ลั่นพร้อมเข้าคุกอัยการเลื่อนฟ้องรอ‘อธิบดีภาค’ชี้เต้-อัจฉริยะ-แม่แถลง‘ฆาตกรรม’

‘กระติก’ รายงานตัวอัยการ ท้าหากมีพยาน หลักฐานจริงทั้งคลิปหรือ ภาพแตงโมถูกฆ่า ถูกเอามีดกรีดขา ก็นำมาเปิดเผยได้เลย หากผิดจริงก็พร้อมถูกจับส่งเข้าคุก ชี้อยู่เหนือความคาดหมายที่คุณแม่ส่ง มือถือพร้อมรหัสให้บังแจ๊ค แต่ก็ถือว่าความจริงได้เปิดเผยออกมาแล้ว ด้านอัยการจังหวัดนนท์เลื่อนสั่งฟ้อง 6 ผู้ต้องหาคดีแตงโม เผยยังมีสำนวนที่อัยการภาค 1 ต้องพิจารณาอีก 18 แฟ้ม พร้อมความเห็นอีก 100 กว่าหน้า ‘เต้-อัจฉริยะ’ แถลงใหญ่จัดทีมทนายประกบแม่ดาราสาว วอนสื่อช่วยคุ้ยความจริงมาเบิกเงินที่แม่ได้เลย เชื่อโยงฆาตกรรมอำพราง แต่ส่งซิกห้ามตอบถูกซักเรื่องส่งมือถือให้บังแจ๊ค ขณะที่คุณแม่กลับมาเชื่อว่าลูกสาวถูกฆาตกรรม

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 27 พ.ค. ที่สำนักอัยการนนทบุรี นัด 6 ผู้ต้องหาคดีการเสียชีวิตของแตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์ ดาราสาว ชื่อดัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพรศักดิ์ วิภาสอาภานนท์ ทนายความของแซน นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หนึ่งในผู้ต้องหา ได้เดินทางมาเพื่อติดตามคำสั่งอัยการนนทบุรี ก่อนเวลา นัดหมาย ว่าจะมีการส่งฟ้องหรือไม่

นายพรศักดิ์กล่าวว่า ตนคาดว่าอัยการจังหวัดนนทบุรีน่าจะมีการพิจารณาคำสั่งฟ้อง ซึ่งตนมาทราบคำสั่งของอัยการก่อนเวลา นัดหมาย เพื่อเตรียมดำเนินตามขั้นตอน ถ้าอัยการมีความคำสั่งฟ้อง ผู้ต้องหาทุกคนต้องไปที่ศาล สำหรับข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายที่เป็นข้อหาหลัก จะมีหลักประกันอยู่ที่ 120,000 บาทต่อคนเฉพาะข้อหาเดียว ยังยืนยันคำให้การเดิม ตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวน “วันนี้คุณแซนไม่ได้กังวลอะไร เรื่องคดีความเป็นไปตามกฎหมาย”

นายพรศักดิ์กล่าวถึงประเด็นที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ให้สัมภาษณ์หลังได้รับการติดต่อจากนางภนิดา ศิระยุทธโยธิน ให้เข้ามาทำคดีการเสียชีวิตของดารานักแสดงสาวแตงโม-นิดา ต่อจากทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ว่า ทีมกฎหมายของพรรคไทยศรีวิไลย์เตรียมยื่นจ่อฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจากกลุ่มผู้ต้องหาในคดีทั้ง 6 คน เป็นเงินจำนวน 200 ล้านบาทว่า เป็นสิทธิ์ของทางฝ่ายผู้เสียหายที่จะดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเท่าไรก็ได้ แต่ต้องยื่นพิสูจน์ในชั้นศาลให้ได้ว่าเกิดความเสียหายจริงตามที่เรียกร้องมา ซึ่งศาลก็จะเป็นผู้นำมาพิจารณาต่อไป

ครบก๊วน – ‘กระติก’,‘แซน’,‘ปอ’(ภาพเล็กบน), ‘โรเบิร์ต’(กลาง) และ ‘จ๊อบ‘ 5 ผู้ต้องหาคดีแตงโมเข้าพบอัยการ ก่อนอัยการเลื่อนฟังคำสั่งฟ้อง ออกไปอีก 1 เดือน ที่สำนักงานอัยการจ.นนทบุรี เมื่อ 27 พ.ค.

ที่สำนักอัยการนนทบุรี น.ส.สุภาภรณ์ นิปวณิชย์ พนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี ผู้รับผิดชอบคดีการเสียชีวิตของแตงโม กล่าวว่า เวลา 13.00 น.ได้นัดผู้ต้องหาทั้ง 6 คนมารายงานตัว เพื่อรับฟังคำสั่งทางคดี โดยตนในฐานะพนักงานอัยการได้มีคำสั่งแล้ว ภายหลังตนมีคำสั่งก็ได้ส่งสำนวนไปให้อธิบดีอัยการภาค 1 ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค. ตอนนี้ต้องรอความเห็นจากอธิบดีอัยการภาค 1 ว่าจะมีคำสั่งฟ้องหรือไม่ หรือว่าจะมีเหตุทำให้ต้องเลื่อนนัดฟังคำสั่งในครั้งต่อไป เช่น ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม หรืออาจยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ เพราะสำนวนมีจำนวนมาก โดยหากต้องเลื่อนก็จะแจ้งกับผู้ต้องหาและนัดหมายมาฟังคำสั่งในครั้งถัดไป

น.ส.สุภาภรณ์ได้ปฏิเสธกระแสข่าวที่ระบุว่าตนเดินทางไปสำนักงานอัยการสูงสุดเพื่อนำสำนวนไปให้อัยการสูงสุดพิจารณานั้น ไม่เป็นความจริง โดยกระบวนการตอนนี้สำนวนยังไปไม่ถึงขั้นของอัยการสูงสุด แต่ตนเพียงแค่ส่งไปรายงานอธิบดีอัยการภาค 1 เท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายไพบูลย์ ตรีกาญจนนันท์ หรือ โรเบิร์ต เดินทางมาฟังคำสั่งของอัยการเป็นคนแรก โดยเซ็นชื่อรายงานตัวและเซ็นรับทราบคำสั่งเลื่อนสั่งฟ้อง จากนั้นไม่ถึง 2 นาทีก็เดินออกมาจากสำนักงานอัยการ รีบขึ้นรถกลับทันที โดยไม่ได้ตอบคำถามใดกับสื่อมวลชน

จากนั้น น.ส.อิจศรินทร์ จุฑาสุขสวัสดิ์ หรือ กระติก, นายวิศาพัช มโนมัยรัตน์ หรือ แซน มารถคันเดียวกัน ส่วนนายนิทัศน์ กีรติสุทธิสาธร หรือ จ๊อบ และนายตนุภัทร เลิศทวีวิทย์ หรือ ปอ เดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวคนละคัน หลังจากเข้าไปเซ็นชื่อรายงานตัวและเซ็นรับทราบคำสั่งเลื่อนสั่งฟ้อง รีบเดินออกมาขึ้นรถทันที โดยไม่ได้ตอบคำถามใดกับสื่อมวลชน

ต่อมาเวลา 14.00 น. น.ส.สุภาภรณ์ได้เปิดเผยถึงกรณีที่อัยการเลื่อนสั่งฟ้องผู้ต้องหาทุกคน โดยวันนี้ผู้ต้องหาทั้ง 6 คนมารายงานตัว และเซ็นรับทราบนัดฟังคำสั่งครั้งต่อไป โดยอัยการได้เลื่อนนัดฟังคำสั่ง เพราะขณะนี้สำนวนคดียังอยู่ที่ผู้บังคับบัญชาสำนักงานอัยการภาค 1 และอยู่ระหว่างการพิจารณาของอธิบดีอัยการภาค 1 ขณะนี้อัยการจังหวัดนนทบุรีมีคำสั่งเสร็จแล้ว แต่ตามระเบียบจะต้องส่งสำนวนพร้อมกับความเห็นให้อธิบดีอัยการภาค 1 ซึ่งได้ส่งไปเมื่อวันที่ 25 พ.ค. โดยสำนวนที่ส่งไปมีทั้งหมด 18 แฟ้ม พร้อมกับความเห็นอีก 100 กว่าหน้า ดังนั้น การพิจารณาจึงต้องใช้ระยะเวลา และจะมีการแจ้งวันนัดหมายอีกครั้ง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การเลื่อนสั่งฟ้อง 6 ผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับที่นายอัจฉริยะไปยื่นร้องขอความเป็นธรรม ที่สำนักงานอัยการสูงสุดหรือไม่ น.ส.สุภาภรณ์กล่าวว่า การเลื่อนฟังคำสั่งครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับกรณีที่มีบุคคลภายนอกไปร้องขอความเป็นธรรม เพราะคดีนี้มีการร้องขอความเป็นธรรมกันหลายกรณีอยู่แล้ว แต่การเลื่อนครั้งนี้เป็นเพราะระยะเวลาที่ส่งสำนวนและความเห็นไปเมื่อ 2 วันที่แล้ว และสำนวนที่ส่งไปเป็นของพนักงานสอบสวนที่ส่งมา 8 แฟ้ม และที่อัยการสอบเพิ่มอีก 10 แฟ้ม รวมเป็น 18 แฟ้ม จึงต้องใช้ระยะเวลา รวมถึงรายละเอียดคำสั่งทางโฆษกสำนักงานอัยการจะแถลงอีกครั้ง ส่วนการพิจารณาฟังคำสั่งอีกครั้งจะเป็นช่วงไหนอย่างไรนั้น ตามกรอบระยะเวลาก็จะต้องขึ้นอยู่กับผู้บังคับบัญชา

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.มนตรี ยิ้มแย้ม ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริง เรียกประชุมคณะกรรมการตรวจสอบกรณีที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลืออาชญากรรม ร้องเรียนให้ดำเนินการตรวจสอบตำรวจภูธรภาค 1 จำนวน 4 นาย ในคดีการเสียชีวิตของน.ส.นิดา หรือแตงโม เนื่องจากนายอัจฉริยะเห็นว่าไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ตลอดจนนำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จเข้าสู่สำนวนการสอบสวน

พล.ต.อ.มนตรีกล่าวว่า คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้สอบปากคำตำรวจที่ถูกกล่าวหาไปแล้ว 1 นาย คือ ผู้กำกับการ สภ.เมืองนนทบุรี ส่วนอีก 3 นายแจ้งว่าอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อหักล้างในประเด็นที่นายอัจฉริยะกล่าวหา โดยเบื้องต้นคณะกรรมการจะเร่งสอบให้ครบทั้ง 4 นายภายในสัปดาห์นี้ รวมถึงอาจมีการเชิญนายอัจฉริยะมาให้ปากคำ หรือส่งเอกสารหลักฐานเพิ่ม และจะสรุปผลการตรวจสอบและมีมติส่งให้พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. พิจารณาภายในกรอบระยะเวลา 30 วัน นับจากมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยหากพบว่ามีตำรวจนายใดไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย หรือมีข้อบกพร่องก็จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกชั้น ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการพิจารณาบทลงโทษ

พล.ต.อ.มนตรียังยืนยันว่า การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจเป็นคนละส่วนกับคดีการเสียชีวิต ทางคณะกรรมการจะไม่เข้าไปก้าวล่วงในส่วนของสำนวนคดี พิจารณา เพียงขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ และถึงแม้อัยการจังหวัดนนทบุรีจะมีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหา 6 คนหรือไม่ ก็ไม่ได้มีผลต่อการสอบสวนข้อเท็จจริง พร้อมทั้งขอเวลาอย่าเพิ่งตัดสินว่าใครผิดใครถูก

หลังจากน.ส.อิจศรินทร์ หรือกระติก และนายวิศาพัช หรือ แซน เดินทางมาด้วยรถคันเดียวกัน เพื่อเซ็นรายงานตัวและเซ็นรับทราบนัดฟังคำสั่งอัยการครั้งต่อไป ได้เดินออกมาให้สัมภาษณ์

กระติกกล่าวว่า ตนไม่ได้กังวลใจ ที่วันนี้พนักงานอัยการเลื่อนฟังคำสั่ง เพราะเท่าที่ทราบข้อมูลค่อนข้างเยอะ และต้องใช้เวลา ในการพิจารณา แต่เชื่อว่าครั้งหน้าน่าจะไม่เลื่อนนัดแล้ว ส่วนประเด็นที่ก่อนหน้านี้ คุณแม่แตงโมออกมาให้สัมภาษณ์ว่าตน เป็นคนเล่นโทรศัพท์ และเป็นคนโพสต์รูปภาพของแตงโม ตนยังไม่ได้เคลียร์ใจกับคุณแม่เรื่องนี้ และขอให้เป็นเรื่องตามกระบวนการตามกฎหมาย เพราะส่วนตัวได้เข้าไปแจ้งความไว้แล้วที่ บก.สอท. หลังจากนั้นขอให้เป็นหน้าที่ของทางตำรวจ ที่จะไปตรวจสอบและเรียกสอบพยานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจุดจบจะเป็นใครก็ต้องได้รับผลกรรมตรงนั้นไป

เมื่อถามว่ารู้สึกโกรธคุณแม่แตงโมหรือไม่ กระติกกล่าวว่า เป็นเรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมากกว่า เพราะตนไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กลับต้องมาโดนแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาในเรื่องเดิมๆ ก็ยอมรับว่ารู้สึกเหนื่อย แต่ไม่ได้โกรธอะไรคุณแม่ ซึ่งหลังจากนี้ให้กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์ตัวเราเองต่อไป ตนยังรู้สึกช็อกและตกใจมาก ที่มาทราบภายหลังว่าคุณแม่แตงโมเป็นคนส่งโทรศัพท์ พร้อมกับรหัสทุกอย่างให้กับบังแจ๊ค ตนคิดว่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าเปิดเผยแล้ว และดีใจที่อย่างน้อยก็ทำให้สังคมรู้ว่าเราไม่ได้เป็นคนทำ แต่ก็เหนือความคาดหมายมาก เพราะคุณแม่ให้สัมภาษณ์ว่าคุยกับบังแจ๊คจริงๆ แต่ตนก็ไม่รู้ว่าตอนคุยกันสภาพจิตใจเป็นอย่างไร ซึ่งก็อยากให้ทุกคนที่เสพข่าวใช้สติ ไม่อยากให้ตัดสิน

กระติกกล่าวอีกว่า ประเด็นภาพลับ 30 ภาพของแตงโมที่อยู่ในโทรศัพท์นั้น เรื่องนี้นอกเหนือกับคดีความไปแล้ว เพราะโทรศัพท์เป็นของส่วนตัวของแตงโม และตนก็ไม่ทราบว่าข้อมูลในเครื่องมีภาพหรือข้อมูลอะไรอยู่บ้าง จึงไม่สามารถตอบได้ แต่อยากให้ทุกคนให้ความสำคัญกับคดี ไม่ใช่ไปยุ่งเรื่องส่วนตัวของแตงโม และเราควรให้เกียรติผู้เสียชีวิต เพราะเราไม่รู้ว่าแตงโมจะไปคุยอะไรกับใคร และเราไม่ได้เห็นกับตา อยากให้ทุกคนวิเคราะห์กันดีๆ ว่า “เรามาทวงความยุติธรรมให้กับแตงโม หรือเราทำร้ายแตงโมกันแน่”

กระติกกล่าวต่อว่าที่ผ่านมาตนไม่ได้ให้ค่าอะไรกับบังแจ๊ค แม้ว่าจะถูกกล่าวหาว่ารับงาน ปล่อยข่าวว่ามีเงินโอนเข้ามา 3 แสนบาท ซึ่งอยากจะให้ทุกคนลองพิจารณาว่าควรจะเชื่อถือบังแจ๊คได้หรือไม่ เพราะขนาดโทรศัพท์ของแตงโมเธอยังไม่กล้าที่จะยุ่งหรือเปิดดูโทรศัพท์อะไรเลย ส่วนเรื่องทีมของ ส.ส.เต้ ในฐานะดูแลคดีความของคุณแม่จ่อฟ้องเรียกค่าสินไหม 200 ล้านบาทนั้น ตนคิดว่าเป็นสิทธิของคุณแม่ และไม่ขอก้าวล่วง ไม่ขอออกความคิดเห็นตรงนี้ แต่ก็อยากให้พิจารณากันดีๆ อย่างนายอัจฉริยะเองที่ออกมาเคลื่อนไหวหลายคดีอยู่ในพื้นที่แสงพื้นที่สื่อ แต่พอเรื่องเงียบไปก็ทิ้งทุกอย่างไว้ “โดยหากมีพยานหลักฐานจริงทั้งคลิปหรือภาพว่าแตงโม ถูกฆ่าถูกเอามีดกรีดขา ก็อยากให้นำมาเปิดเผยเลย เพราะหากผิดจริงก็จะได้ถูกจับเข้าคุก”

ด้าน แซน วิศาพัชกล่าวว่า ที่ผ่านมา บังแจ๊คเคยโทร.หาจริง แต่รับสายเพียง ครั้งเดียว พอรู้ว่าเป็นบังแจ๊คก็เลยตัดสายทิ้งทันที จึงไม่ทันได้พูดคุยอะไรกัน แต่เขาก็ ส่งข้อความมาถามเกี่ยวข้องกับนายอัจฉริยะ ตนก็ไม่ได้ตอบอะไร ส่วนตัวไม่ได้กังวลใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องบังแจ๊ค และมองว่าเป็นเรื่องตลกมากกว่า ส่วนที่นายอัจฉริยะที่ยังมองว่าคดีนี้เป็นคดีฆาตกรรมนั้น ตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมนายอัจฉริยะถึงคิดและสงสัยแบบนั้น ทั้งๆ ที่ความจริงแตงโมตกท้ายเรือจริงๆ สาเหตุที่ไม่ได้ไปร่วมงานเผาร่างแตงโม เพราะอยู่ในกลุ่มเสี่ยงและคิดว่าไม่ควรไป ร่วมงาน ทำให้คนอื่นเดือดร้อนดีกว่า

สะอื้น – นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน มารดา ‘แตงโม’ นิดา พัชรวีระพงษ์ ร่ำไห้แถลงเชื่อลูกสาวถูกฆาตกรรม โดยมอบหมายให้ส.ส.มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ และนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ เป็นผู้ดูแลคดี ที่สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 27 พ.ค.

เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ นางภนิดา ศิระยุทธโยธิน มารดา น.ส.ภัทรธิดา (นิดา) พัชรวีระพงษ์ หรือแตงโม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร่วมแถลงความคืบหน้าการดำเนินคดีการเสียชีวิตของ น.ส.นิดา

นายมงคลกิตติ์กล่าวว่า จากการที่นางภนิดาได้มาร้องขอให้ตนและชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมมาช่วยเหลือคดีการเสียชีวิตของน.ส.นิดา ซึ่งวันนี้ทางอัยการยังไม่ได้สั่งฟ้อง เลื่อนไป 12 วัน จึงยังพอมีเวลาที่เราจะดำเนินคดีต่อไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 (7) ทั้งคดีแพ่งและอาญา ตนขอชี้แจงว่าการดำเนินคดีครั้งต่อไปคนที่รับผิดชอบจะประกอบด้วย ตนในฐานะที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิ และนายอัจฉริยะ

ขณะที่นางภนิดาได้อ่านแถลงการณ์ว่า รู้สึกอึดอัดใจทุกประเด็นการเสียชีวิตของลูกสาว ลูกสาวตนถือเป็นอภิชาตบุตร และจริงๆ แล้วลูกสาวตนอยากทำงานด้านการเมือง ลึกๆ ตนเจ็บปวดชอกช้ำมาก ยังคิดถึงลูกอยู่ทุกวันและทุกเวลา ยังลืมไม่ได้ แต่ถึงเวลาแล้วที่ตนจะต้องทวงความยุติธรรมให้กับลูกสาวคนเดียวที่ตนมีและรักสุดหัวใจ ตนต้องการให้ลูกได้รับความเป็นธรรมตามกระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามความจริงอย่างถึงที่สุด ตนเข้าใจว่าลูกสาวอาจไม่ได้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แต่อาจจะเป็นการเสียชีวิตจากการฆาตกรรมอำพราง จึงตัดสินใจดำเนินคดีต่อศาลด้วยตนเอง

“คุณแม่รู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาว คุณแม่เสียเวลาไปแล้ว 3 เดือนเต็ม ตอนนี้คุณแม่ก็จะลุกขึ้นมาสู้ด้วยความถูกต้อง จะสู้เพื่อลูก จริงๆ ที่ผ่านมาก็สู้ แต่ไม่ได้บอกใคร คุณแม่มีหลักฐานเยอะแยะ เก็บหลักฐานเอง แต่ประชาชนคิดว่าไม่เห็นคุณแม่ทำอะไรเลย คุณแม่ไม่ออกมาช่วยลูกเลย คุณแม่อยากทราบว่าต้องออกมาประกาศด้วยหรือ ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยลูก คุณแม่คงไม่ผอมแบบนี้ แม่น้ำหนักลดไป 7 ก.ก. เพราะว่าไม่ได้หลับได้นอน ที่สำคัญคือสื่อมวลชนโทร.หาคุณแม่บ่อยถึง 20 สายแบบเข้าคิวมา แต่แม่รับทุกสาย ไม่เคยปฏิเสธ ไม่ได้ทานข้าว ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น ขอข้อมูลอะไรแม่ไม่เคยปฏิเสธ เพราะเข้าใจ คุณแม่ก็เคยเป็นสื่อเหมือนกันแต่เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ให้โรงแรม ขอเข้าใจคุณแม่ด้วยว่าอย่ามองคุณแม่ผิดอย่าให้ค่าคุณแม่ผิด ตั้งแต่นี้ต่อไปขอความกรุณาให้ข่าวในสิ่งที่ถูกต้อง อย่าบิดเบือน แม่ตั้งใจจะหาความจริงเรื่องลูก ถูกฆาตกรรมด้วยวิธีใด ตรงนี้สำคัญ” นาง ภนิดากล่าว

นางภนิดากล่าวอีกว่า สื่อใดที่มีหลักฐาน หรือช่วยหาหลักฐานให้ตนบ้าง ก็จะดี จะได้ช่วยกันลดทอนความยุ่งยากของตน สัญญาได้หรือไม่ว่าสื่อจะช่วยหาหลักฐาน จะไปปลอมตัวเป็นใคร ไปที่ไหน ก็ทำไปเลย และมาเบิกค่าใช้จ่ายที่ตน คดีของลูกสาวตนจะได้เกิดความยุติธรรมจริงๆ แล้วอยากให้มีความถูกต้อง เพื่อเป็นบรรทัดฐานในคดี ต่อไปจะได้ไม่โดนโมเมนต์แบบนี้ถึง 3 เดือนที่ผ่านมา ลูกสาวตนไปโดนหมกเม็ดอยู่ที่ไหนเยอะแยะไปหมด ไม่ตรงโน้นก็ตรงนี้ แต่ข้อเท็จจริงไม่เคยเปิดเผย ทั้งที่สื่อก็รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ไม่มีใครเคยบอกตน สื่อก็ปกปิดตนเหมือนกัน ที่ผ่านมาไม่ใช่ข้อเท็จจริง และเอามาพูดกัน

เมื่อถามว่า จะให้คำแนะนำกับแม่อย่างไรในเรื่องของทางคดี หรือการเรียกร้องค่าเสียหายต่างๆ จากคนบนเรือ นายมงคลกิตติ์กล่าวว่า ตอนนี้คุณแม่ มอบอำนาจให้กับนายอัจฉริยะ กับทนายไปแล้ว เดี๋ยวรอให้คดีอาญาหลักไปก่อน

เมื่อถามถึงสาเหตุที่แม่ส่งโทรศัพท์มือถือให้บังแจ๊ค นางภนิดา เอาแต่ก้มหน้าแสดงท่าทีเคร่งเครียดและไม่ยอมตอบคำถาม ส่วนนายมงคลกิตติ์ พยายามบอกนักข่าวว่า ให้ทนายความเป็นผู้ตอบคำถาม เมื่อสื่อพยายามจี้ถามอีก โดยร้องขอให้แม่เป็นผู้พูดเอง นาง ภนิดาเงยหน้า แล้วหันไปทางนายมงคลกิตติ์ แต่นายมงคลกิตติ์ได้โบกมือส่งซิกไม่ให้พูด

ขณะที่ นายอัจฉริยะกล่าวว่า ได้คุยกับคุณแม่แล้วว่า เรื่องของบังแจ๊ค จะไปแถลงข่าว วันที่ 2 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ยืนยันว่า วันนั้นตนจะเป็นคนพาคุณแม่ไป และได้นัดผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ไว้แล้ว ดังนั้น ขอให้ไปสัมภาษณ์ วันที่ 2 มิ.ย. เลยดีกว่า ข้อครหาที่ว่าตนไปร่วมกับบังแจ๊ค เดี๋ยวตนจะให้ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผบช.สอท.เป็นผู้แถลงข่าว ยืนยันต่อสื่อและประชาชนจะได้สิ้นสงสัยเสียที ขณะนี้มีทนายคนดังมากล่าวหาตนตลอดเวลาว่า ตนไปกระทำการร่วมกับบังแจ๊ค ในการเอาคุณแม่ เอา iCloud มาให้ตน อันนี้เดี๋ยวให้ที่สอท. ดีกว่า เนื่องจากว่าตนมีภารกิจด่วนที่ต้องไปทำจริงๆ ซึ่งสำคัญมากด้วย และวันนี้คุณแม่ยังไม่พร้อม ไปสัมภาษณ์วันนั้นดีกว่า ไม่ใช่ว่าไม่ให้ตอบ แต่ว่าขอเป็นวันที่ 2 มิ.ย. เพราะคุณแม่โดนโจมตีอย่างหนักต้องเข้าใจนิดนึง

นางภนิดากล่าวอีกว่า เคยขอเบอร์กับนายเดชาเพื่อจะโทร.ขอบคุณ และแสดงความเห็นใจว่า ที่ท่านทำ ทำเพื่อน้องโมจริงๆ ยอมถึงชีวิต คุณแม่ก็ได้เบอร์มาและกำลังจะโทร. แต่นายเดชาบอกคุณแม่อย่าโทร. ไม่ให้คุณแม่โทร. เดี๋ยวคุณแม่จะหาทางลงไม่เจอ เดี๋ยวคุณแม่จะเสียหาย คุณแม่เลยไม่โทร. จนหนึ่งสัปดาห์ผ่านไปก็ได้มาเจอนายอัจฉริยะตัวจริง ก็ดีใจได้เจอ เพราะเป็นของจริง ทุกท่าน ทีมงาน แม่ดีใจ และก่อนออกมาแม่บอกน้องโมว่า คุณแม่ออกมาทำงานให้ลูกนะ ลูกก็ต้องช่วยคุณแม่ด้วย เพราะเป็นงานใหญ่แล้ว ไม่ใช่ทนายคนเดียวแต่เป็นทีมแล้ว เป็นระดับชาติ น้องก็ต้องเชื่อใจคุณแม่ด้วยว่าจะมาทำงานให้น้องจริงๆ ซึ่งแม่ยืนยัน 100 เปอร์เซ็นต์ ว่าจะสำเร็จ แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย

เมื่อถามว่า ทนายเดชายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมหรือไม่ นางภนิดากล่าวว่า “ยังเป็นเพื่อนกันแต่แกก็ชอบแขวะคุณแม่” เมื่อถามอีกว่า ยังรักกันอยู่หรือไม่ นางภนิดากล่าวว่า เขาคงคิดถึงคุณแม่แหละ รัก ไปถามเขาสิ เมื่อถามอีกว่า แม่ตัดใจจากการเอาทนายเดชาออกได้หรือไม่ นางภนิดากล่าวว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ได้เอาเขาออกเลย คุณก็พูดกันไปเรื่อย เมื่อถามว่าสังคมยังไม่เข้าใจคุณแม่ คิดว่าเรามาเพื่อหวังเงิน 30 ล้าน นางภนิดาเพียงโบกมือไม่ตอบคำถาม

หลังแถลงข่าวเสร็จ ผู้สื่อข่าวได้ขอให้นางภนิดาร้องเพลงที่ไปร้องเมื่อคืนนี้ โดยนาง ภนิดาได้ร้องเพลงใต้ร่มมลุลีท่อนหนึ่งว่า “โอ มลุลีร่มนี้มืดมน ช้ำเหลือทน อับจนหัวใจ ต้องพรากรักไป ภายใต้ ร่มไม้ ของเจ้านี้” โดยหลังจากที่นางภนิดาร้องเพลงจบ นางมงคลกิตติ์และผู้สื่อข่าวหลายสำนัก ได้ปรบมือให้เสียงดัง ส่วนนางภนิดายิ้มอย่างอารมณ์ดี

 

 

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน