่อว่า ตนประสานไปยังนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดทำคดีนายไชย์พล ที่ไม่ถูกต้องในทุกๆ เรื่อง ซึ่งได้นัดหมายกันในวันอังคารหน้า โดยขอให้เรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเข้าชี้แจงด้วย โดยเฉพาะการจับกุมนายไชย์พล และกรณีที่นายไชย์พลเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งการขออำนาจศาลออกหมายจับที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง โดยตนจะยกกรณีนี้ให้เป็นกรณีตัวอย่างเคสแรกในประเทศไทย นางสาวิตรี แม่น้องชมพู่ กล่าวว่า ในวันที่ 4 มิ.ย. ตำรวจจะนำตัวลุงพลไปฝากขัง ตนจะไปยื่นคำร้องคัดค้านเพื่อให้ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ลุงพลประกันตัวเช่นกัน ส่วนจะคัดค้านในประเด็นอะไรบ้างนั้นเป็นเรื่องที่ทางทนายความจะเป็นผู้เรียบเรียงคำร้องมาเพื่อจะนำไปใช้ยื่นต่อศาล เวลา 18.00 น. ที่ สภ.กกตูม นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความส่วนตัวของนายไชย์พล เข้าเยี่ยมลุงพลโดยใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที จากนั้นให้สัมภาษณ์ว่า นำเอกสารการแต่งตั้งทนายและเอกสารการยื่นขอประกันตัว มาให้ลุงพลเซ็น เพื่อลดความยุ่งยาก ในวันที่ 4 มิ.ย. โดยการยื่นประกันตัวในชั้นศาล เตรียมไว้ 2 รูปแบบ หลักทรัพย์ที่ดิน มูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินสด นอกจากนี้ ยังเปิดเผยถึงแนวทางในการต่อสู้คดีประเด็นดีเอ็นเอ รอยตัดเส้นผม ซึ่งเป็นหลักฐานที่สำคัญที่ ที่ตำรวจขอศาลออกหมายจับ และการนำเสนอข้อมูลดังกล่าวทำให้หลายคนในสังคมมองว่าลุงพลเป็น ผู้กระทำผิด ซึ่งมองว่าวิธีดังกล่าว เป็นการตรวจแบบไมโครคอนเดรีย ที่ระบุได้เพียงว่าเส้นผมที่พบ เป็นทางสายแม่ แต่ไม่สามารถระบุตัวตนได้เหมือนกับการตรวจแบบนิวเคลียส ที่ระบุได้ถึงดีเอ็นเอ โดยการนำรูปแบบแบบนี้มาใช้ รวมถึงการดูรอยตัดเฉียงของเส้นผม ที่สหรัฐอเมริกา นำมาใช้ในอดีต และทำให้มีผู้บริสุทธิ์ถูกจับกุมหลายคนเนื่องจากไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้ชัดเจน เหมือนกับการตรวจดีเอ็นเอ จึงอยากให้ตำรวจชี้แจงให้ชัดเจนว่าเส้นผมที่เจอ ใช้วิธีใดตรวจกันแน่ ใช้ไมโครคอนเดรียหรือไม่ ไม่ควรปล่อยให้คนเข้าใจว่าเป็นดีเอ็นเอของลุงพล ตนทำคดีลุงพล ถ้ามุ่งเป้าว่าเป็นผู้กระทำผิด และหาหลักฐานมาใส่ มองว่าทำให้กระบวนการยุติธรรมบิดเบี้ยว “เราไม่ได้ต้องการจะลดความความน่าเชื่อถือของตำรวจ แต่ในฐานะทนายความมีหน้าที่ตามหาความจริงให้กับลูกความ เรื่องที่เปิดเผยไม่ถือว่าป็นความลับ ในการต่อสู้คดี แต่ทุกอย่างเป็นความจริง เป็นข้อเท็จจริง มั่นใจว่าลุงพลไม่ได้ทำความผิด เพราะไม่กล้านำชื่อเสียงของตัวเองมา เเต่เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง การทำคดีนี้ เราไม่ได้รับค่าจ้างเเม้เเต่บาทเดียว ตอนแรกคิดว่า ถ้ามาไกลขนาดนี้ คงจะได้หลายแสน แต่พอได้มาเจอกับลุงพล และมาคุยกันแล้ว เพราะสงสาร และต้องการออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลุงพล” นายษิทรากล่าว รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับหลักฐานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ใช้มัดตัวลุงพล มี 2 ส่วนด้วยกันได้แก่ 1.เส้นผมของน้องชมพู่ที่พบในรถลุงพล ที่ใช้การตรวจสอบด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ พบว่าเป็นเส้นผมที่ถูกหั่นออกจากร่างของน้องชมพู่ หลังที่เสียชีวิตแล้ว เป็นสิ่งยืนยันว่าหลังจากที่น้องชมพู่เสียชีวิตแล้ว คนที่เกี่ยวข้องกับการจัดฉากศพ จะต้องนำเส้นผมนี้เข้ามาในรถของลุงพล หลักฐานชิ้นนี้จึงชี้มัดมาที่ลุงพล 2.เส้นผม 3 เส้นที่ตกในที่เกิดเหตุ ที่ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นของคนใกล้ชิดลุงพล แต่ไม่ใช่คนที่ขึ้นไปบนเขาเหล็กไฟ จึงเชื่อว่าติดตัวลุงพลขึ้นไปยังที่เกิดเหตุ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน