หอการค้าชี้สงครามลามไทยส.สุกรสุดอั้นกิโลละ2-3บาทสภาอุตฯเบรกรัฐปรับค่าไฟฟ้า

น้ำมันปรับขึ้นอีกวันนี้ ส่วนหมูขอขยับอีกโลละ 2 บาท หอการค้าเตือน สงครามยืดเยื้อจะทำน้ำมันพุ่งถึง 7.50 บาทต่อลิตร สภาอุตฯ เบรกรัฐบาลขึ้นค่าไฟฟ้า แนะคงค่าเอฟทีไว้ก่อน อย่าเพิ่งซ้ำเติมผู้ประกอบการ ศาลไอซีซีเปิดสอบคดีอาชญากรสงคราม 141 ชาติร่วมประณามรัสเซีย ชาวบ้านยูเครนดับกว่า 2 พัน

ทัพ‘ปูติน’รุกหนัก
วันที่ 3 มี.ค. เอเอฟพีและบีบีซีรายงานสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศยูเครนซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 9 ว่า กองกำลังรัสเซียยังเดินหน้าโจมตีหลายเมืองทั่วยูเครน โดยเฉพาะกรุงเคียฟ เมืองหลวงของประเทศ มีการยิงถล่มและเกิดระเบิดต่อเนื่องในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา ส่งผลให้จำนวนประชาชนที่หลบภัยในสถานีรถไฟใต้ดินเพิ่มมากถึง 15,000 คน

นายวิกเตอร์ บราฮินสกี เจ้าหน้าที่รัฐบาลท้องถิ่นกรุงเคียฟ เปิดเผยว่า ระบบรถไฟใต้ดินสามารถรองรับผู้คนได้สูงสุด 100,000 คน มีพร้อมทั้งอาหาร น้ำดื่ม ห้องสุขา และยารักษาโรค อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนผู้หลบภัยที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทางการร้องขอให้ประชาชนที่ต้องการหลบในระบบรถไฟใต้ดินนำเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่อบอุ่นและอาหารมาด้วยเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะ ผู้หญิงที่มีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ

ในเมืองคาร์คีฟ ทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีโรงเรียนอย่างน้อย 3 แห่งถูกโจมตีทางอากาศ แม้สถานศึกษาจะปิดการเรียนการสอนตั้งแต่รัสเซียประกาศรุกรานเมื่อวันที่ 24 ก.พ. แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการถล่มโรงเรียนทั้งสามแห่งหรือไม่ นอกจากนี้อาสนวิหารอัสสัมชัญเมืองคาร์คีฟได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแรงระเบิดของจรวด เช่นเดียวกับอพาร์ตเมนต์และร้านค้าหลายแห่งในย่านชุมชน

ด้านนายกเทศมนตรีเมืองแคร์ซอน ทางตอนใต้ แถลงว่ากองกำลังรัสเซียบุกเข้าเมืองแล้ว แต่กองทัพยูเครนยังยืนหยัดต่อสู้อย่างหนักหน่วง แม้ก่อนหน้านี้กระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศว่าสามารถยึดเมืองแคร์ซอน รวมถึงสถานีรถไฟ และท่าเรือในเมืองได้แล้วก็ตาม ในเมืองเชียร์นีฮิฟ ทางตอนเหนือ มีรายงานว่าขีปนาวุธร่อนหรือครูซมิสไซล์ของกองกำลังรัสเซียยิงใส่โรงพยาบาล 2 แห่ง ท่ามกลางความวิตกว่าจะมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก

ชาวบ้านยูเครนดับกว่า 2 พัน
ขณะเดียวกันหน่วยบริการเหตุฉุกเฉินยูเครนเปิดเผยว่า มีพลเรือนเสียชีวิตจากการรุกรานของรัสเซียมากกว่า 2,000 ราย ราว 1,684 คนได้รับบาดเจ็บ สำหรับชาวต่างชาติที่เสียชีวิตมีอย่างน้อย 20 ราย เป็นชาวกรีก 12 ราย อาเซอร์ไบจาน 4 ราย อิรัก แอลจีเรีย อิสราเอล และอินเดียประเทศละ 1 ราย นายฟิลิปโป แกรนดี ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) ระบุว่าในช่วง 7 วันที่ผ่านมามีผู้ลี้ภัยชาวยูเครนมากกว่า 1 ล้านคนอพยพหนีตายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน และอีกหลายล้านคนพลัดถิ่นไปยังเมืองอื่นๆ ในประเทศที่ยังไม่ถูกกองกำลังรัสเซียโจมตี “นี่คือเวลาที่เสียงปืนต้องเงียบได้แล้ว เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเข้าถึงได้” นายแกรนดีกล่าวเรียกร้อง

ในส่วนของความสูญเสียทางกำลังทหาร ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ระบุว่าทหารรัสเซียถูกสังหารมากกว่า 9,000 นาย และราว 200 นายถูกจับกุม พร้อมเรียกร้องให้กองกำลังรัสเซียเร่งถอยทัพ มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่เลวร้ายเพราะยูเครนจะต่อสู้อย่างสุดกำลัง ด้านทางการรัสเซียยอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีทหารเสียชีวิต 498 นาย ขณะที่ทหารยูเครนถูกสังหารอย่างน้อย 2,870 ราย กว่า 3,700 นายได้รับบาดเจ็บ และ 572 นายถูกจับกุม

141 ชาติร่วมประณามรัสเซีย
วันเดียวกันมีความคืบหน้าการประชุมวาระพิเศษเร่งด่วนครั้งที่ 11 เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2565 ของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) ตามคำร้องของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ว่าด้วยกรณีรัสเซียรุกรานยูเครน ปรากฏว่า 141 ประเทศสมาชิก รวมถึงประเทศไทย จากทั้งหมด 193 ประเทศ ลงมติร่วมประณามรัฐบาลรัสเซีย พร้อมเรียกร้องให้ยุติการโจมตี และถอนกองกำลังออกจากยูเครน โดยประเทศที่ออกเสียงไม่เห็นชอบมี 5 ประเทศ ได้แก่ รัสเซีย เบลารุส เอริเทรีย เกาหลีเหนือ และซีเรีย ส่วน 35 ประเทศงดออกเสียงมีจีน อินเดีย สปป.ลาว และเวียดนามรวมอยู่ด้วย

แม้มติของสมัชชาใหญ่แห่งสมัชชาจะไม่มีข้อผูกมัด แต่มีน้ำหนักทางการเมือง และมติดังกล่าวบ่งชี้ถึงชัยชนะโดยสัญลักษณ์ที่สำคัญต่อยูเครน รวมถึงการขยายการโดดเดี่ยวของรัสเซียในระดับนานาชาติ แม้แต่เซอร์เบีย พันธมิตรดั้งเดิมของรัสเซีย ยังลงมติต่อต้าน

หนีสงคราม – แรงงานไทยในยูเครนอีก 40 คน หนีภัยสงครามเดินทาง กลับถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน อำนวยความสะดวกและมอบเงินช่วยเหลือเบื้องต้น เมื่อวันที่ 3 มี.ค.

ศาลไอซีซีเปิดสอบคดีสงคราม
นายคาริม ข่าน หัวหน้าอัยการประจำศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) ในกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ กล่าวว่าจะดำเนินการสอบสวนเชิงรุกเกี่ยวกับอาชญากรรมสงครามที่อาจเกิดขึ้นในยูเครนในทันที หลังได้รับการสนับสนุนให้เปิดสอบสวนกรณีดังกล่าวจาก 39 ประเทศรัฐภาคี รวมถึงออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และอีกหลายประเทศในภูมิภาคอเมริกาใต้

นายข่านกล่าวว่า ได้แจ้งต่อประธานศาลอาญาระหว่างประเทศเมื่อวันพุธที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ถึงการตัดสินใจของตนที่จะดำเนินการสอบสวนสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งการประเมินในเบื้องต้นทำให้เชื่อว่ามีการก่ออาชญากรรมสงครามภายในเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ และการรวบรวมหลักฐานต่อความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมสงครามของรัสเซียในยูเครนได้เริ่มขึ้นแล้ว

ด้านนายโดมินิก ราบ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของอังกฤษ แถลงว่าอังกฤษพยายามรวบรวมชาติพันธมิตร รวมถึงสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ทั้ง 27 ประเทศ เพื่อรายงานพฤติกรรมของรัฐบาลรัสเซียภายใต้ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ต่อศาล ในฐานะสมาชิกร่วมก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ อังกฤษยินดีให้ความช่วยเหลือเพื่อสนับสนุนการตัดสินโทษ ผู้นำหรือเจ้าหน้าที่ของรัสเซียคนใดที่สั่งการให้ก่ออาชญากรรมสงคราม ควรรู้ว่าต้องเผชิญหน้ากันที่ศาลและท้ายที่สุดต้องติดคุก

นั่นหมายความว่าบุคคลที่ศาลอาญาระหว่างประเทศตั้งข้อหาจะถูกควบคุมตัวในประเทศที่ยอมรับเขตอำนาจศาลของตน ซึ่งอาจจำกัดให้ประธานาธิบดีปูตินและเจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับสูงของรัสเซียต้องอยู่เฉพาะในประเทศตนเองไปตลอดชีวิต

หอการค้าชี้-ระยะสั้นน้ำมันพุ่ง
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลยังคงช่วยเหลือคนไทยอพยพออกจากยูเครนเพิ่มเติม ได้แก่ คนไทย 43 คนได้เดินทางจากศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือคนไทยในยูเครน เมือง ลวิฟ เข้าสู่ประเทศโปแลนด์และเข้าพักในโรงแรมที่กรุงวอร์ซอเพื่อเตรียมเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 4 มี.ค. พร้อมกันนี้ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ได้ช่วยเหลือให้คนไทยที่อพยพออกจากประเทศยูเครน 16 คน เพื่อเตรียมเดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 4 มี.ค.ต่อไป โดยคนไทยในยูเครนทั้งหมด 256 คน ได้อพยพคนไทยออกมาแล้ว 203 คน ซึ่งมีคนไทย 31 คนที่แสดงความประสงค์จะอยู่ต่อโดยเฉพาะคนไทยที่มีครอบครัวในยูเครน ฯลฯ ส่วนผู้ที่ยังติดค้าง สถานเอกอัครราชทูตฯ ยังคงดำเนินการเตรียมพร้อมให้ความช่วยเหลือทุกคนอย่างต่อเนื่อง และชาวไทยทุกคนปลอดภัย

วันเดียวกัน นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยกล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนที่มีแนวโน้มยืดเยื้อว่า ผู้ประกอบการไทยควรระมัดระวังเรื่องการชำระเงิน และรับคำสั่งซื้อ ซึ่งอาจเกิดความล่าช้าในการชำระเงินมากกว่าปกติ รวมถึงอาจพิจารณาไปใช้ช่องทางอื่นในการรับชำระเงิน แต่คาดว่าผู้ประกอบการไทยอาจจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงมากนัก เนื่องจากมีปริมาณการค้าต่อกันไม่มาก โดยผู้ประกอบการไทยที่จะได้รับผลกระทบจากเหตุ ได้แก่ กลุ่ม ผู้ผลิตอาหารสัตว์ อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมยางรถยนต์ อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูป กลุ่ม SME โดยเฉพาะเครื่องสำอางและอัญมณี ที่รัสเซียเป็นลูกค้ารายใหญ่และตลาดกำลังเติบโต รวมทั้งกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและการบริการ ซึ่งในปัจจุบันนักท่องเที่ยวจากรัสเซียเป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ของไทย

“หอการค้าไทยคาดว่าสถานการณ์ยืดเยื้อแน่นอน ในระยะสั้นกระทบทางตรงไม่มากนัก แต่ผลทางอ้อมจะสำคัญต่อประเทศไทยเพราะราคาน้ำมันวันนี้ทะลุ 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเมื่อวานอยู่ที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลต้นๆ ซึ่งมีโอกาสจะทะลุ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในประเทศไทย ประมาณ 5.0-7.5 บาทต่อลิตร นอกจากนั้น ยังคงต้องติดตามภาวะเงินเฟ้อและการส่งออกอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปีนี้ ทั้งนี้ ภาครัฐควรรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้อยู่ในระดับ 32.5-33.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐด้วย

ปั๊มไทยปรับขึ้นราคาแล้ว
รายงานข่าวแจ้งว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นเกินระดับ 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล มานานกว่าสัปดาห์แล้ว หลังนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตลาดจะยังคงขาดแคลนอุปทานเป็นเวลาหลายเดือนจากการคว่ำ บาตรมอสโกและการถอนการลงทุนของหลายบริษัทในรัสเซีย ขณะที่ตะวันตกตอบโต้การรุกรานของรัสเซีย โดยราคาน้ำมันดิบปิดตลาด ณ วันที่ 2 มี.ค. 2565 ตลาดเวสต์เท็กซัส ปิดที่ 110.60 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตลาดเบรนท์ ปิดที่ 112.93 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และตลาดดูไบปิดที่ 110.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูปประเทศสิงคโปร์ เบนซินออกเทน 95 ปิดตลาด 125.71 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันก๊าดและอากาศยาน ปิดที่ 121.06 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ดีเซลหมุนเร็ว ปิดที่ 129.11 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ส่งผลให้ผู้ค้าน้ำมันในประเทศทยอยปรับขึ้นราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด PTT Station และบางจาก ประกาศปรับราคาขายปลีกน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดขึ้น 60 สตางค์/ลิตร ส่วนกลุ่มดีเซล ทุกชนิดปรับขึ้น 20 บาท/ลิตร มีผล 4 มี.ค.65 เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป โดยราคาขายปลีกเบนซินอยู่ที่ 44.56 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 37.15 บาท/ลิตร E20 อยู่ที่ 36.04 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 36.88 บาท/ลิตร E85 อยู่ที่29.34 บาท/ลิตร ดีเซล B 7 อยู่ที่ 29.94 บาท/ลิตร ดีเซล B10 อยู่ที่ 29.94 บาท/ลิตร ดีเซล B20 อยู่ที่ 29.94 บาท/ลิตร และดีเซลพรีเมี่ยม B7 อยู่ที่ 35.96 บาท/ลิตร ซึ่งราคาขายปลีกข้างต้นยังไม่รวมภาษีบำรุงกรุงเทพมหานคร

ขณะที่ ราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่สถานีบริการน้ำมัน (ปั๊ม) เอกชนรายอื่นกำหนดราคาขายหน้าปั๊มสูงกว่าราคาแนะนำที่ปั๊มพีทีที สเตชั่น และบางจากประกาศไว้ โดยเฉพาะราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ตามนโยบายของรัฐบาล

หมูขึ้นโล 2 บาท-ผักก็แพง
สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติแจ้งว่าเมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2565 ได้ประกาศปรับขึ้นราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มประจำวันพระล่าสุด สำหรับพื้นที่การเลี้ยงในภาคตะวันตก 2 บาท/ก.ก. จาก 84 บาท/ก.ก. เป็น 86 บาท/ก.ก. ส่งผลให้ราคาขายส่งห้างค้าปลีกปรับเพิ่มขึ้นจาก 134 บาท/ก.ก. เป็น 137 บาท/ก.ก. หรือปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท/ก.ก. ส่วนราคาขายปลีกทั่วไป ปรับขึ้นจาก 166-168 บาท/ก.ก. เป็น 170-172 บาท/ก.ก. หรือปรับเพิ่มขึ้น 4 บาท/ก.ก. เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าพื้นที่อื่นๆ

ส่วนพื้นที่ภาคตะวันออก อีสาน เหนือ ใต้ ราคาสุกรมีชีวิตหน้าฟาร์มยังทรงตัวเท่าเดิมคือ อยู่ที่ 86 บาท/ก.ก. 88 บาท/ก.ก. 87 บาท/ก.ก. และ 88 บาท/ก.ก. ตามลำดับ

“ปัจจัยการผลิตปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ทำให้คาดว่าแนวโน้มในวันพระต่อไปผู้เลี้ยงจะสามารถเพิ่มมาร์จิ้นในระดับที่พออยู่ได้ เพราะต้นทุนการผลิตกับราคาตลาดในปัจจุบันยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเข้ามาช่วยฟื้นฟูรายย่อยที่จะกลับมาเลี้ยงใหม่”

รายงานจากตลาดผักที่ตลาดทรัพย์สินพลาซ่า เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ว่า ราคาผักหลายชนิดเริ่มปรับราคาสูงขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากแหล่งปลูกผักในภาคกลาง หลายจังหวัดฝนทิ้งช่วง ส่งผลกระทบให้ปริมาณผักที่ส่งให้ลูกค้าต่างจังหวัดเริ่มลดน้อยลง อีกทั้งราคาน้ำมันแพงต้องบวกค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ผักที่ปรับราคาขึ้นแล้ว ผักกาดหอม จากก.ก.ละ 60 บาท ขึ้นเป็น 100 บาท ผักคะน้า จากก.ก.ละ 35 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท ผักขึ้นฉ่าย จากก.ก.ละ 60 บาท ขึ้นเป็น 130 บาท ผักชีก.ก.ละ 140 บาท ขึ้นเป็น 200 บาท ต้นหอมก.ก.ละ 60 บาท ขึ้นเป็น 100 บาท ผักบุ้งจีนก.ก.ละ 30 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท และมะนาวก.ก.ละ 80 บาท ขึ้นเป็น 110 บาท

โพลชี้ขึ้นค่าไฟตื้บซ้ำศก.
วันเดียวกัน นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจโพล ส.อ.ท. ครั้งที่ 15 ในเดือนมี.ค.2565 ภายใต้หัวข้อ “ปรับขึ้นค่าไฟ-ก๊าซ กระทบเศรษฐกิจแค่ไหน” ว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่ากรณีภาครัฐจะมีการพิจารณาปรับอัตราค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซขึ้นต่อเนื่องนั้น จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และยังเป็นการซ้ำเติมปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการที่ต้องแบกรับภาระต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้ จนทำให้ผู้ประกอบการมีความจำเป็นต้องปรับราคาสินค้าขึ้นตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชน

โดยจากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่าผู้บริหาร 56.7% เห็นว่าการปรับค่าไฟฟ้าและราคาก๊าซขึ้นต่อเนื่อง จะกระทบต่อเศรษฐกิจมาก อีก 34.7% มองว่ากระทบปานกลาง และ 8.6% มองว่ากระทบน้อย

สอท.แนะรัฐคงค่า‘เอฟที’
ผู้บริหาร ส.อ.ท. 80.7% เสนอขอให้ภาครัฐพิจารณาคงอัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ในรอบเดือนพ.ค.-ส.ค.2565 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ผู้บริหาร 59.3% เสนอให้ใช้มาตรการความร่วมมือลดการใช้ไฟฟ้า โดยคืนผลประหยัดไฟฟ้าที่ลดได้

ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้า ผู้บริหาร 53.3% เสนอให้รัฐตรึงราคาขายปลีกก๊าซชั่วคราว และ 52.7% เสนอให้มีมาตรการช่วยเหลือ เฉพาะกลุ่มในส่วนของผู้มีรายได้น้อย และ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เช่น ส่วนลดค่าไฟฟ้า, คูปองส่วนลดราคาก๊าซ

ผู้บริหาร 38.7% ระบุว่าค่าไฟฟ้าและพลังงานคิดเป็นสัดส่วน 10-20% ของต้นทุนการผลิต อีก 25.3% ระบุมีสัดส่วนน้อยกว่า 10% ส่วน 20.7% ระบุมีสัดส่วน 20-30% และ 15.3% ระบุว่ามีสัดส่วนมากกว่า 30% ดังนั้น ผู้บริหาร 87.3% จึงมองว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญเรื่องปัญหาราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นทุนพลังงานที่อยู่ระดับสูง ส่วน 82% เห็นว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญเรื่องภาระค่าครองชีพของประชาชน อีก 51.3% เห็นว่าภาครัฐควรให้ความสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น และ 41.3% เห็นว่ารัฐควรให้ความสำคัญต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวหรือหยุดชะงัก

นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้บริหาร 77.3% ระบุว่า ปี 2565 แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมจะมีการใช้ไฟฟ้าและพลังงานเพิ่มขึ้นจากปี 2564 อีก 20.7% เห็นว่าการใช้ไฟฟ้าและพลังงานทรงตัว 20.7% และ 2% เห็นว่าการใช้ไฟฟ้าและพลังงานปีนี้ลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร ส.อ.ท.ยังได้แนะให้ภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อประหยัดพลังงาน และหันมาผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนใช้เองภายในโรงงานอุตสาหกรรมด้วย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน