ดีเดย์1พย.8หมื่นคันทั่วปท.
เบนซินขยับ60-ดีเซล40สต.
พลังงานยันอุ้มได้ลิตร30บ.

น้ำมันขึ้นอีกวันนี้ เบนซิน 60 สตางค์ ดีเซล 40 สตางค์ รถบรรทุกประกาศหยุดวิ่งเพื่อประท้วง 7 วันเริ่ม 1 พ.ย.นี้ โดยเริ่มหยุดวิ่งก่อน 20% ประมาณ 8 หมื่นคันจาก 4 แสนคันทั่วประเทศ เตรียมยื่นหนังสือถึงนายกฯ เปิดแถลงวิ่งต่อไม่ไหว หากไม่ลดดีเซล เหลือ 25 บาทต่อลิตร ต้องแสดงพลัง ‘ทรัก เพาเวอร์’ กดดันภาครัฐ คาดภาคธุรกิจการค้า-อุตสาหกรรมเจ๊งหลายพันล้านบาทหากยัง ไม่แก้ปัญหาให้ เล็งหยุดวิ่งเพิ่มอีก 15 วันถึง 1 เดือน เปิดช่องพร้อมเข้าพบรัฐบาล ต่อรองได้ที่ 26-27 บาท หากไม่ช่วย ระดม ‘ทรัก เพาเวอร์’ ซีซั่น 2 แน่

เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ภายหลัง บริษัทปตท. ระบุว่า สถานีน้ำมัน ปตท. หรือ พีทีที สเตชั่น ประกาศขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดขึ้น 0.60 บาทต่อลิตร ยกเว้น อี 85 ปรับขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร ส่วนกลุ่มดีเซลทุกชนิด ปรับขึ้น 0.40 บาทต่อลิตร โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.2564 เวลา 05.00 น.เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกจะเป็นดังนี้ เบนซิน = 39.96 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 = 32.55 บาทต่อลิตร อี 20 = 31.04 บาทต่อลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 = 32.28 บาทต่อลิตร อี 85 = 24.44 บาทต่อลิตร ดีเซล บี 7 = 29.69 บาทต่อลิตร ดีเซล บี 10 = 29.69 บาทต่อลิตร ดีเซล บี 20 = 29.44 บาทต่อลิตร ดีเซลพรีเมียม บี 7 = 34.66 บาทต่อลิตร โดยราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

ต่อมาเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวภายหลังการแถลงข่าวเรื่อง มาตรการ ยกระดับการเรียกร้องประเด็นราคาน้ำมันดีเซลปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องของภาคประชาชนว่า การจัดแถลงข่าวเพื่อยกระดับมาตรการกดดันรัฐบาลพิจารณาตามข้อเรียกร้องช่วยตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ลิตรละ 25 บาทต่อลิตร ลดภาษีสรรพสามิตลง 5 บาทต่อลิตร ยกเลิกการเก็บเงินเข้ากองทุนพลังงานเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อลดผลกระทบธุรกิจภาคการขนส่ง และประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากวิกฤตน้ำมันดีเซลได้ปรับราคาขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง

ส่งผลต่อต้นทุนอัตราค่าขนส่งและราคาสินค้าอุปโภค และบริโภคขึ้นตามราคาน้ำมัน และที่ผ่านมารัฐบาลได้ออกมาระบุว่า ให้ผู้ค้าน้ำมันกลับมาจำหน่ายน้ำมันกลุ่มดีเซลเป็น 3 ชนิดเหมือนเดิม คือ ดีเซลธรรมดา, ดีเซล บี 7 และบี 20 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้ และให้ตรึงราคากลุ่มดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร ซึ่งแนวทางดังกล่าวไม่ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของ สหพันธ์ฯ

“ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. รถบรรทุกที่อยู่ในเครือสหพันธ์ จะหยุดวิ่ง 20% จากจำนวนรถบรรทุกของสมาชิกทั้งหมด 400,000 คัน หรือหยุดวิ่งประมาณ 70,000-80,000 คัน ซึ่งจะเป็นสินค้าอุปโภค บริโภค สินค้านำเข้า-ส่งออก และสินค้าอุตสาหกรรมก่อสร้าง อาทิ อิฐ และหิน รวมทั้งรถท่องเที่ยวด้วย

เบื้องต้นจะหยุดวิ่ง 7 วัน คาดว่าสร้างความเสียหายหลายพันล้านบาท เพื่อแสดงสัญลักษณ์ให้รัฐบาล และพี่น้องประชาชนรู้ว่าเราเดือดร้อนจริงๆ และหากรัฐบาลยังไม่สนใจที่จะเข้ามาช่วยเหลือ วันที่ 16 พ.ย. จะยกระดับการเรียกร้อง ด้วยการระดมรถบรรทุกหลายพันคันจากทั่วประเทศ เคลื่อนเข้ามายังกรุงเทพฯ ในลักษณะของการล้อมเมือง และผ่าเมือง โดยจะนำรถทั้งหมดเข้ามาวิ่งบนถนนทั้ง บนทางด่วน บนพื้นราบ แบบต่อเนื่องพร้อมกัน ในช่วงระหว่างเวลา 10.00-15.00 น. โดยใช้ความเร็วไม่เกิน 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อแสดงสัญลักษณ์ใหญ่ให้รัฐบาลเห็น หากไม่สนใจแก้ปัญหาให้จะหยุดวิ่งต่อเนื่อง อาจเพิ่มเป็น 15 วัน หรือ 1 เดือนตามความเหมาะสม

โดยการหยุดวิ่งจะแจ้งหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทราบล่วงหน้าภายใน 2 สัปดาห์ หรือหลังวันที่ 31 ต.ค. อาทิ สภาผู้ส่งออกขนส่งสินค้าทางเรือ (สรท.) สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ (ส.อ.ท.) เพื่อให้ทราบถึงความจำเป็นของการจัดกิจกรรมต่อไป” นายอภิชาติกล่าว

นายอภิชาติกล่าวต่อว่า การนำรถออกมาวิ่งในเขตกรุงเทพฯ นั้น เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้ทาง สหพันธ์ฯจะมีรถติดป้ายข้อเรียกร้องวิ่งนำขบวนให้เห็นชัดเจน รวมทั้งประสานให้วิ่งเฉพาะช่องทางซ้ายเท่านั้น เพื่อบรรเทาภาระปัญหาการจราจรติดขัด นอกจากนี้ ทางสหพันธ์ฯ เตรียมจัดกิจกรรมแสดงออกเชิงสัญลักษณ์พลังของคนรถบรรทุก (ทรัก เพาเวอร์) ซีซั่น 2 โดยคาดว่าจะมีจำนวนรถมากกว่า 1,000 คัน ทั้งในภาคขนส่ง อาทิ รถบรรทุก รถเช่าเหมาหรือรถท่องเที่ยว และรถยนต์ส่วนบุคคลของภาคประชาชนด้วย คาดว่าจะจัดกิจกรรมภายในเดือนพ.ย.นี้

ซึ่งจะกำหนดวันที่ชัดเจนอีกครั้งในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพ.ย. โดยรูปแบบกิจกรรม อาทิ วิ่งล้อมเมือง และผ่าเมือง หรือวิ่งตามเส้นทาง หรือจอดรถรวมกลุ่มไว้ในสถานที่แห่งใด โดยยืนยันว่าการจัดกิจกรรมเป็นไปตามกฎหมาย ยึดมาตรการสาธารณสุขป้องกันโควิด-19 เพื่อลดผลกระทบผู้ใช้ทางมากที่สุด และไม่มีการปิดถนนแน่นอน เพราะทำให้ประชาชนเดือดร้อน

ทั้งนี้ จะยื่นหนังสือไปยังกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง เพื่อขอให้เข้ามาแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการขนส่งที่ประสบปัญหาจากราคาน้ำมันแพงด้วย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลให้ความช่วยเหลือ เฉพาะเกษตรกรชาวสวนปาล์มซึ่งเป็นฐานคะแนนเสียทางการเมือง ด้วยการพยุงราคาปาล์มสด โดยนำน้ำมันปาล์มเข้ามาผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่จำเป็นในภาวะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกแพง

โดยจะขอให้รัฐบาลยกเลิกการนำน้ำมันปาล์มมาผสมในน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วคราว รวมทั้งยื่นหนังสือถึงประธานกรรมาธิการพลังงาน สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ทราบถึงความเดือดร้อนของภาคประชาชน และผู้ประกอบการขนส่ง กรณีการตรึงราคาน้ำมันดีเซลหมุนเร็วที่ 30 บาทต่อลิตร ในวิกฤตต่างๆ ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมในทุกมิติ หลังเปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 1 พ.ย. รวมทั้งยื่นข้อเรียกร้องและ ข้อเสนอแนะต่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการพลังงานแห่งชาติ (กพช.) หรือเพื่อขอเข้าพบประชุมชี้แจง หรือในประเด็นต่างๆ ที่ประชาชน และผู้ประกอบการขนส่งได้รับความเดือดร้อนกรณีน้ำมันราคาแพง

“เรายืนยันว่า ขอให้ลดราคาน้ำมันดีเซลอยู่ที่ 25 บาทต่อลิตร สหพันธ์ฯ พร้อมถ้ารัฐบาลเรียกเข้าพบ เพื่อหารือทางออกดังกล่าวอยู่แล้ว ซึ่งอาจต่อรองปรับลดราคาน้ำมันดีเซลเหลือ 26-27 บาทต่อลิตรได้ตามความเหมาะสม หรือหามาตรการอื่นๆ ที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการภาคขนส่งและประชาชนที่บริโภคน้ำมันแพง แต่เมื่อรัฐบาลยังนิ่งเฉย แม้ว่าจะเลยระยะเวลาเส้นตาย 7 วัน หลังจากที่ยื่นข้อเสนอให้กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้สหพันธ์ต้องจัดการแถลงข่าว และยกระดับการต่อสู้ เพื่อกดดันรัฐบาลต่อไป” นายอภิชาติกล่าว

ด้านนายสมภพ พัฒนอริยางกูล โฆษกกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่ปรับตัวขึ้นในวันที่ 28 ต.ค. นั้นเป็นการปรับขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลก โดยกระทรวงพลังงานยังมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้องจับตาผลการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร (โอเปกพลัส) ในวันที่ 4 พ.ย.นี้ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ท่ามกลางความต้องการใช้น้ำมันมีปริมาณที่สูงขึ้น จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่อนคลาย หลายประเทศทยอยเปิดประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ประกอบกับการเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ประเมินว่าทิศทางราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะยังคงตรึงตัวอยู่ในระดับสูงอีกสักระยะหนึ่ง

“เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบ ปิดที่ระดับ 83.40 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนอยู่ที่ลิตรละ 2 บาท หากกองทุนไม่เข้ามาอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลจะขึ้นไปอยู่ที่ลิตรละ 31-32 บาท และหากเทียบตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. ราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบอยู่ที่ 75.6 เหรียญต่อบาร์เรล สะท้อนราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเพิ่มขึ้นเกือบ 8 เหรียญต่อบาร์เรล แต่กระทรวงพลังงานยังคงยืนยันการดำเนินมาตรการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างตามมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) แต่หากมีปัจจัยเปลี่ยนแปลง กบง.ก็พร้อมจะพิจารณาดำเนินมาตรการต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป” นายสมภพกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน