อจ.จุฬาชี้
ไร้อำนาจ
เรียกแจง

อจ.สอนวิชากฎหมายคณะนิติจุฬาฯ ชี้กมธ.ศาสนาฯ ไม่มีอำนาจเรียก‘2 พส.’ไปชี้แจง ด้านพระมหาสมปอง-พระมหาไพรวัลย์ไปสภา เคลียร์เรียบร้อย ตอบชัดทุกประเด็น เผยกรรมาธิการเป็นห่วงอยากให้เพิ่มเนื้อหาธรรมะเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ สนุกสนาน 30 เปอร์เซ็นต์ บรรยากาศฮากลิ้งเมื่อทั้งสองรูปต่อรองขอเป็น 50-50 ยืนยันพร้อมปรับรูปแบบไลฟ์เพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ เผยครั้งที่ผ่านมาเหมือนเข้าสอนคาบแรก มีเรื่องเจี๊ยวจ๊าวบ้างเป็นธรรมดา

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 ก.ย. ที่อาคารรัฐสภา พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต และ พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ได้เดินทางเข้าพบ นายสุชาติ อุสาหะ ส.ส.เพชรบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกมธ.การศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เพื่อหารือถึงแนวทางการไลฟ์สด สอนธรรมะอย่างไรให้เหมาะสม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่พระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ มาถึงด้วยท่าทีสบายๆ ไม่มีความกังวลใจใดๆ พร้อมกับทักทายสื่อมวลชนด้วย

พระมหาสมปองกล่าวว่า วันนี้ไม่ได้เตรียมอะไรมาชี้แจงเป็นพิเศษ พร้อมชี้แจงทุกประเด็นที่กรรมาธิการจะถามมาว่าการไลฟ์สดที่ผ่านมา ขาดหรือเกินอย่างไรบ้าง แต่ถ้าหากเกินคงจะเป็นเสียงหัวเราะของพระมหาไพรวัลย์ ส่วนเรื่องแนวทางการไลฟ์สดจะปรับเปลี่ยนหรือไม่นั้น ก็จะต้องหารือกับทางกรรมาธิการก่อน แต่จะไม่หยุดไลฟ์สดแน่นอน เพียงแต่จะสำรวมมากขึ้น

เมื่อถามว่าการไลฟ์สดลักษณะนี้ทำให้คนสนใจธรรมะมากขึ้นหรือไม่ พระมหาสมปองกล่าวว่า เชื่อมืออาตมาเถอะ เพราะว่าอาตมาบรรยายธรรมมากว่า 20 ปี รู้ว่าจะต้องเก็บคนดูตอนไหน ช่วงไลฟ์สดตอนแรก เป็นเหมือนคาบแรกที่เข้าเรียน อาจกำลัง งง กับเด็กนักเรียนอยู่ แต่ต่อมาก็โดนอาจารย์ตำหนิว่าสอนอะไรกัน

เมื่อถามว่านอกจาก กมธ.ศาสนาฯ มีหน่วยงานอื่นเรียกไปชี้แจงด้วยหรือไม่ พระมหาสมปองตอบว่า จริงๆ วันนี้มาเกือบทุกหน่วยงาน ซึ่งอาตมาก็พร้อมจะชี้แจงทุกประเด็น โดยหลังจากนี้หากมีหน่วยงานอื่นเชิญเข้าไปชี้แจงเพิ่มเติม อาตมาก็พร้อมที่จะเข้าไปชี้แจงทุกกรณี แต่ก็มีสิ่งที่อยากจะถามกลับไปยัง กมธ.ศาสนาฯ เช่นเดียวกัน ในกรณีที่บอกว่า กมธ. มีหน้าที่อุปถัมภ์และคุ้มครองศาสนา แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ค่อยได้มีใครอุปถัมถ์เลย ต่อไปพระรุ่นใหม่ ที่ฝึกฝนตนเอง กมธ. จะสนับสนุนพระรุ่นใหม่อย่างไร

ด้านพระมหาไพรวัลย์กล่าวว่า ส่วนของกรณีที่มีคนบอกว่า มาไลฟ์สดลักษณะเช่นนี้ไม่สำรวม ชี้แจงว่า ไม่ได้กังวล เพราะก่อนหน้านี้ ก็ออกรายการมาเยอะ สิ่งที่ทำมันไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย เรื่องเสียงหัวเราะไม่น่าเป็นปัญหาระดับชาติ สำหรับประเด็นการรับงานหรือกิจนิมนต์ต่างๆ ก็รับงานได้ตามปกติ เพราะมีเด็กวัดคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว

พระมหาสมปองได้ฝากธรรมะไว้ ก่อนที่จะขึ้นพบกรรมาธิการว่า จงลืมเสียเถิดความหลัง จงสร้างปัจจุบันและอนาคตที่ดี ยังยืนยันว่าจะเน้นเผยแผ่พระพุทธศาสนาต่อแน่นอน คิดซะว่าการไลฟ์สดแต่ละครั้ง เหมือนการ พรีเซนต์งานหน้าห้องเรียน แล้วอาจารย์คอมเมนต์ว่าต้องแก้ไขเพิ่ม หรือต้องเพิ่มเติมข้อมูลบางอย่าง ซึ่งอาตมาก็พร้อมทำ และทำให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ








Advertisement

จึงอยากฝากถึง ส.ว. ส.ส.ว่า ในเมื่ออยากเป็น หรืออยากอยู่ในตำแหน่งนี้ก็จะต้องทำงานไปด้วย ก็ต้องทำงานให้สมกับที่อยากเป็น เหมือนกับที่อาตมาต้องการเผยแผ่ศาสนาเรื่อยๆ แต่จงจำไว้ว่า ธรรมชาติของตาอยู่ต่ำกว่าสมอง จงอย่าตัดสินแค่การมอง โดยการลืมไตร่ตรองด้วยสมองที่สูงส่ง ไม่ว่าจะเห็นอะไรอยากให้ตัดสินใจให้ดีก่อน หรือดูหนังให้จบม้วน ค่อยตัดสิน เพราะสมัยนี้โลกโซเชี่ยลเร็ว และเรียลมากๆ

หรือเอาคำพูดของพ่อพระพยอม “พ่อ พยอมเทศน์คึกคะนองจังเลย มาอยู่ที่สวนโมกข์ตั้ง 7 ปี พ่อพยอมบอกสั้นๆ ว่า ที่เทศน์คึกคะนองลองชั่งน้ำหนักดู ว่าโทษกับประโยชน์ อันไหนมากกว่ากัน” อาตมาเชื่อว่าทุกคนเพิ่มประโยชน์ได้

ด้านพระมหาไพรวัลย์กล่าวเสริมว่า ถูกต้องทั้งหมดอาจจะไม่มี ไม่ถูกต้องทั้งหมดก็ไม่มีอยู่จริง อยากให้ชั่งใจเอาไว้ก่อน อาตมามองว่าการจะทำอะไรให้ถูกใจทุกคนคงยาก ตอนนี้คงต้องเอาอาตมา และพระมหาสมปองขึ้นชั่ง

ต่อมา เวลา 11.00 น. หลังจากเข้าหารือกับนายสุชาติ พร้อมคณะกรรมาธิการการศาสนาฯประมาณ 2 ชั่วโมง นายสุชาติกล่าวว่า วันนี้เป็นการประชุมกรรมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม ตนในฐานะของประธานกรรมาธิการ พร้อมด้วย กรรมาธิการสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากหลายพรรคการเมืองเข้ามาหารือกัน ระหว่างกรรมาธิการและพระมหาสมปองกับพระมหาไพรวัลย์ ซึ่งช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นเรื่องการไลฟ์สดธรรมะ และมีคนติดตามจำนวนมาก ทำให้มีความเห็นทางสังคมแบ่งเป็นสองฝ่าย เพราะมีทั้งคนรุ่นเก่า รุ่นกลาง และรุ่นใหม่

“เราไม่ได้มีมติเชิญพระอาจารย์ แต่เป็นการขอความร่วมมือมาชี้แจงและแลกเปลี่ยนในเรื่องที่สังคมส่วนใหญ่กังวลอยู่ พระอาจารย์ก็ตอบคำถามอย่างชัดเจน และกระจ่าง ในนามของกรรมาธิการศาสนา ศิลปะวัฒนธรรมกันว่าเป็นเรื่องที่ดีสามารถทำได้เนื้อหาสาระต่างๆ ถ้าหากว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร ก็มีคณะผู้ปกครองสงฆ์ มีเจ้าอาวาสและผู้ดูแลอยู่ กรรมาธิการไม่ได้มีอำนาจในการชี้ผิดถูก ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมอย่างไร แต่กรรมาธิการมีหน้าที่หารือและแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน อย่างไรก็ตาม ที่เราหารือกันในวันนี้ เราคุยกันด้วยความห่วงใยทั้งนั้น ไม่ได้มีประเด็นมาชี้ถูกหรือผิด เพราะเชื่อว่าสังคมเอง ก็มีความเห็นที่หลากหลาย” นายสุชาติระบุ

พระมหาสมปองกล่าวว่า มี 3 ประเด็นหลัก ก็มีประเด็นเชิงบวก คือ เรื่องการไลฟ์สดเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ มีความเหมาะสมทันยุค ทันสมัย แต่ประเด็นเชิงลบที่จะนำไปแก้ไข คือ หากมีข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นอาจจะไม่สามารถยับยั้งหรือยกเลิกการเผยแผ่ทันที อาจจะทำให้เกิดผลเสีย ซึ่งหมายถึงการไลฟ์สดที่เรียลไทม์เผยแพร่ออกไปในขณะนั้น ท่านก็ให้เราดูเนื้อหาให้เหมาะสม ขอเป็นเนื้อหา 70 เปอร์เซ็นต์ และความสนุกสนาน 30 เปอร์เซ็นต์ได้หรือไม่ ตอนแรกอาตมาก็คิดว่าทำได้เลย แต่ว่าคิดไปคิดมา ขอเป็นเนื้อหา 50 เปอร์เซ็นต์ และความสนุกสนาน 50 เปอร์เซ็นต์ได้หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่จัดสรรได้

พระมหาสมปองกล่าวต่อว่า มีเรื่องหนึ่งที่อาตมาสงสัยมากคือตอนไลฟ์สด มีออฟฟิ เชี่ยลเข้ามาเยอะ แล้วมีห้างร้านอยากจะอุปถัมภ์ ยกตัวอย่าง สถานีวิทยุโทรทัศน์ช่องพระพุทธศาสนาช่องหนึ่ง จะมาอุปถัมภ์ สามารถทำได้หรือไม่ ท่านก็บอกว่าอุปถัมภ์ได้ แต่อาจจะตั้งผลิตภัณฑ์เอาไว้โดยที่ไม่ต้องพูดถึง โดยทางสำนักพุทธฯ ก็ชี้แจงว่าสามารถทำได้เลย แต่ให้อยู่ในความเหมาะสม

พระมหาไพรวัลย์กล่าวว่า วันนี้ดีใจที่ได้มาคุยกับคณะกรรมาธิการฯ เราจะขอน้อมนำคำแนะนำ ของคณะกรรมาธิการทุกท่านที่เห็นด้วยและฝากข้อห่วงใยมา อาตมาก็รับปากว่าหลังจากนี้จะปรับให้เหมาะสม และคำนึงถึงความเป็นห่วงของผู้ใหญ่ทุกท่านที่เราเป็นลูกพระที่ได้ทำหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างพอเหมาะพอสม อาตมาอยากฝากประเด็นเรื่อง อาจารย์ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ว่าถ้าหากท่านไม่อยากตอบคำถาม ก็อย่าไปจี้ถาม เรารักกัน ส่วนประเด็นที่อาจารย์บอกปรับปรุงแก้ไขเรื่องความสำรวมและอากัปกิริยา ซึ่งสามารถทำได้เลย

ก่อนขึ้นรถกลับวัด พระมหาไพรวัลย์ได้พูดสั้นๆ ว่า ท่านกรรมาธิการขอว่าอย่าหัวเราะมาก ก็เท่ากับยังหัวเราะเหมือนเดิม

ด้านนายพรสันต์ เลี้ยงบุญเลิศชัย อาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงกรณีพระมหาสมปองและพระมหาไพรวัลย์ รับนิมนต์ไปชี้แจงคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรว่าเรื่องนี้มีประเด็นทางรัฐธรรมนูญที่ควรอธิบายให้ชัดเจน ตนเห็นว่าการใช้อำนาจของ กมธ.ไม่น่าจะสอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและเป็นการไม่เหมาะสม อย่างยิ่งที่จะเรียกไปชี้แจงอธิบายใดๆ ที่สภา

นายพรสันต์ระบุว่ากรณีที่ กมธ.ใช้อำนาจเรียก (อำนาจแสวงหาข้อเท็จจริง) อันเป็นกลไกทางการเมืองอาจมีลักษณะไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อมโยงอยู่ ม.31 ของรัฐธรรมนูญว่าด้วยเสรีภาพในการนับถือศาสนา ที่มีส่วนในการกำหนดแยกเขตแดนระหว่าง “กิจกรรมทางการเมือง” (เรื่องทางโลก) กับ “กิจกรรมทางศาสนา” (เรื่องทางธรรม) ออกจากกัน การที่ กมธ.บางท่านไปอ้างว่าคณะกรรมาธิการมีอำนาจตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่ถูกต้อง เป็นการบังคับใช้ข้อบังคับการประชุมที่ขัดแย้งไม่สอดคล้องต่อ (หลักกฎหมาย) รัฐธรรมนูญเสียเอง กมธ.จะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญประกอบกับข้อบังคับการประชุมสภา เพื่อใช้อำนาจเรียกเพื่อสอบหาข้อเท็จจริงกรณีที่เป็นประเด็นอยู่นั้น สามารถทำได้ด้วยการเรียกผู้แทนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง

“ผมคิดว่าหลักการทางรัฐธรรมนูญเรื่องนี้ต้องพูดกันให้ชัดเจนครับ อำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงของคณะกรรมาธิการในรัฐสภา มีข้อจำกัด ไม่อาจใช้ได้ในทุกกรณี ไม่ต่างกับกรณีการห้ามยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่มีการดำเนินคดีแล้วตามกฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่ของศาล” นายพรสันต์กล่าว

นายพรสันต์กล่าวอีกครั้งหลังจากคณะกรรมาธิการเรียกทั้งสองรูปไปชี้แจงว่าแม้ทางคณะกรรมาธิการจะกล่าวว่าไม่ได้เข้าไปชี้ถูกผิดในเนื้อหาการไลฟ์สดของ พส.ทั้ง 2 รูป เป็นแค่การหารือเท่านั้น แต่ขอย้ำว่าการหารือแลกเปลี่ยนทำไม่ได้และไม่ควรกระทำตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เพราะขัดกับรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เรื่องถูกผิด หรือเหมาะสมหรือไม่อย่างไรทางศาสนาเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่ กมธ.ขอให้การไลฟ์สดของพระมหาสมปองก็ดี หรือพระมหา ไพรวัลย์ก็ดี มีเนื้อหา 70% และเฮฮา 30% ถือเป็นกรณี (ฝ่าย) การเมืองเข้าไป “ล่วงละเมิด หรือแทรกแซงกิจกรรมทางศาสนา” ของ พส. ทั้ง 2 รูป แล้ว (จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม) นี่คือการเข้าไปตัดสินและกำหนดเนื้อหาที่ พส.ทั้ง 2 จะนำเสนอเผยแผ่แล้วโดยปริยาย คำถามคือ กมธ.ใช้อำนาจอะไรในการเข้าไปบอกกล่าวกำหนดเนื้อหาเช่นนั้น

นายพรสันต์ระบุต่อว่าประเด็นนี้สำคัญอย่างมาก เราต้องขีดเส้นแบ่งให้ชัดครับระหว่าง “เรื่องทางการเมือง” ที่มีกลไกทางการเมืองคอยตรวจสอบถ่วงดุล และ “เรื่องทางศาสนา” ที่ก็มีกลไกตรวจสอบเป็นการเฉพาะของเขา จะเอามาปะปนกันแบบนี้ไม่ได้ มิฉะนั้น จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมแบบผิดๆ ต่อการทำหน้าที่ของคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ในรัฐสภาสำหรับการใช้อำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงที่มีขอบเขตจำกัด และมีผลกระทบอย่างมากต่อบทบาทหน้าที่ของรัฐสภาโดยรวมด้วย หากยังคงคิดว่าทำได้ ลองนึกภาพว่า ในอนาคต วันดีคืนดีคณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ของรัฐสภาอยากจะใช้อำนาจเรียกพระสงฆ์รูปอื่นๆ มาแลกเปลี่ยนหารือความคิดเห็นทำนองเดียวกับพระมหาสมปองและพระมหาไพรวัลย์ แบบนี้ก็ทำได้อย่างนั้นหรือ พระจะทำหน้าที่ หรือดำเนินกิจกรรมของตนเองอย่างไร จะมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำไม

พส.พบกมธ. – พระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง พระนักเทศน์ชื่อดังวัดสร้อยทอง รับนิมนต์เข้าชี้แจงกรรมาธิการการศาสนาฯ สภาผู้แทนฯ กรณีไลฟ์ทอล์กธรรมะ ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 9 ก.ย.

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน