ดันพรก.นิรโทษ
รวมทีมหาวัคซีน
เจอต้าน-ยกเข่ง
ป่วยใหม่19,603
เสียชีวิตอีก149
สธ.ผลักดันพ.ร.ก. นิรโทษกรรมโควิด ล้างผิด ปมจัดหาวัคซีนป้องกันโควิด ยันจำเป็นต้องมีเครื่องมือเพื่อสร้างขวัญกำลังใจของบุคลากรทางการแพทย์ อาสาสมัคร รวมถึงคนจัดหาวัคซีน จะได้ไม่ต้องกังวลถูกฟ้องร้อง ปัดออกมาปกป้องคนบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาด ‘ช่อ’สับ‘บิ๊กตู่-อนุทิน’ใช้บุคลากรทางการแพทย์บังหน้า เผยไทยติดเชื้อรายวันอีก 19,603 ตายเพิ่ม 149 เผยเด็กติดเชื้อแล้วกว่า 3 หมื่น ขณะที่หลายร.พ.โวยได้ไฟเซอร์ฉีดน้อยกว่าที่ร้องขอ ร.พ.ธรรมศาสตร์ รังสิตก็โวยได้ไฟเซอร์ไม่พอ ส่วนร.พ.มหาราชโคราชได้ 80% ศบค.แจงส่งไฟเซอร์ให้ช่วงแรก 50-60% ก่อน จากนั้นจัดสรรเพิ่มให้อีก ‘ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์’เปิดจองซิโนฟาร์ม สำหรับคนทั่วไป 11 ส.ค. เตรียมปิดเกาะล้านอีก 14 วันหลังพบติดเชื้อ เลื่อนเปิดเมืองพัทยาออกไปอีก จากเดิมเล็งเปิด 1 ก.ย.
ติดเชื้ออีก 19,603ตายเพิ่ม 149
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 9 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 19,603 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 19,278 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 16,119 ราย มาจากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 3,159 ราย จากเรือนจำและที่ต้องขัง 313 ราย ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ 12 ราย ยอด ผู้ติดเชื้อสะสม 776,108 ราย ผู้หายป่วยเพิ่ม 19,819 ราย หายป่วยสะสม 555,334 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 214,421 ราย อาการหนัก 5,218 ราย ใส่เครื่องช่วยหายใจ 1,084 ราย
เสียชีวิตเพิ่ม 149 ราย เป็นชาย 84 ราย หญิง 65 ราย พบในกทม.มากสุด 54 ราย รองลงมาคือสมุทรปราการ 20 ราย มีผู้เสียชีวิตที่บ้าน 26 ราย อยู่ที่กทม. 24 ราย ชลบุรี 2 ราย ผู้เสียชีวิตวันนี้อยู่ในกลุ่มผู้มีอายุเกิน 60 ปี และมีโรคเรื้อรังรวมกันถึง 84% มีทารกอายุ 4 เดือน 1 ราย เป็นชาวเมียนมาที่จ.สมุทร ปราการ ผู้เสียชีวิตสะสม 6,353 ราย
ขณะที่การฉีดวัคซีนวันที่ 8 ส.ค. มีการฉีด 191,145 โดส ทำให้ขณะนี้มียอดฉีดสะสม 20,669,780 โดส
สถานการณ์โลกมีผู้ติดเชื้อสะสม 203,441,157 ราย เสียชีวิตสะสม 4,307,387 ราย
เด็กป่วยโควิดแล้ว 3 หมื่น
พญ.อภิสมัยกล่าวต่อว่า ในที่ประชุม ศบค.ชุดเล็ก ได้หารือถึงกรณีเด็กเสียชีวิต เนื่องจากวันที่ 8 ส.ค. มีทารกอายุ 14 วัน เป็นชาวเมียนมา เสียชีวิตที่จ.เพชรบูรณ์ และมีข้อมูลว่าที่ผ่านมามีเด็กติดเชื้อโควิด-19 ประมาณ 3 หมื่นกว่าราย เสียชีวิตถึง 9 ราย 8 ใน 9 มีโรคประจำตัว กรมควบคุมโรคจึงเน้นย้ำ กรณีมีเด็กเล็ก ผู้สูงวัย และผู้ป่วยติดเตียงอยู่ที่บ้าน ขอให้แยกห้องนอนผู้สูงอายุ หากบ้านมีพื้นที่จำกัดให้ใช้ฉากกั้นและให้ผู้สูงอายุอยู่ในห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี รวมถึงให้หมั่นทำความสะอาดพื้นที่ใช้สอยร่วมกัน ลูกบิดประตู ราวบันได ส่วนกรณีต้องดูแลผู้ป่วยติดเตียง แนะนำให้คนที่ออกจากบ้านน้อยที่สุดเป็นผู้ดูแลคนเดียว และต้องสวมหน้ากากอนามัย หากผู้ป่วยติดเตียงไม่มีอาการทางเดินหายใจให้สวมหน้ากากด้วยเช่นกัน
“หากผู้สูงอายุติดเตียงต้องมีคนดูแลพลิกตัว ป้อนอาหาร ควรมีคนดูแลคนเดียว อยู่บ้านมากที่สุด ไปในชุมชนน้อยมาก ขณะที่ให้การดูแลต้องสวมหน้ากากอนามัย ถ้าผู้สูงอายุไม่มีปัญหาทางเดินหายใจ อาจสวมหน้ากากอนามัยให้ท่านด้วย อาจสวมถุงมือและทิ้งขยะให้ถูกต้องด้วย กรมสุขภาพจิตเน้นย้ำว่าต้องสังเกตอาการผู้สูงอายุด้วย
บางทีลูกหลานเดินทางไปในชุมชนที่ทำงาน อาจติดเชื้อมาที่ผู้สูงอายุ และอาจไม่ทราบว่าผู้สูงอายุติดเชื้อ มีอาการซึมลง รับประทานอาหารได้น้อย เหนื่อยมากขึ้น ต้องสังเกตวัดอุณหภูมิเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง การแยกให้ผู้สูงอายุอยู่ห่าง 2 เมตรจากคนในบ้าน อาจใช้เทคโนโลยีพูดคุยกันก็ได้ จะได้ไม่อ้างว้าง ดูข้อมูลในคู่มือของกรมควบคุมโรคได้” พญ.อภิสมัยกล่าว
“ข้อมูลวันที่ 18 ก.ค.-7 ส.ค. พบผู้เสียชีวิต 2,417 ราย จำนวนนี้ เป็นผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน 838 ราย เป็นผู้รับวัคซีนแล้ว 1 เข็ม โดยระยะติดเชื้อน้อยกว่า 2 สัปดาห์ 149 ราย เป็นผู้ได้รับวัคซีนเกิน 2 สัปดาห์และติดเชื้อ 82 ราย เป็นผู้ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม 13 ราย คิดเป็นตัวเลข 0.5% กระทรวงสาธารณสุขจึงเน้นย้ำการเร่งฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ป่วย ติดเตียง ผู้มีโรคประจำตัว และหญิงตั้งครรภ์ เพราะการเสียชีวิตในกลุ่มที่รับวัคซีน 2 เข็มมีเพียง 0.5%”
เจออีก 7 คลัสเตอร์ใหม่
สำหรับ 10 จังหวัดที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 9 ส.ค. ได้แก่ กทม. 3,114 ราย สมุทรปราการ 1,388 ราย สมุทรสาคร 1,378 ราย ชลบุรี 1,318 ราย นนทบุรี 803 ราย ปทุมธานี 708 ราย อุบลราชธานี 615 ราย นครปฐม 557 ราย สระบุรี 504 นครราชสีมา 440 ราย
พบคลัสเตอร์ใหม่ในต่างจังหวัด 7 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า อ.เมือง จ.ปทุมธานี พบผู้ติดเชื้อ 9 ราย บริษัทโลหะแผ่น อ.หนองแค จ.สระบุรี 28 ราย บริษัทชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา 12 ราย โรงงานแปรรูปไก่ อ.เมือง จ.ราชบุรี 46 ราย ตลาดโบวลิ่ง อ.เมือง จ.จันทบุรี 16 ราย โรงงานอุตสาหกรรมอาหาร อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 31 ราย โรงงานน้ำแข็ง อ.ละแม จ.ชุมพร 30 ราย
พญ.อภิสมัยกล่าวต่อว่า ที่ประชุมศปก.ศบค.ยืนยันเรื่องยาฟาวิพิราเวียร์ว่าสต๊อกยาโดยองค์การเภสัชกรรมมีการนำเข้าอย่างเพียงพอ ในวันที่ 7 ส.ค.เข้ามาอีก 2.5 ล้านแคปซูล แต่น้อมรับข้อร้องเรียนของผู้ป่วย ญาติ สถานบริการ ขนาดเล็กที่อาจจะได้รับยาไม่ทันท่วงที ซึ่งเกิดจากการกระจายซึ่งตอนนี้ทีมบริหารจัดการพยายามเร่งแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด
พญ.อภิสมัยกล่าวว่า การทำงานของทีม CCRT ของแพทย์ชนบท ที่เดินเท้าเข้าชุมชนช่วยประชาชนทุกซอกทุกซอย ช่วยทั้งผู้ป่วยติดเตียง คนท้อง คนน้ำหนักเยอะ ซึ่งได้รับความชื่นชมจากประชาชน ซึ่งทีม CCRT จะรับสมัครอาสาสมัครเพิ่มเติม โดยจะมีนักศึกษาแพทย์เข้าร่วมทีมในสัปดาห์นี้อีก 200 คน ต้องขอขอบคุณและทีมอาสาสมัครเหล่านี้จะได้รับการจัดสรรวัคซีนด้วย
ยันส่งไฟเซอร์ให้เพิ่มแน่
เมื่อถามถึงกรณีการฉีดวัคซีนบูสเตอร์โดส หรือเข็ม 3 ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้า และการทยอยจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์ไปยังต่างจังหวัด แต่มีเสียงสะท้อนว่าจัดส่งไปน้อยกว่าที่แจ้งความประสงค์มานั้น ผู้ช่วยโฆษก ศบค. กล่าวว่า วัคซีนเข็ม 3 เข็มกระตุ้นภูมิสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ จะมีการเสนอรายละเอียดให้ทราบเป็นประจำทุกวันเพื่อให้ได้เห็นข้อมูล ตัวเลขตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ.2564 เป็นต้นมาที่ฉีดเข็มหนึ่งให้กับบุคลากรทางการแพทย์ จนถึงกระตุ้นเข็ม 3 เป็นแอสตร้าเซนเนก้า แล้ว 182,082 ราย
ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ที่ฉีดเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ตอนนี้บวกไปแล้ว 23,481 ราย ดังนั้นตัวเลขรวมของไฟเซอร์ 39,483 ราย ส่วนการจัดสรรกระจายวัคซีนไฟเซอร์ ขอเรียนว่ามีการสำรวจความต้องการของบุคลากร ตอนนี้กรมควบคุมโรคจัดส่งให้ในเบื้องต้น 50-60% ของความต้องการที่สำรวจไว้ก่อน หลังจากนั้นจะสำรวจศักยภาพการฉีดแต่ละจุด แล้วจะจัดสรรให้เพิ่มเติมอย่างแน่นอน
“โดยวันที่ 5-6 ส.ค. ทางกรมควบคุมโรคจัดสรรวัคซีนล็อตแรกลงไปยังหน่วยฉีดเรียบร้อยซึ่งขอเน้นย้ำว่าทุกจังหวัดไม่ใช่ทุกโรงพยาบาลที่จะฉีดได้ แต่จะกำหนดหน่วยฉีดโดยสาธารณสุขจังหวัดเป็นผู้กำกับ เนื่องจากวัคซีนไฟเซอร์นั้น จะมีรายละเอียดเรื่องการขนส่งการเก็บอุณหภูมิที่ถูกต้อง ดังนั้น ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา วันที่ 7-9 ส.ค. มีการเริ่มฉีดในหลายหน่วยบริการและในส่วนของการกำกับติดตามนั้น
นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดสาธารณสุขย้ำว่าทุกๆ หน่วยฉีด ขอให้สสจ.กำกับติดตามด้วย และในส่วนของความโปร่งใสนั้นสังคมกำลังต้องการเห็นจึงขอให้สสจ.และทุกจุดฉีดรายงานเข้ามาด้วย วัคซีนไฟเซอร์นี้ยังรวมถึงกลุ่มนักเรียนที่จะต้องเดินทางไปศึกษาต่อยังต่างประเทศที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้แล้วจึงขอเน้นย้ำว่าขอให้ติดต่อลงทะเบียน ด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ด รับอีเมล์ยืนยันในการลงทะเบียน และมีการนัดหมายผ่านทางเอส เอ็ม เอสไปยังเบอร์โทรศัพท์เพื่อนัดเข้าฉีดวัคซีน”
เผยเด็กติดเชื้อพุ่ง7หมื่น
น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้น จำนวนดังกล่าวพบว่ามีผู้ติดเชื้อเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ มีเด็กติดเชื้อสะสมระหว่าง 1 ม.ค. -6 ส.ค. สูงถึง 70,153 คน ล่าสุดวันที่ 6 ส.ค. มีเด็กติดเชื้ออยู่ที่ 2,469 คน เฉลี่ยอัตราการติดเชื้อในเด็กอยู่ที่ 10% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด จำนวนนี้มีเด็กกลุ่มเสี่ยงสูงที่มีโรคประจำตัวรวมอยู่ด้วย
อยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคมาจากสหรัฐ 1,503,450 โดส ให้กับกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่มโรค ตามโควตาที่ได้จัดสรรไว้โดยเร็ว
ขณะเดียวกันต้องเร่งติดตามความคืบหน้าการจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง และต้องเร่งเจรจาสั่งซื้อวัคซีนยี่ห้ออื่นที่จะได้รับการรับรองให้ฉีดในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปได้ เช่น โมเดอร์นา ก่อนจะสายเกินไป อย่าให้พลาดซ้ำเหมือนการจัดหาวัคซีนของผู้ใหญ่อีก
“ที่ผ่านมาวัคซีนไฟเซอร์ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การอาหารและยา (อย.) ให้ใช้ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ตั้งแต่วันที่ 26 มิ.ย. จึงไม่มีเหตุผลใดต้องประวิงเวลารอคอยพิธีการในการเร่งฉีดวัคซีนในเด็กและประชาชนกลุ่มเสี่ยง เมื่อปรับเกณฑ์การฉีดวัคซีนไฟเซอร์แล้ว ก็ต้องรีบฉีดบุคลากรทางการแพทย์ ประชาชน เด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงอย่างโปร่งใส และรวดเร็ว เราไม่มีเวลามากพอที่จะต้องรอ เชื้อโรคไม่มีวันหยุดเหมือนผู้นำประเทศบางท่าน”
อภ.เร่งหาชุดตรวจATK
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผอ.องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า อภ.ได้รับมอบหมายจากร.พ.ราชวิถีให้ดำเนินการจัดหาชุดตรวจโควิด-19 แอนติเจน เทสต์ คิต ด้วยตนเอง (ATK) จำนวน 8.5 ล้านชุด ตามโครงการพิเศษของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำหรับใช้ตรวจคัดกรองเชิงรุกเพื่อค้นหาผู้ป่วยให้ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการจัดซื้อชุด ATK ดังกล่าว ร.พ.ราชวิถี สปสช. และอภ. ได้ประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การจัดหามีความชัดเจน โปร่งใส เกิดการแข่งขัน และเป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ ได้ชุดตรวจ ATK ที่มีประสิทธิภาพเหมาะสมและประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด
ล่าสุดสปสช.ปรับข้อกำหนดคุณสมบัติส่งให้อภ.ดำเนินการจัดหา โดยเชิญบริษัทที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มายื่นซองเสนอราคา ในวันที่ 10 ส.ค. 2564 ซึ่งอภ.จะตรวจสอบรายละเอียดคุณสมบัติต่างๆ และประกาศบริษัทผู้ชนะการเสนอราคา พร้อมส่งให้ร.พ.ราชวิถีรับทราบราคา ซึ่งจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คาดว่าภายในส.ค.2564 จะส่งมอบ ATK และกระจายให้กับหน่วยงานต่างๆ ตามที่ สปสช.กำหนดต่อไป
เปิดจอง‘ซิโนฟาร์ม’รอบสาม
ด้านเฟซบุ๊ก ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ แจ้งกำหนดการเปิดลงทะเบียนขอรับการจัดสรรวัคซีน “ซิโนฟาร์ม สำหรับบุคคลธรรมดา รอบ 3 จำนวน 1 แสนราย ในวันที่ 11 ส.ค. 2564 โดยจะเปิดระบบลงทะเบียนในเวลา 08.18 น. และจะเปิดระบบการจองวัคซีนสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จในเวลา 14.00 น.
ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทะเบียนสำเร็จในรอบที่ 3 สามารถเข้ามาดำเนินการจองวัคซีน เลือกโรงพยาบาล เลือกวันนัดฉีดและโอนเงินให้เสร็จสิ้นได้ตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. เวลา 14.00 น. ถึงวันที่ 13 ส.ค. เวลา 18.00 น. หากไม่ได้เข้ามาดำเนินการตามวันที่กำหนดระบบจะลบข้อมูลท่านออกจากการลงทะเบียนโดยอัตโนมัติ และท่านต้องลงทะเบียนใหม่อีกครั้ง หากประสงค์ขอรับการจัดสรรในครั้งต่อไป
‘หมอมนูญ’ชี้ติดเชื้อจริง 8 เท่า
ด้านนพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว (หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC) โดยระบุว่า โรคโควิด-19 ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด จำนวนคนเสียชีวิตทั้งโลก 4.3 ล้านราย ผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 203 ล้านคน อัตราการเสียชีวิต คำนวณโดยจำนวนคนเสียชีวิต หารด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อ เท่ากับร้อยละ 2.1 ตัวเลขนี้น่าจะสูงกว่าความเป็นจริง
ผู้เชี่ยวชาญประเทศสหรัฐอเมริกาคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจริงในสหรัฐต้องคูณด้วย 4 ประเทศอินเดียต้องคูณด้วย 28 ประเทศไทยรายงานผู้เสียชีวิต 6,204 ราย ผู้ติดเชื้อสะสม 756,505 คน อัตราตายร้อยละ 0.82 จำนวนผู้ติดเชื้อจริงในประเทศไทยน่าจะสูงกว่าตัวเลขที่รายงานประมาณ 8 เท่า (เราตรวจโควิดเชิงรุกน้อยกว่าประเทศอื่นมาก) เพราะฉะนั้นอัตราตายน่าจะลดลง 8 เท่า เหลือร้อยละ 0.1
โคราชติดเชื้ออีก 562
นพ.ชาญชัย บุญอยู่ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา เปิดเผยว่า พบผู้ป่วยรายใหม่ 562 ราย เป็นผู้ป่วยเดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง 250 ราย ผู้ป่วย เดินทางมารักษา 42 ราย และสัมผัสผู้ป่วย 270 ราย ยอดป่วยสะสม 10,915 ราย รักษาอยู่ 6,199 ราย รักษาหาย 4,630 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 5 ราย
โคราชโวยได้ไฟเซอร์น้อย
ด้านนพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ผู้ช่วย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา กล่าวถึงความคืบหน้าการรับวัคซีนไฟเซอร์จากรัฐบาล เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าว่า เมื่อวันที่ 7 ส.ค. จ.นครราชสีมาได้รับมอบวัคซีนไฟเซอร์เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ครั้งนี้ จำนวน 15,800 โดส ขณะนี้รอรับมอบเข้ามา และจะกระจายวัคซีนให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วจังหวัด
โดยวัคซีนไฟเซอร์นี้จะฉีด เพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรทางการแพทย์เป็นเข็มที่ 3 หลังจากบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว 2 เข็ม และมีบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเพิ่มเป็นเข็มที่3 ไปแล้วประมาณ 14,000 คน แต่เนื่องจากว่าบุคลากรทางการแพทย์ในจ.นครราชสีมามีมากกว่า 1 แสนคน เฉพาะบุคลากรทางการแพทย์ของร.พ.มหาราชนครราชสีมาก็มากกว่า 4,000 คนแล้ว ดังนั้นวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับมาเพียง 15,800 โดส จึงถือว่าน้อยมาก ไม่มีพอฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ทั้งจังหวัด
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผอ.ร.พ.มหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาพร้อมปฏิบัติตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ก่อน ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มีประมาณ 5,000 คน ขณะนี้ได้รับการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์มาแล้ว 80% ของบุคลากรทางการแพทย์ โดยดำเนินการฉีดเมื่อช่วงวันที่ 7-8 ส.ค.ที่ผ่านมา แต่ถือว่ายังไม่เพียงพอ เพราะยังเหลือบุคลากรทางการแพทย์อีกกว่า 800 รายที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์
ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์ทั้งจังหวัด หากนับเฉพาะแพทย์ พยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในโรงพยาบาล ก็มีประมาณ 20,000 คน แต่หากนับบุคลากรที่มาปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนทางการแพทย์ก็มีอยู่หลายหมื่นคน ดังนั้นการได้รับวัคซีนไฟเซอร์มา 15,800 โดส ถือว่าไม่เพียงพอแน่นอน คาดว่ารัฐบาลอาจจะทยอยจัดสรรมาให้ในจนครบในภายหลัง
ร.พ.มธ.โวยได้ไฟเซอร์ 60%
เฟซบุ๊กของโรงพยาบาลสนามธรรม ศาสตร์ โพสต์ข้อความกล่าวถึงภาพรวมการดูแลผู้ป่วยและการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์เป็นบูสเตอร์โดสของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้รับไม่เท่ากับที่แจ้งไว้
โดยระบุตอนหนึ่งว่า “พวกเราช่วยดูแลจัดหา จัดการ และฉีดแอสตร้าฯให้กับผู้คนมากกว่า 100,000 คนมาแล้ว แต่จะมีใครรู้บ้างไหมว่าพวกเราแพทย์พยาบาลจำนวนไม่น้อยที่เป็นคนฉีดแอสตร้าฯให้กับคนอื่น เพิ่งเคยได้รับเพียงซิโนแวค เพียงสองเข็ม ไปตั้งแต่มีนาฯ และเมษายนที่ผ่านมาเท่านั้น
เราส่งรายชื่อแพทย์พยาบาล เภสัชกร นักรังสี เจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ และจนท.เวรเปล ตลอดถึงบุคลากรอื่นๆ ที่ทำงานด่านหน้าในโรงพยาบาล ที่แสดงความจำนงขอรับ วัคซีนบูสเตอร์เข็มที่สามเป็นไฟเซอร์ที่ได้รับบริจาคมาจากสหรัฐอเมริกาไปที่กระทรวง โดยผ่านจังหวัดเรียบร้อยแล้ว ตามกติกาและเงื่อนไขที่ สธ. กำหนดทุกอย่าง
แต่เมื่อวันศุกร์บ่าย เพิ่งได้รับทราบว่าเราได้รับการจัดสรรให้บุคลากรด่านหน้าเพียงร้อยละ 60 ของจำนวนคนที่ส่งรายชื่อไปเท่านั้น ทั้งที่เราระบุชื่อ ตำแหน่งหน้าที่ และส่งรายชื่อผู้ที่จะขอฉีดบูสเตอร์ไฟเซอร์ ไปไม่ถึงครึ่งหนึ่งของจำนวนบุคลากร ทั้งหมดที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลในขณะนี้ด้วยซ้ำ
ความยากลำบากของการบริหารงานคือ เราจะอธิบายกับกลุ่มแพทย์แต่ละกลุ่มที่ทำหน้าที่อยู่ในโรงพยาบาลได้อย่างไรว่ากลุ่มแพทย์สาขานี้ ในจำนวน 15 คนที่ร้องขอ จะมีแพทย์ได้รับวัคซีนเพียงเก้าคน อีกหกคนไม่ได้ และจะอธิบายกับพยาบาลในวอร์ด ICU โควิดได้อย่างไรว่า 10 คนที่ทำงานอยู่ในวอร์ดเดียวกัน และเคยฉีดซิโนแวคมาคนละสองเข็มนั้น จะมีคนได้รับวัคซีนไฟเซอร์เพียงหกคนเท่านั้น อีกสี่คนให้รอไปก่อน
และถ้าคนของเราตอบ และดูเหมือนว่ามีความชอบธรรมที่จะตอบด้วย ว่าถ้าเขายังไม่ได้รับวัคซีนไฟเซอร์เข็มที่สามเหมือนเพื่อนที่ทำงานอยู่ด้วยกัน ขอให้พวกเขาได้หยุดทำงานไปก่อน จนกว่าจะได้รับวัคซีนเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ที่ทำงานอยู่ด้วยกัน เพื่อความปลอดภัยของชีวิตของเขาเอง ของครอบครัวและของญาติที่บ้านของเขาด้วยแล้ว พวกเราที่เป็นผู้บริหารจัดการ จะขอให้เขามาทำงานที่เสี่ยงภัยต่อไปอีกด้วยเหตุผลอย่างไรดี
อยากขอร้องไปยังผู้กำหนดนโยบายว่าถ้าจะต้องประหยัดวัคซีนเก็บไว้เพื่ออะไรก็ตาม ขอให้ไปใช้ส่วนที่พูดกันว่าจะสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉินหรือส่วนที่กันไว้เพื่อการวิจัยนั้นเถิด ขออย่าได้ทำให้ผู้คนที่รบอยู่ด่านหน้าในทุกโรงพยาบาลต้องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ และทำให้เกิดความระส่ำระสาย เกิดปัญหาเรื่องขวัญกำลังใจขึ้นในหมู่กำลังรบที่อ่อนล้า และรบมายืดเยื้อยาวนานมากแล้วของเราเลย
วัคซีนก็มาบ้างไม่มาบ้าง โดยไม่ค่อยมีใครมาบอกเล่า หรืออธิบายให้ฟังว่าเรื่องมันลึกลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างไร แต่ช่างเถอะ พวกเราทำใจได้ และก็คงจะทำสิ่งที่เราคิดว่าเป็นหน้าที่ของเราที่มีอยู่ต่อไปให้ดีที่สุด”
โฆษกรัฐยันไฟเซอร์ไม่หาย
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และน.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการแจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล ถึงเรื่องวัคซีนไฟเซอร์ที่มีการวิจารณ์มากถึง#ไฟเซอร์หายไปไหนนั้น โดยน.ส.รัชดากล่าวว่า วันนี้ในโซเชี่ยลมีเดียมีการติด #กันมากว่าไฟเซอร์หายไปไหน ขอย้ำให้ประชาชนสบายใจว่าวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐมา 1.5 ล้านโดส ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ส่วนที่มีบางโรงพยาบาลได้รับแค่ 50-60% เพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้า ตามที่โรงพยาบาลส่งรายชื่อมา ซึ่งยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องส่งไปให้ครบทุกคนอย่างแน่นอน
น.ส.รัชดากล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่จ.เลยที่มีการฉีดให้กับทหารนั้นปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่โรงพยาบาลสนามดังนั้นมีความใกล้ชิดคอยดูแลรับผู้ป่วยโควิด-19 อยู่ ดังนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่เป็นบุคลากรด่านหน้า ดังนั้นทุกอย่างมีคำอธิบายได้
นายอนุชากล่าวว่า ในล็อตแรกนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขจัดส่งไปแล้ว 170 โรงพยาบาล ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย ขณะนี้มีผู้ได้ฉีดแล้ว ประมาณ 60,000 โดส เริ่มตั้งแต่ 3 ส.ค.เป็นต้นมา แล้วจะมีล็อตต่อๆไปที่จะส่งไปให้เพื่อให้ฉีดกับบุคลากรทางการแพทย์และบุคลากรด่านหน้าอย่างแน่นอน และขอย้ำว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายที่จะฉีดเข็มที่ 3 หรือบูสเตอร์ให้กับวีไอพีอย่างแน่นอน
สุพรรณบุรีติดเชื้อ 248 ดับ4
ส่วนจ.สุพรรณบุรี พบผู้ป่วยรายใหม่ 248 ราย ผู้ป่วยยืนยันสะสม 6,316 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 4 ราย ประกอบด้วย ชายไทย อายุ 79 ปี อ.บางซ้าย จ.พระนครศรีอยุธยา หญิงไทย อายุ 57 ปี ต.บ่อสุพรรณ อ.สองพี่น้อง ชายไทย อายุ 50 ปี ต.ทุ่งคอก อ.สองพี่น้อง หญิงไทย อายุ 31 ปี ต.อู่ทอง อ.อู่ทอง รวมเสียชีวิตสะสม 77 ราย
ศรีสะเกษติดเชื้ออีก 296
ส่วนจ.ศรีสะเกษ พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 296 ราย ยอดสะสม 6,516 ราย รักษาหาย 349 ราย รักษาหายสะสม 4,607 ราย
ชลบุรีติดเกินพัน 10 วันติด
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชลบุรีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม 1,318 ราย เป็นการติดเชื้อเกินพันราย 10 วันติด ยอดติดเชื้อสะสม 37,655 ราย กำลังรักษา 18,535 ราย หายป่วย 18,941 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 6 ราย เสียชีวิตสะสม 179 ราย พบผู้ติดเชื้อกระจายครบทุกอำเภอ มากสุดที่อ.เมืองชลบุรี 369 ราย อ.ศรีราชา 367 ราย อ.บางละมุง 256 ราย อ.บ้านบึง 52 ราย อ.พานทอง 111 ราย อ.สัตหีบ 10 ราย อ.พนัสนิคม 60 ราย อ.บ่อทอง 27 ราย อ.เกาะจันทร์ 13 ราย อ.หนองใหญ่ 10 ราย และ อ.เกาะสีชัง 1 ราย
ด้านนายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าฯ ชลบุรี มีคำสั่งปิดสถานประกอบการ บริษัทรอยัล ฟินนิชชิงจ์ จำกัด ซึ่งผลิตม่านสำเร็จรูป และชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ อยู่ ต.หนองอิรุณ อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 8-10 ส.ค.64 และห้ามผู้ใดเข้า-ออก สถานประกอบการ บริษัทธาดา เมทัล พาร์ส จำกัด ผลิตอะไหล่ชิ้นส่วนไฟฟ้า ตั้งอยู่ ต.หนองชาก อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี ตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค.-5 ก.ย.64 เว้นแต่ได้รับอนุญาตและปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ที่เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่กำหนด เพื่อป้องกันการระบาดของโควิด
สมุทรสาครเริ่มฉีด‘ไฟเซอร์’
วันเดียวกัน ที่ห้องประชุมชั้น 7 ร.พ.สมุทรสาคร มีการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ โดยเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาล รวมทั้งเจ้าหน้าที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอเมือง และจากร.พ.ส.ต.ต่างๆ ในเขตอ.เมือง เข้ารับการฉีดบูสเตอร์
นพ.อนุกูล ไทยถานันดร์ ผอ.โรงพยาบาลสมุทรสาคร เผยว่า จ.สมุทรสาครได้ไฟเซอร์มาทั้งจังหวัด 880 ขวด ใน 1 ขวด ฉีดได้ประมาณ 6 โดส หรือทั้งหมดราว 5,280 เข็ม ซึ่งวัคซีนมาถึงจ.สมุทรสาครตั้งแต่ช่วงเช้าวันศุกร์ และกระจายไปตามโรงพยาบาลต่างๆ แล้ว โดยรอบแรกนี้จะฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ ทั้งโรงพยาบาลรัฐ เอกชน รวมถึง สำนักงานสาธารณสุข และร.พ.ส.ต.ต่างๆ ที่เข้าตามเงื่อนไขที่กำหนด และเป็นการรับแบบสมัครใจ ส่วนรอบถัดไปจะเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่ด่านหน้า ที่รองลงไปจากบุคลากรทางการแพทย์ จากนั้นจะถึงกลุ่มเปราะบาง 608 หรือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป กลุ่มโรคเรื้อรัง ตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป หญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ ในจังหวัดพื้นที่เสี่ยงสูงสุด
อยุธยาป่วยอีก 339-ตาย 7
นพ.พีระ อารีรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจ.พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่ม 339 ราย ป่วยสะสม 12,015 ราย รักษาหายแล้ว 5,681 ราย ยังรักษา 6,226 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 7 ราย ประกอบด้วย ชายไทย อายุ 35 ปี ชาว อ.พระนครศรีอยุธยา ไม่มีโรคประจำตัว ชายไทย อายุ 52 ปี ชาวอ.พระนครศรีอยุธยา ไม่มีโรคประจำตัว หญิงไทยอายุ 52 ปี ชาวอ.พระนครศรีอยุธยา มีโรคประจำตัว หญิงไทย อายุ 69 ปี ชาว อ.บางบาล มีโรคประจำตัว หญิงไทยอายุ 61 ปี ชาว อ.บางบาล มีโรคประจำตัว ชายไทย อายุ 66 ปี ชาวอ.บางบาล มีโรคประจำตัว และหญิงไทย อายุ 86 ปี ชาว อ.บางบาล มีโรคประจำตัว เป็นผู้ป่วยติดเตียง
‘อบต.กกโก’แจงผุดศูนย์พักคอย
ตามที่มีชาวบ้านในเขตเทศบาลตำบลกกโก อ.เมือง จ.ลพบุรี คัดค้านเทศบาลตำบลกกโก ตั้งศูนย์พักคอยผู้ป่วยโควิด บริเวณศูนย์เด็กเล็กของเทศบาลตำบลกกโก ด้านหน้าหมู่บ้านการเคหะ หมู่ 2 ต.กกโกนั้น
นายก่อภณ ฮุ้นสกุล นายกเทศมนตรีตำบลกกโก อ.เมือง จ.ลพบุรี เปิดเผยว่า การทำประชาคมที่จะใช้ศูนย์เล็กเล็กของเทศบาลตำบลกกโกนั้นทำตามขั้นตอน มีการประกาศและพูดจากันก่อนจะทำประชาคม และการทำประชาคมส่วนใหญ่ก็จะให้ประชาชนที่หมู่บ้านการหะ หมู่ 2 ต.กกโกมาร่วมประชาคมเพราะศูนย์พักคอยจะใช้ในหมู่ 2
จึงต้องใช้ประชาชนส่วนใหญ่ที่หมู่ 2 ทำการประชาคม 3 ครั้ง ผลการประชาคมก็มีเสียง 54 เสียงที่เห็นด้วย และ 13 เสียงที่ไม่เห็นด้วย ถือว่าเป็นเอกฉันท์หรือไม่ โดยเป็นคนหมู่ที่ 2 ทั้งนั้นสามารถตรวจสอบประชาชนที่เห็นด้วยได้ ไม่มีการเอาคนนอกพื้นที่มาทำประชาคมเด็ดขาด และศูนย์เด็กเล็กที่เราจะทำเป็นศูนย์พักคอยนั้นก็อยู่ห่างจากบ้านหลังที่ติดกับศูนย์เด็กเล็ก 50 เมตรเพียงหลังเดียว นอกนั้นห่างไกลจากบ้านคนมาก คณะกรรมการเห็นชอบแล้วจึงได้ทำประชาคม การที่มีประชาชนไม่เห็นด้วยก็เป็นสิทธิ์ของผู้คัดค้าน แต่ตนทำตามขั้นตอนอย่างถูกวิธี
‘สธ.’โต้วุ่นพรก.นิรโทษเหมาเข่ง
วันเดียวกัน ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) พร้อมพล.อ.ต.นพ.อิทธพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา แถลงข่าวกรณีการเตรียมออกร่างพ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. … ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการนิรโทษกรรมเหมาเข่งการจัดหาวัคซีนโควิด-19
นพ.ธเรศกล่าวว่า โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่ออันตราย ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉิน ถือว่าเป็นภัยพิบัติต่อสาธารณะ ทำให้เกิดความเสียหายและเจ็บป่วยจำนวนมาก จึงระดมสรรพกำลังทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน และประชาสังคมมาร่วมมือดูแลให้พ้นภัยพิบัติ อย่างไรก็ตาม โรคโควิด-19 เป็นโรคใหม่ มีองค์ความรู้ใหม่เกิดขึ้นตลอด ทั้งแนวทางวิธีการรักษา ยาที่ใช้รักษา หรือมีการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ ขณะที่วัสดุอุปกรณ์ ทรัพยากรต่างๆ ที่ไม่เพียงพอ แน่นอนว่าในภาวะฉุกเฉินนั้นความจำกัดต่างๆ ย่อมอาจไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึงทั้งหมด จึงจำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกันให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยเฉพาะภูมิต้านทานป้องกันการถูกฟ้องร้อง จะทำให้มีขวัญกำลังใจในการทำงาน รวมทั้งมีข้อเสนอจากองค์กรวิชาชีพ สภาวิชาชีพต่างๆ สมาคม ร.พ.เอกชน เสนอให้มีกฎหมายลักษณะนี้ เบื้องต้นกระทรวงสาธารณสุขตั้งคณะทำงานยกร่าง โดยมอบหมาย สบส. เป็นหน่วยงานหลัก มีผู้แทนภาคส่วนต่างๆ ทั้งวิชาชีพและกฎหมายเข้าร่วม เพื่อให้มีกลไกคุ้มครองคนทำงานในภาวะระบาดและภัยพิบัติได้เต็มความสามารถไม่ต้องพะวักพะวง
“ส่วนกฎหมายจำกัดความรับผิดของบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยโควิด-19 ครอบคลุมใครบ้าง ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุข ผู้ประกอบวิชาชีพ ผู้ประกอบโรคศิลปะแขนงต่างๆ อาสาสมัครสาธารณสุข อาสาสมัครต่างๆ ที่มาช่วย บุคคลหรือคณะบุคคลที่มีส่วนในการช่วยจัดหาวัสดุอุปกรณ์ทางการแทพย์ ยา วัคซีน เพราะเรามองว่ากระบวนการรักษานั้นต้องมาตั้งแต่ต้นทาง คือการจัดหาเครื่องมือ การเตรียมสถานที่ บุคลากร จนถึงการรักษาด้วยยาและบำบัดต่อไป” นพ.ธเรศกล่าว
ยันไม่ใช่คุ้มครองทุกกรณี
นพ.ธเรศกล่าวอีกว่า สถานที่คุ้มครอง คือ 1.สถานพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน 2.การปฏิบัติงานนอกสถานที่ เช่น ร.พ.สนาม รถฉุกเฉินที่ออกไปรับผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยในพื้นที่เฉพาะ เป็นต้น ทั้งนี้ การดูแลการคุ้มครองทั้งบุคลากรสาธารณสุขหรือสถานพยาบาลที่กล่าวอ้างถึง ต้องทำในสถานพยาบาลหรือนอกสถานพยาบาลที่เรากำหนด ดูแลรักษาเพื่อประโยชน์สาธารณะ และทำภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินขณะนี้ อย่างไรก็ตาม การดูแลคุ้มครองไม่ใช่ทุกกรณี โดยจะอยู่ภายใต้กรอบให้การกระทำโดยสุจริต ไม่ประมาทเลินเล่อร้ายแรงให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้ในประชาชนที่เสียหาย ย้ำว่าไม่เป็นการตัดสิทธิรับการเยียวยาตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เมื่อถามถึงกรณีบุคลากรที่ไม่ต้องรับผิดตามร่างกฎหมายนี้ มีตัวอย่างบุคลากรกลุ่มใด หรือทำงานแบบใด นพ.ธเรศกล่าวว่า อย่างการปฏิบัติงานในร.พ.สนาม เป็นสิ่งแวดล้อมที่เราจัดขึ้น เพื่อรองรับคนไข้ที่มีจำนวนมาก บางครั้งเครื่องมืออาจมีข้อจำกัด เรื่องสถานที่ที่ไม่เหมือนร.พ. 100% อีกทั้งแนวทางการรักษาที่เปลี่ยนไปตลอด หรือแม้แต่วัคซีน ความรู้ก็ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา จึงมีความจำเป็นมากในการมีกฎหมายนี้มาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้บุคลากร
“ร่างพ.ร.ก.ฉบับนี้เป็นเจตนารมณ์ทำเพื่อให้ประชาชนได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ที่สุด โดยพร้อมรับฟังความคิดเห็นเพื่อปรับปรุงร่างกฎหมายให้เหมาะสมที่สุด ยืนยันว่าบุคลากรทั้งรัฐ เอกชน ประชาสังคม และอาสาสมัครยึดมั่นดูแลประชาชนเต็มที่ หากมีพ.ร.ก.นี้ก็จะมีขวัญกำลังใจ ตั้งมั่นในการดูแลทุกสภาวะ คิดว่ามีประโยชน์ทั้งประชาชน ผู้เจ็บป่วย ผู้ประกอบวิชาชีพด้านต่างๆ ช่วยพัฒนาระบบจัดการวัสดุครุภัณฑ์ทุกด้าน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรับฟังความเห็น ก่อนปรับปรุงเสนอสธ.พิจารณาเสนอเข้าครม.ต่อไป หากประกาศใช้แล้วจะมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่เริ่มประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อควบคุมโรคโควิด-19”
ด้านพล.อ.ต.นพ.อิทธพรกล่าวว่า สถานการณ์ระบาดนี้เช่นเดียวกับการเข้าสู่สงคราม แต่ละวิชาชีพปฏิบัติงานเต็มที่โดยอยู่ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย ภาระงานมากกว่าปกติ ท่ามกลางทรัพยากรที่จำกัด การมีกฎหมายคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานให้ปลอดภัย ทำงานได้เต็มที่ในการดูแลชีวิตประชาชนได้มากที่สุด ก็ทำให้การทำงานสะดวกขึ้น ไม่ติดขัด เป็นขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งทุกวิชาชีพเห็นด้วย โดยยืนยันว่าแม้ร่างกฎหมายบอกว่าไม่ต้องรับผิด แต่บุคลากรทุกคนรับผิดชอบทุกคน มาตรฐานการรักษาไม่ลดลง บุคลากรเรารับผิดชอบทุกชีวิต
‘วิโรจน์’ชี้นิรโทษกรรมกึ่งเหมาเข่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.พรรคก้าวไกล โพสต์ในเฟซบุ๊กตั้งแต่ 6 ส.ค.ที่ผ่านมา ระบุ “ควรแล้วหรือที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมแบบกึ่งเหมาเข่ง ให้กับคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดหาและบริหารวัคซีน” และว่าได้รับเอกสารการเสนอแนวทางปรับปรุงกฎหมายเพิ่มเติม เพื่อคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์สำหรับการปฏิบัติงานตามข้อสั่งการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นฉบับทางการหรือไม่ และปัจจุบันได้แก้ไข ปรับปรุงอะไรไปบ้างแล้วหรือไม่ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรคงต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจง
แนวคิดสำคัญของเอกสารนำเสนอฉบับนี้ คือการตราพ.ร.ก.จำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุขในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พ.ศ…. ไม่ควรออกกฎหมาย “นิรโทษกรรมแบบกึ่งเหมาเข่ง” เนื่องจากข้อกำหนดบุคคลที่ได้รับความคุ้มครอง ข้อ7. ระบุ บุคคล/คณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหา หรือบริหารวัคซีน หากจำเป็นต้องมีพ.ร.ก.ฉบับนี้ ก็ควรคุ้มครองเฉพาะผู้ที่ปฏิบัติงานด่านหน้า ที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายเท่านั้น การออกกฎหมายกึ่งนิรโทษกรรมให้คณะบุคคลที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจเชิงนโยบายที่สำคัญแบบนี้ หากในอนาคตพบข้อเท็จจริงที่เป็นกรณีบกพร่องอย่างร้ายแรง หรือกรณีเล็งเห็นถึงหายนะที่เกิดขึ้นได้ แต่เพิกเฉย ลอยชายตามระบบรัฐราชการรวมศูนย์ เห็นชีวิตประชาชนเป็นผักปลา แล้วเราจะให้ความเป็นธรรมกับประชาชนที่ตายไปได้อย่างไร
‘อนุทิน’แจงเหตุจำเป็น
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมออกพ.ร.ก.ดังกล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รุนแรงและแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วทั่วประเทศและทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ส่งผลต่อการให้บริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ ในการดูแลผู้ป่วยภายใต้ทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ทั้งคน งบประมาณ ยาและเวชภัณฑ์ รวมถึงการบริหารจัดการ การจัดซื้อจัดหายา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องมือแพทย์ และวัคซีนเพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค ซึ่งสภาพความเป็นจริงมีข้อจำกัดและเงื่อนไขต่างๆ ส่งผลให้ไม่เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เนื่องจากปัจจัยในการผลิตวัคซีนและเงื่อนไขในขณะการเจรจาในขณะนั้น
นายอนุทินกล่าวต่อว่า กฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ผู้รับผิดชอบเรื่องการบริหารจัดการ การจัดบริการทางแพทย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องกับงานโควิด-19 ทั้งหมดได้ปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ในภาวะวิกฤตด้านสาธารณสุขของประเทศ โดยไม่ต้องกังวลกับความรับผิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นโดยเจตนาดีของ ผู้ปฏิบัติงาน หากเป็นการกระทำโดยสุจริต ไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง หรือการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม บุคลากรดังกล่าวก็ไม่ต้องรับผิด รวมถึงหากผู้ที่ได้รับมอบหมายในการเจรจาหรือจัดหาวัคซีน มีเจตนาสุจริต การตัดสินใจดำเนินการเป็นไปตามหลักวิชาการที่สนับสนุนในขณะนั้น กฎหมายนี้จึงเห็นควรให้ความคุ้มครองบุคคลหรือคณะบุคคลเหล่านั้นด้วย ซึ่งเป็นขวัญกำลังใจให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนที่เตรียมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ยังไม่ได้มีการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
“ร่างกฎหมายนี้เป็นการให้ความมั่นใจกับผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 ให้คลายความกังวล เช่นการวินิจฉัยโรคและรักษาพยาบาล ก็ต้องทำความมั่นใจว่าเขาจะได้รับความเป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องการฟ้องร้อง หากทำโดยเจตนาสุจริต ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวเกิดมีช่องโหว่แล้วคนหัวใสก็จะฟ้องร้อง เราไม่ต้องการให้บรรดาแพทย์ พยาบาล มีความวิตกกังวลหากถูกฟ้องร้อง แม้จะมั่นใจว่าชนะก็ยังมีความวิตกกังวลระดับหนึ่ง เราต้องการให้แพทย์ พยาบาล มีขวัญกำลังใจเต็มที่ จะได้ทุ่มเทในการรักษาพยาบาล วัคซีนก็ต้องจัดหาเข็มสาม เพื่อความปลอดภัยในการไปรักษาคนไข้ มีความกังวลให้น้อยที่สุด สุดท้ายประชาชน คนไข้ก็ได้ประโยชน์” นายอนุทินกล่าว
‘ช่อ’ฉะใช้บุคลากรแพทย์บังหน้า
น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า กล่าวว่า การให้สัมภาษณ์ของนายอนุทินหมายความว่าเอกสารชุดที่นายวิโรจน์เปิดเผยนั้นเป็นเอกสารจริง และกำลังจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้จริง นายอนุทินไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนิรโทษกรรม เพียงแต่เอาแพทย์ พยาบาล และบุคลากรด่านหน้ามาบังหน้า ทั้งที่ในเอกสารดังกล่าวระบุชัดเจนว่าบุคคลที่จะได้รับการคุ้มครองไม่ให้ถูกฟ้องร้อง นอกจากแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ยังรวมถึงคณะผู้จัดหาวัคซีนด้วย
“วันนี้ประชาชนทุกคนรู้อยู่เต็มอก รัฐบาลรู้อยู่แก่ใจว่าที่ประเทศไทยเดินทางมาถึงจุดที่มีผู้ติดเชื้อหลัก 2 หมื่นคน ผู้เสียชีวิตหลัก 100-200 คนต่อวัน คนแย่งชิงวัคซีนกันเหมือนจับสลากชิงโชค บุคลากรด่านหน้าต้องเรียกร้องครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพมาถึงแขน แต่ก็ยังได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งหมดนี้เกิดจากการบริหารวัคซีนที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น การแทงม้าตัวเดียวของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดเอาบุคลากรการแพทย์มาบังหน้า หยุดเอาประชาชนเป็นตัวประกัน หยุดทำเรื่องไร้ยางอาย ประชาชนยังตายกันไม่หยุดหย่อน แต่รัฐบาลกลับคิดหาทางเอาตัวรอด พ้นผิดลอยนวล”
‘หมอเรวัต’ค้านพรก.นิรโทษกรรม
นพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า ตนแปลกใจทำไมต้องออกกฎหมายดังกล่าว เพราะการปฏิบัติหน้าที่ตามหลักวิชาชีพของบุคลากรทางการแพทย์ได้รับความคุ้มครอง ในกรณีที่ปฏิบัติงานตามหลักวิชาชีพ มีมาตรฐานทางวิชาชีพ ไม่ได้ประมาทเลินเล่อจะถือว่าไม่มีความผิด เช่นเดียวกับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องนิรโทษกรรม และหากออกกฎหมายดังกล่าวเพื่อใช้เฉพาะช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตนขอตั้งคำถามด้วยว่าทำไมไม่ทำกับทุกสถานการณ์หรือทุกเรื่อง เพราะต้องยอมรับในว่าการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแพทย์ พยาบาล ทุกสาขาของสาธารณสุข มีกรณีที่เกิดความผิดพลาด ผู้รับการรักษาเสียชีวิต หรือพิการจากการรับการรักษาเกิดขึ้น
นพ.เรวัตกล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่ระบุประเภทของบุคลากรที่จะได้รับการนิรโทษกรรม โดยระบุถึงบุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้ง หรือมอบหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดหาหรือบริหารวัคซีน ตนขอตั้งคำถามว่า ต้องการออกกฎหมายเพื่อประโยชน์ของตัวเองหรือคนกลุ่มใดหรือไม่
“หากเรื่องดังกล่าวนั้นเป็นจริง และมีการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวเข้าสู่สภาฯ ผมจะคัดค้านอย่างเต็มที่ ในฐานะผู้บริหาร เมื่อพบการบริหารที่ผิดพลาดต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ตัวเอง”
ฟ้อง‘บิ๊กตู่’กีดกันนำเข้าวัคซีน
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่สำนักงานศาลปกครอง ถ.แจ้งวัฒนะ พญ.กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี ที่ปรึกษากลุ่มไทยไม่ทน สามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทยเดินทางมายื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี, รมว.สาธารณสุข, ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผอ.องค์การเภสัชกรรม ต่อศาลปกครองกลาง ว่า ทั้ง 4 คนร่วมกันออกประกาศศบค. เรื่องแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ฉบับลงวันที่ 8 มิ.ย.2564 ที่กำหนดให้เพียงกรมควบคุมโรค องค์การเภสัชกรรม สถาบันวัคซีนแห่งชาติ สภากาชาดไทย ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ดำเนินการจัดหา สั่ง หรือนำเข้าวัคซีนป้องกัน โรคโควิด-19 อย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ภายใต้กฎหมายหรือตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานนั้นๆ กำหนด โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พญ.กมลพรรณกล่าวว่า ประกาศศบค. ดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ละเลย ล่าช้า กีดกันการนำเข้าวัคซีน โดยให้กระทำได้เฉพาะหน่วยงานรัฐเท่านั้น และมีขั้นตอนมากมายหลายขั้นตอนที่ขัดรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดการระบาดของโรค และต้องปิดห้างร้าน ล็อกดาวน์หลายพื้นที่ ทำให้ผู้คนตกงาน ธุรกิจ ล้มละลาย ผู้คนอดอยาก ต้องมานั่งขอข้าวกินเป็นพันคน ไม่รวมความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นแสนๆ ล้านต่อเดือน ไม่สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลในการประกาศ คำสั่งที่ต้องการเพื่อเร่งรัดให้การขับเคลื่อนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตามวาระแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ และประชาชนได้รับประโยชน์โดยเร็ว ในการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค
“วันนี้จึงมาขอให้ศาลสั่งเพิกถอนประกาศดังกล่าว และให้นายกฯเปิดให้เอกชนและหน่วยงานต่างๆ สามารถนำเข้าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้อย่างเสรีทันที และต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานต่างๆ นำเข้าวัคซีนให้เพียงพอและทันสถานการณ์ รวมทั้งให้นายกฯสั่งยกเลิกเงื่อนไข รวมถึงขั้นตอนต่างๆ ที่เป็นปัญหาและอุปสรรค โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือโรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมทั้งบริษัทเอกชนต่างๆ สามารถนำเข้าวัคซีนมาฉีดให้บุคลากรของตนเอง ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระของงบประมาณแผ่นดิน และเพื่อให้ประชาชนเจ็บป่วยล้มตายลดลง และสามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้อย่างรวดเร็ว”
พญ.กมลพรรณกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ วันนี้ตนยังร้องขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉินคำร้องของโจทก์เป็นกรณีฉุกเฉินและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวโดยเปิดโอกาสให้งานรัฐหรือเอกชนต่างๆ สามารถนำเข้าวัคซีนที่มีคุณภาพที่ผ่านมาตรฐานองค์การอาหารและยาในไทย และนานาชาติแล้ว ได้อย่างเสรีทันที