‘คาร์ปาร์ก-คาร์ม็อบ’
ผนึกไล่ประยุทธ์วันนี้

คาร์ม็อบ-คาร์ปาร์กกลางกรุงนัดขับ-กดแตรไล่ประยุทธ์ ‘เต้น’มอบ‘เขียงรูปหน้าบิ๊กตู่’ให้รางวัลคนแต่งรถสวย ข้อความโดนใจ ส่วน ‘ไทยไม่ทน’ นัดกลุ่มพัทยาร่วมสมทบแยกบางนา กระหน่ำบีบแตร 6 โมงเย็นนานเท่าเสียงเพลงชาติจบ ‘สุพิศาล’อดีตผู้การกองปราบอัดจนท.รัฐล่อมวลชนเข้าจุดสังหาร หวังเกิดการปะทะ หวั่นเป็นเหตุใช้อ้างประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ข้องใจใช้ ‘คฝ.’ ที่ฝึกปราบปรามเฉพาะขณะม็อบบุกบ้านนายกฯ ด้านศูนย์ทนายชี้ ‘คดีป้าเป้า’ ควรฟ้องอาญากลับ ยกหลักกฎหมายตำรวจใช้แก๊ส-กระสุนยางทันทีไม่ได้

อดีตผบก.ป.ชี้ล่อม็อบเข้าที่สังหาร

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และอดีตผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวถึงการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการสลายการชุมนุมตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การชุมนุมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่ประชาชนพึงทำได้ ตามที่รัฐธรรมนูญให้การรับรอง และ การชุมนุมในพื้นที่สาธารณะย่อมกระทำได้ เพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกาศใช้เพื่อควบคุมภัยทางการระบาดของโควิค-19 มิใช่การนำมาจัดการกับผู้เรียกร้องที่เห็นว่าการแก้ไขโควิด-19 บกพร่องจนมีคนตาย แต่การจัดกำลังของเจ้าหน้าที่ ไม่ได้ควบคุมเหตุการณ์ กลับเป็นการปราบปรามที่กระทำการเกินกว่าอำนาจรัฐที่ควรกระทำ ยุทธศาสตร์ของเจ้าหน้าที่ คือปล่อยให้มวลชนเข้าพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ อาจเรียกว่าพื้นที่สังหารหรือกับดัก มีจุดสูงข่ม และมีชัยภูมิที่เป็นต่อทุกครั้ง

เมื่อมวลชนเข้ามาในพื้นที่ยุทธศาสตร์ เพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่ต้องการ แม้จะปาข้าวของหรือพยายามขยับตู้คอนเทนเนอร์ที่ใช้กีดขวางผู้ชุมนุม นั่นเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของกิจกรรม แต่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐกลับลงมือระดมยิงผู้ชุมนุม ส่งกำลังเข้าปะทะ ทำให้เกิดความระบาดทางอารมณ์ของผู้ชุมนุมบางส่วนหรืออาจจะเป็นผู้แทรกซึมเข้ามา จนไปเผาทำลายข้าวของสาธารณะ น่าสนใจว่ามีคนใส่หมวกที่สื่อมวลชนจับภาพได้เข้ามาผสมโรง ซึ่งไม่รู้แน่ว่าเป็นใคร แต่ภาพที่ปรากฏคือมีการวิ่งเข้าหลังกองกำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ

ชี้บิ๊กตำรวจใช้กำลังอคฝ.

“ผมมีข้อสังเกตถึงการชุมนุมที่ผ่านมาว่า คฝ.เป็นกองกำลังของรัฐ มีหน้าที่ป้องกันเหตุ มีอาวุธแค่โล่กับกระบอง ควรต้องนิ่ง อดทนต่อการยั่วยุ และการปะทะ ที่ผ่านมาจะใช้คฝ. ที่เกณฑ์มาจากโรงพักทั่วกรุงเทพฯ และทั่วประเทศ มาช่วยดูแลผู้ชุมนุม แต่รอบนี้พอม็อบประกาศจะไปบ้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ชุดที่เอามาใช้กลับเป็น อคฝ.(กก.ปจ.เดิม) ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ที่ถูกฝึกมาเพื่อปฏิบัติการปราบปรามเหมือนทหาร พวกนี้ไม่เคยรู้จักประชาชน ดังนั้น เมื่อมาถึงก็ติดอาวุธเหมือนท้าตี ท้าชกกับประชาชน ไม่อดทน ไม่นิ่งเฉย แถมยังสนุกอย่างที่มีสื่อเก็บเสียงได้ อยากถามว่าทำไมที่ผ่านมาใช้แต่คฝ.ของโรงพัก แต่พอจะบุกบ้านพล.อ.ประยุทธ์ กลับใช้อีกชุดที่มีหน้าที่คนละแบบ ชุดนี้เป็นการผลักดันทำให้เกิดความวุ่นวาย และข้ามเส้นสู่การยกระดับให้เป็นสถานการณ์ร้ายแรงใช่หรือไม่” พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าว

พล.ต.ต.สุพิศาลกล่าวต่อว่า สถานการณ์ที่เป็นอยู่นี้ จะเป็นกระตุ้นให้เข้ากับมาตรา 11 ที่ให้นายกฯ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีอำนาจประกาศให้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงใช่หรือไม่ เพื่อจะได้ใช้มาตรา 12 จับกุมบุคคลได้ไม่เกิน 7 วันใช่หรือไม่ จึงอยากให้ประชาชน สื่อมวลชนช่วยกันจับตา ระวังรัฐจะยกระดับให้เข้ากับองค์ประกอบนี้

ตระเวนทุบ – ตำรวจพฐ. ตรวจหาลายนิ้วมือแฝง หลังมีผู้ทุบและเผาป้อมตำรวจจราจร บริเวณแยกราชเทวี นอกจากนี้ยังพบว่ามีป้อมจร.ในท้องที่ สน.พญาไท ถูกทุบเสียหาย 10 แห่ง และถูกเผาวอด 2 แห่ง เมื่อวันที่ 14 ส.ค.

ออกหมายจับคนทำลาย-เผาป้อม

วันเดียวกัน ร.ต.อ.อรุณ สืบสิงห์ รองสว.(สอบสวน) สน.พญาไท นำเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน(พฐ.) ตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณป้อมจราจรแยกราชเทวี หลังถูกผู้ชุมนุมบางส่วนใช้ความรุนแรง ทุบทำลายและนำทรัพย์สินภายในป้อมจราจรโดยเฉพาะวิทยุที่ใช้ติดต่อสื่อสารหายไป ใช้เวลาตรวจสอบ 3 ชั่วโมง พบกระจกทุกด้านแตกละเอียด โต๊ะที่นั่งพังเสียหาย เครื่องปรับอากาศถูกทำลาย มีร่องรอยการเผาด้วยไฟ

ส่วนการดำเนินคดี อยู่ระหว่างการพิสูจน์ทราบข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจพฐ. เพื่อนำหลักฐานที่เกี่ยวกับการกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และวางเพลิงเผาทรัพย์ พร้อมทั้งหลักฐานกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุ มาพิสูจน์ทราบบุคคลที่ก่อเหตุต่อไป

ด้านพ.ต.อ.บวรภพ สุนทรเรขา ผกก.สน.พญาไท กล่าวว่า ตรวจสอบพบตู้จราจรในพื้นที่สน.พญาไท ทั้งหมด 12 แห่ง ถูกทุบทำลาย 10 แห่ง และอีก 2 แห่งถูกเผาทำลาย พนักงานสอบสวนได้เร่งประสานตำรวจพฐ.ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายทั้งหมดแล้ว ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินมูลค่าความเสียหายได้ อย่างไรก็ตาม อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาและออกหมายจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

ชี้คดีป้าเป้าควรฟ้องอาญากลับ

ด้านนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความประจำศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ทวีตข้อความ ผ่านทางทวิตเตอร์ @Norasate_Lawyer ถึงคดีของนางวรวรรณ หรือป้าเป้า แซ่อั้ง ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวก่อนได้รับ การประกันตัว เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า หัวหน้าศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนบอกว่า คดีป้าเป้าควรฟ้องกลับเป็นคดีอาญา

นายนรเศรษฐ์ระบุถึงการสลายชุมนุมของคฝ. ตามหลักการทางกฎหมายด้วยว่า การใช้อุปกรณ์ควบคุมฝูงชน แก๊สน้ำตา กระสุนยาง ไม่ใช่ใช้จากเบาไปหาหนักเท่านั้น ต้องใช้ตามความจำเป็นเหมาะสมและได้สัดส่วนด้วย ถ้าประชาชนมาชุมนุมมือเปล่า จะประกาศว่าให้เลิกชุมนุม แล้วใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยางทันทีไม่ได้ ต้องดูความจำเป็นเหมาะสมและได้สัดส่วนด้วย

ของรางวัล – นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) โพสต์โชว์เขียงรูปพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่จะแจกเป็นของรางวัลให้ผู้ที่แต่งรถสีสันบาดตา ฉูดฉาด ข้อความโดนใจ ในกิจกรรมคาร์ปาร์ก วันที่ 15 ส.ค.

แจก‘เขียง’รางวัลแต่งรถสวย

ส่วนความคืบหน้ากรณีนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) และอดีตแกนนำนปช. พร้อมนายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด ประกาศนัดทำกิจกรรม ‘คาร์ปาร์ก’ 3 เส้นทาง ในวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งเป็นการรวมกิจกรรมคาร์ม็อบและไฮด์ปาร์ก (ปราศรัย) ไว้ด้วยกัน เพื่อขับไล่พล.อ.ประยุทธ์ นั้น

นายณัฐวุฒิ โพสต์โชว์รูปเขียงที่มีรูปพล.อ.ประยุทธ์ อยู่ตรงกลางพร้อมข้อความ ระบุเป็นของรางวัลสำหรับคนแต่งรถสวย ป้ายข้อความโดนใจ แชร์ลงโซเชี่ยล กรรมการของเราจะรวบรวมทั้งประเทศ แล้วก็มอบรางวัล

สำหรับเส้นทางคาร์ปาร์ก 15 ส.ค. 14.00 น. พบกัน ณ จุดนัดหมาย 3 เส้นทาง ราชประสงค์-อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย-อยุธยา 15.00 น. เคลื่อนขบวน + ฟังปราศรัยและดนตรีออนไลน์ 18.00 น. กดแตรไล่พร้อมกันทั้งประเทศ 18.01 น. ยุติกิจกรรม เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ

ย้ำจุดยืนชักธงสันติต่อสู้

นายณัฐวุฒิ ยังโพสต์คำแถลงการณ์ ถึงการใช้กำลังเข้าควบคุมประชาชนอย่างต่อเนื่องของฝ่ายรัฐ พร้อมประกาศชัดว่า ตนยึดแนวทางสันติวิธี ความว่า “ผมชักธงสันติ ไม่ได้ชักธงสงคราม เราจะเดิมพันสันติภาพกัน โดยให้สังคมเป็นกรรมการ แน่นอนที่สุด ผมอยู่ข้างประชาชน เมื่อเกิดการปะทะ เมื่อเกิดการบาดเจ็บ รัฐบาลและหน่วยงานรัฐต้องเป็นผู้รับผิดชอบ จะแสดงตนเสมือนหนึ่งมีประชาชนเป็นคู่กรณีไม่ได้ การใช้กำลัง การใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ต้องเป็นไปโดยภายใต้กรอบของกฎหมาย ตามหลักสากล และด้วยเมตตาธรรมของคนสวมเครื่องแบบที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ดังนั้น เมื่อผมประกาศว่าเราช่วยกันชักธงสันติ ก็หวังว่าจะได้รับการตอบสนองจากฝ่ายเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี”

ร่วมบีบแตรยาวเท่า‘เพลงชาติ’

ด้านนายสมบัติ โพสต์อธิบายเส้นทางเพิ่มเติมว่า 1.นายสมบัติ นัดหมายเริ่มขบวน 13.00 ที่ วินรถตู้ ตรงข้ามอยุธยาพาร์ค จ.พระนคร ศรีอยุธยา เพื่อเดินทางบนถนนวิภาวดี รังสิต มุ่งสู่ห้าแยกลาดพร้าว กทม. 2.นายณัฐวุฒิ นัดหมาย 14.00 น. ที่สี่แยกราชประสงค์ โดยขับผ่านแยกคลองตัน แยกพระโขนง แยกสีลม และกลับมาที่สี่แยกราชประสงค์ 3.กลุ่มทะลุฟ้า นำขบวนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นัดหมาย 14.00 น. เคลื่อนขบวน 15.00 น. มุ่งหน้าสายใต้เก่า ผ่านสะพานพระราม 7, แยกบางพลัด, แยกบรมราชชนนี และกลับมายังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยทั้ง 3 ขบวน นัดหมายร่วมส่งเสียงบีบแตรพร้อมกัน ในเวลา 18.00 น. ความยาวเท่า “เพลงชาติ” ก่อนยุติกิจกรรม

นายสมบัติ ยังโพสต์ถึงจุดแข็งของการเคลื่อนไหวทางการเมือง ว่า “ความชอบธรรมคือกำลังและกำแพงเหล็กของประชาชน รัฐประยุทธ์เสียความชอบธรรม (บริหารนโยบายผิดพลาด) แต่มีกองกำลังปกป้องตนเอง ม็อบไม่มีกองกำลัง แต่มีความชอบธรรม (เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยและเป็นผู้ได้รับผล กระทบจากการบริหารงานที่ผิดพลาด)

ความชอบธรรมของม็อบจะกลายเป็นกองกำลังได้ ต่อเมื่อขยายแนวร่วมได้อย่างกว้างขวาง ปิดล้อมกองกำลังประยุทธ์ด้วยประชาชนหมู่มากของประเทศ ชนะโดยไม่ต้องปะทะ เป็นการชนะทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณทางการเมือง ต่อให้ประยุทธ์ไม่ลาออก พลังของประชาชนจะตัดสินชะตาชีวิตผ่านการเลือกตั้งครั้งหน้า พลเมืองที่ตื่นรู้จะเป็นผู้ควบคุมตัวแทนทางการเมืองในสภาเอง ด้วยแนวทางนี้การไล่เผด็จการจะดำเนินการไปพร้อมกับการสร้างประชาธิปไตย

นอกจากนี้ยังระบุถึงนายธนัตถ์ ธนากิจอำนวย หรือ ไฮโซลูกนัท ได้รับบาดเจ็บจากการถูกยิงด้วยแก๊สน้ำตาที่ใบหน้า ใกล้ดวงตา ขณะร่วมชุมนุม เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ว่า ลูกนัทได้รับบาดเจ็บที่บริเวณใบหน้า ไม่แน่ชัดว่าโดนกระสุนยางหรือกระป๋องแก๊สน้ำตา ขณะที่ได้รับบาดเจ็บเขาชูสามนิ้วขึ้น ในความคิดของเขา นี่คือต้นทุนของการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ขอให้ประชาชนทุกคนปลอดภัย

แนะเลี่ยงราชประสงค์-ลาดพร้าว

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น.ดูแลงานจราจร เผยว่า จากการศึกษาข้อมูลค่อนข้างเป็นห่วง 2 จุดสำคัญ คือบริเวณแยกราชประสงค์ และห้าแยกลาดพร้าว คาดว่าจะได้รับผลกระทบด้านการจราจร ซึ่งจะเตรียมกำลังตำรวจจราจรไว้คอยอำนวยความสะดวก และแนะนำเส้นทางเลี่ยงให้กับประชาชน เพื่อลดผลกระทบ ซึ่งการชุมนุมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่กลุ่มผู้ก่อความวุ่นวาย เข้าไปทุบทำลาย เผาทรัพย์สินทางราชการ โดยเฉพาะอุปกรณ์ควบคุมสัญญาณไฟจราจร ป้อมตำรวจ รวมถึงรถตำรวจ อย่างไรก็ตามบช.น.ได้ประสานไปยังกรุงเทพมหานคร ให้เข้าซ่อมแซมอุปกรณ์สำคัญ เช่น สัญญาณไฟจราจร กล้องวงจรปิด ให้ใช้งานได้ตามปกติแล้ว

3 ผู้จัดคาร์ม็อบยะลาเข้ามอบตัว

วันเดียวกัน ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิ มนุษยชน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 13 ส.ค. ที่สภ.เมืองยะลา 3 ผู้เข้าร่วมกิจกรรมคาร์ม็อบยะลา ได้แก่ นายอารีฟีน โสะ, นายประเสริฐ ราชนิยม, น.ส.อามานียะ ดอเลาะ ได้เดินทางเข้ารับทราบข้อหาตามหมายเรียก และถูกตำรวจกล่าวหาว่าเป็นผู้ร่วมจัดคาร์ม็อบ และแจ้งข้อหาหลักฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งยังถูกยื่นขอฝากขังต่อศาล ทั้งที่มาพบตามหมายเรียก

ก่อนหน้านี้ ผู้เข้าร่วมคาร์ม็อบยะลา #ประยุทธ์ออกไป เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 64 ซึ่งเป็นกิจกรรมขับรถวนรอบเมืองยะลา เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมืองในการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จัดขึ้นโดยกลุ่มยะลาปลดแอก ทยอยได้รับหมายเรียกในคดีที่มี พ.ต.อ.ตรัยฤกษ์ ปัญญาไตรรัตน์ ผกก.สภ.เมืองยะลา เป็นผู้กล่าวหา

จากการประสานงาน พบว่ามีผู้ถูกออกหมายเรียกทั้งหมด 8 ราย ผู้ได้รับหมายเรียกจำนวน 3 ราย พร้อมทนายความ จึงได้นัดหมายเดินทางเข้ารับทราบข้อหาเบื้องต้นก่อน โดยมีนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เดินทางมาร่วมติดตามคดี หากต้องใช้ตำแหน่งในการประกันตัว

พิลึกตร.ส่งฝากขัง-ศาลสั่งปล่อย

เจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าในกิจกรรมดังกล่าว นายประเสริฐ และน.ส.อามานียะ ได้เป็นผู้ขับรถยนต์นำขบวนรถจักรยานยนต์และรถยนต์ออกไปตามเขตเทศบาลนครยะลา ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.เมืองยะลา ให้ดำเนินคดี

จากนั้นพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหานายประเสริฐและนายอารีฟีน ในข้อหาฝ่าฝืนข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ส่งเสียงหรือทำให้เกิดเสียงอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 370, ขับรถกีดขวางทางจราจร และหยุดรถในช่องทางเดินรถในลักษณะกีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ขณะที่ น.ส.อามานียะ ถูกแจ้งเฉพาะสองข้อกล่าวหาแรก แต่ไม่ได้ถูกแจ้งข้อหา ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ ทั้งสามคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การเพิ่มเติมเป็นหนังสือภายในวันที่ 31 ส.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังพิมพ์ลายนิ้วมือและลงบันทึกประจำวันไว้ พนักงานสอบสวนยังได้ยื่นคำร้องขอฝากขังทั้งสามคนต่อศาลจังหวัดยะลาผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ผู้ต้องหาทั้งสามได้คัดค้านการฝากขังด้วยวาจา ก่อนที่ศาลจังหวัดยะลาจะมีคำสั่งยกคำร้องของพนักงานสอบสวน ไม่อนุญาตให้ฝากขังตามคำขอ ทำให้ทั้ง 3 คนได้รับการปล่อยตัวกลับ

คาร์ม็อบ – หนุ่มสาวชาวหาดใหญ่ จ.สงขลา รวมตัวจัดกิจกรรมรวมพลราษฎร์หาดใหญ่ จัดขบวนคาร์ม็อบ ร่วมขับไล่นายกรัฐมนตรี คู่ขนานกับม็อบที่กรุงเทพฯ โดยเริ่มต้นบริเวณหน้ามณฑลทหารบกที่ 42 ค่ายเสนาณรงค์ เมื่อวันที่ 14 ส.ค.

‘ไทยไม่ทน’ก็นัดคาร์ม็อบพัทยา

คณะไทยไม่ทน สามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย แถลงจัดกิจกรรมคาร์ม็อบคู่ขนาน วันที่ 15 ส.ค.นี้ โดยเปิดเผย 2 เส้นทาง “ไทยไม่ทนคาร์ม็อบฯ“ ระบุว่า เวลา 13.00 น. นัดรวมพล ตลาดเลียบด่วน เวลา 13.30 น. เคลื่อนขบวนไปตามถ.ประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบด่วน รามอินทรา) ไปจนถึงเอกมัย จากนั้นเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถ.สุขุมวิทขาออก ตรงไปจนถึงแยกบางนา เพื่อรอรับคาร์ม็อบ “ไทย ไม่ทน” จากภาคตะวันออก บริเวณ “สี่แยกบางนา”

จากนั้นเลี้ยวซ้าย เข้าถ.บางนา-ตราดขาออก เลี้ยวซ้ายตรงวัดศรีเอี่ยม ถ.ศรีนครินทร์ ขาเข้า เลี้ยวซ้ายเข้าถ.พระราม 9 ขาเข้า เลี้ยวขวาเข้าถ.เลียบด่วนขาออกโดยเวลา 18.00 น. ไม่ว่าขบวนเคลื่อนถึงจุดใด ให้ผู้ร่วมกิจกรรมบีบแตรแสดงสัญลักษณ์พร้อมกัน ก่อนแยกย้าย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน