‘ก.พลังงาน’อวดนวัตกรรม สั่งบขส.-รฟ.วิ่งแทนทัวร์ ขึ้นฉ่าย-ผักบุ้งกิโล 100กว่า

นวัตกรรมสู้แก๊สแพง กรมพัฒนาพลังงานฯ แนะใช้เตาถ่าน‘ซูเปอร์อั้งโล่’ รุ่นเตามหาเศรษฐี ช่วยประหยัดไม้-ฟืน-ถ่าน แถมไร้ควัน-แก๊สพิษ ครม.เคาะแล้ว 6 มาตรการ ช่วยสู้ของแพง ‘บิ๊กตู่’แถลง ตรึงแก๊สเอ็นจีวี 15.59 บาทต่อกิโล อุ้มต่อแท็กซี่กทม.-ปริมณฑล, ขายปลีกแก๊สหุงต้มแอลพีจี 408 บาทต่อถัง 15 ก.ก., ขยายส่วนลดแก๊สร้านค้า หาบเร่ แผงลอย ที่ถือบัตรคนจนไม่เกิน 100 บาท, อุดหนุนดีเซลร้อยละ 50 หากราคาพุ่งสูงกว่าลิตรละ 35 บาท ต่ออีก 3 เดือน ด้านขนส่งเร่งเจรจา 27 บริษัททัวร์ใหญ่ ที่เตรียมหยุดวิ่ง 80% สั่งบขส.สอบแผนเดินรถ ขู่ฟันหากขัดกฎหมาย ให้รถไฟ-บขส.เสริมบริการทดแทน ส่วนผักพาเหรดแพงอีก ขึ้นฉ่าย- ผักบุ้งไทย ปรับขึ้นทะลุกิโลกว่า 100 บาทแล้ว

‘บิ๊กตู่’แจง 6 มาตรการสู้แพงอีก
เมื่อเวลา 13.20 น. วันที่ 21 มิ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมครม.มีมติเห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบประชาชนและภาคธุรกิจเร่งด่วน ทั้งมาตรการใหม่และขยายมาตรการเดิมที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้

1.ตรึงราคาขายปลีกแก๊สเอ็นจีวี 15.59 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับเอ็นจีวีภายใต้ “โครงการเอ็นจีวีเพื่อลมหายใจเดียวกัน” สำหรับแท็กซี่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 13.62 บาทต่อกิโลกรัม (ก.ก.) เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.-15 ก.ย.2565 2.กำหนดกรอบการขายปลีกแอลพีจี 408 บาทต่อถัง 15 ก.ก. เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน ก.ค.-ก.ย. 3.ขยายเวลาให้ส่วนลดราคาแก๊สแอลพีจี ร้านค้า หาบเร่ แผงลอยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่เกิน 100 บาทต่อราย/เดือน ต่อไปอีก 3 เดือน ถึงเดือนก.ย. ส่วนผู้มีรายได้น้อยซึ่งถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอยู่จะได้รับส่วนลดการซื้อแก๊สหุงต้มจำนวน 100 บาทต่อราย 3 เดือน

4.อุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลร้อยละ 50 ในส่วนที่ราคาขายสูงกว่า 35 บาทต่อลิตรเป็นเวลา 3 เดือน ถึงก.ย.2565 5.คงค่าราคาตลาดน้ำมันดีเซลไม่เกิน 1.40 บาทต่อลิตร 6.ดึงกำไรจากโรงกลั่นน้ำมัน นำส่งกำไรจากค่าการกลั่นส่วนหนึ่งเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อลดภาระค่าน้ำมันให้กับประชาชนทั้งดีเซลและเบนซินในช่วง 3 เดือน ก.ค.-ก.ย. ไปก่อน ซึ่งเป็นการขอความร่วมมือ ต้องขอขอบคุณบรรดาสถานประกอบการที่ให้ความร่วมมือ

นอกจากนี้ยังมีมาตรการทางภาษีสำหรับบริษัท ห้างหุ้นส่วน นิติบุคคล ในการจัดอบรม สัมมนา จัดนิทรรศการ การจัดแสดงสินค้าในประเทศเพื่อให้เกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยว สนับสนุนเศรษฐกิจภายในประเทศ สนับสนุนห่วงโซ่อุปทานการท่องเที่ยว ส่งเสริมการบริโภคและการจ้างงานเป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ 15 ก.ค.ถึงสิ้นปีนี้ โดยสามารถหักรายจ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าเดินทาง และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเมืองหลักหักได้ 1.5 เท่า เมืองรองได้ 2 เท่า ค่าใช้พื้นที่ออกร้านงานแสดงสินค้าต่างๆ หักได้ 2 เท่า

จี้จัดแผนระยะยาวพยุงศก.
ส่วนอีกเรื่องที่จำเป็นและยั่งยืนคือ ขอความร่วมมือกันช่วยประหยัดพลังงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ขอให้ทุกหน่วยงานเร่งออกนโยบายที่เหมาะสมตามสมรรถภาพของตนเอง ไม่ว่าจะเรื่องการเปิดไฟ ปิดไฟ อุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้ ลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ ส่งเสริมการใช้ขนส่งมวลชนสาธารณะ ลดการเดินทางที่ ไม่จำเป็น ใช้การประชุมออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งในส่วนของภาครัฐได้กำหนดไปแล้วให้มีการลดใช้พลังงานลงร้อยละ 20 ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดของหน่วยงานด้วย นี่คือแนวทางที่รัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

“จากการประเมินสถานการณ์เรื่องนี้คง ไม่สิ้นสุดในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งจะให้มีการประชุมร่วมกันหารือในเรื่องการเตรียมแผนรองรับสถานการณ์ตามสมมติฐาน หากสถานการณ์ยืดเยื้อไปเป็นระยะเวลาเท่านี้ๆ เราควรจะทำอะไรได้บ้าง ไม่อย่างนั้นเราจะมีปัญหาที่จะพอกพูนไปเรื่อยๆ ในเรื่องการดูแลการสมทบอะไรต่างๆ และจะมีปัญหาด้านงบประมาณการเงินการคลังต่อไปในอนาคต ต้องเตรียมแผนความพร้อมไปเรื่อยๆ ทั้งมิติด้านพลังงาน อาหาร ซึ่งล้วนแต่มีผลกระทบทั้งสิ้น ต้องวางแผนระยะยาว ผมได้แนะแนวทางนี้มาตลอดอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยืนยันว่าจะพยายามหาทางช่วยเหลือพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการบนพื้นฐานของวินัยการเงินการคลังที่มีความสมดุล และจะต้องไม่ก่อภาระในอนาคตจนมากเกินไป จึงขอให้เห็นใจรัฐบาลด้วย หลายอย่างเราก็ลดภาษีลงทำให้รายได้เราลดลง ฉะนั้นจำเป็นต้องใช้อย่างคุ้มค่าและประหยัดด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

นวัตกรรม – เตามหาเศรษฐี หรือเตาซูเปอร์อั้งโล่ ที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน แนะนำให้ประชาชนใช้เพื่อลดค่าใช้จ่ายในช่วงแก๊สหุงต้มราคาแพง

แนะใช้‘เตาซูเปอร์อั้งโล่’
ด้านเพจของกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้แนะนำใช้ประชาชนหันมาใช้ “เตามหาเศรษฐี” เตา ซูเปอร์อั้งโล่ ซึ่งเป็นเตาหุงต้มประสิทธิภาพสูงที่พัฒนาขึ้นมาทดแทนเตาอั้งโล่ตามท้องตลาดทั่วไป โดยระบุว่า “พพ.ขอนำเสนอ เตา มหาเศรษฐี เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง หรือเตาซูเปอร์อั้งโล่ ซึ่งเป็นเตาที่พัฒนาขึ้นมา ทดแทนเตาอั้งโล่ตามท้องตลาดทั่วไป ซึ่งมีประสิทธิภาพเชิงความร้อนมากกว่าเตาอั้งโล่ตามท้องตลาดถึง 29% ถ้าหากตามบ้านเรือนหันมาใช้เตามหาเศรษฐีจะประหยัดไม้ ฟืน และถ่าน ที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงได้ถึง 500-600 บาท/ครัวเรือน/ปี และช่วยลดการใช้ แก๊สแอลพีจี ในครัวเรือน

สำหรับคุณสมบัติเด่นๆ ของเตามหาเศรษฐี มีดังนี้ มีลักษณะเพรียวและน้ำหนักเบากว่า ให้ความร้อนสูง อุณหภูมิกลางเตาประมาณ 1,000-1,200 องศาเซลเซียส ประหยัดถ่านกว่าเตาอั้งโล่ท้องตลาด 30-40% วางภาชนะหุงต้ม (หม้อ) ได้ 9 ขนาด ตั้งแต่เบอร์ 16-32 ขณะหุงต้มไม่มีควันและแก๊สพิษเกิดขึ้น เนื่องจากเผาไหม้สมบูรณ์ และมีอายุการใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 2 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเพจของ พพ. โพสต์เสนอแนะให้ครัวเรือนหันมาใช้ เตามหาเศรษฐี เตาซูเปอร์อั้งโล่ เพื่อประหยัดพลังงานและรายจ่ายในครอบครัวนั้น ปรากฏว่ามีประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันจำนวนมาก ส่วนใหญ่ตำหนิถึงแนวทางการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพง และนโยบายประหยัดพลังงาน ที่แก้ปัญหาไม่ตรงจุดและไม่สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน

สัปดาห์นี้สรุป6โรงกลั่นปันกำไร
นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. ว่า กรณีการหารือกับ 6 โรงกลั่นเพื่อหาข้อสรุปการนำกำไรส่วนเกินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ทุกฝ่ายกำลังคุยกันอยู่ ใช้เวลาหารือกัน ขอความร่วมมือกัน เมื่อวานก็มีการพูดคุยกัน และจะยังคุยกันต่อเนื่องทั้งสัปดาห์ คาดจะได้ข้อสรุปภายในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลขกำไรของโรงกลั่นที่จะนำเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ขณะนี้กำลังหารือกันอยู่ อย่าไปกดดันอะไรกัน ตัวเลขให้เขาหารือให้ได้ข้อสรุปตัวเลขที่เหมาะสมและรับได้ทั้งสองฝ่าย อาจจะน้อยกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่ปรากฏอยู่ขณะนี้

“บรรยากาศการหารือระหว่างภาครัฐและโรงกลั่นเป็นไปได้ด้วยดี ร่วมมือกันทุกฝ่าย ผู้ประกอบการก็เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบัน และผู้แทนกระทรวงพลังงาน หรือผู้แทนกองทุนน้ำมันฯ ก็ได้ชี้แจงถึงสาเหตุและขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ส่วนจะต้องออกเป็นกฎหมายออกมาบังคับหรือไม่นั้น สุดท้ายต้องมาดูว่า เมื่อได้ความร่วมมือที่ชัดเจนแล้วจะใช้วิธีไหนในการที่จะสนับสนุนกัน ส่วนจะเป็นวิธีการใดก็ต้องไปดูช่องทางกฎหมายว่าจะใช้ช่องทางใด มีหลายช่องทาง ซึ่งได้หารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพราะเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกฎหมายโดยตรง ตอนนี้เรายังไม่อยากใช้อำนาจไปบังคับ เป็นเรื่องของความร่วมมือ เมื่อได้จำนวนที่ตกลงกันได้ ทีนี้วิธีการที่จะช่วยเหลือเงินเข้ามา หรือสนับสนุนเงินเข้ามาจะใช้ช่องทางใดก็ต้อง ไปดู ส่วนโจทย์ใหญ่คือแผนระยะยาว” นาย สุพัฒนพงษ์กล่าว

นายสุพัฒนพงษ์กล่าวว่า ให้จับตาการประชุมกลุ่มประเทศ จี 7 ที่ประเทศเยอรมนี ช่วงสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ ประเด็นการหารือเรื่องความเดือดร้อนของประชาคมโลกที่เกี่ยวข้องกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น จนกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพ อาจมีมาตรการผ่อนคลายของฝั่งสหรัฐอเมริกา หรือการแซงก์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานออกมา

แจงรับมือกองทุนติดลบแสนล.
ด้านนายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงผลการหารือกับกลุ่ม โรงกลั่น 6 แห่ง ถึงแนวทางความร่วมมือในการดูแลราคาพลังงานเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชน เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ว่า เบื้องต้นมีความเห็นพ้องในการตั้งทีมงานขึ้นมาหนึ่งคณะ เพื่อเร่งตรวจสอบข้อกฎหมายอย่างรอบคอบ โดยโรงกลั่นทุกแห่งมีความตั้งใจที่จะให้ความร่วมมือ แต่เนื่องจาก กลุ่มโรงกลั่นเป็นบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หากดำเนินการไปแล้วอาจกระทบต่อผู้ถือหุ้น ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ต้องทำอยู่ในวิธีการหรือรูปแบบที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 1-2 สัปดาห์นี้

สำหรับจำนวนเงินที่จะใช้อุดหนุนราคาพลังงานเดือนละประมาณ 8,000 ล้านบาทนั้น เป็นวงเงินค่าการกลั่นแต่ละแห่งแต่ละชนิดน้ำมันที่ไม่เท่ากัน จึงต้องดูแต่ละแห่งให้เหมาะสมบนพื้นฐานของความร่วมมือ เพราะไม่อยากไปฟันธงหรือบังคับ

นายกุลิศกล่าวเพิ่มเติมว่า การคำนวณตัวเลขค่าการกลั่นตามสูตรที่สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ดำเนินการนั้นเป็นตัวเลขสถิติที่ใช้เป็นพื้นฐานข้อมูลอ้างอิงตั้งแต่เดือนม.ค.-พ.ค.2565 ค่าการกลั่นอยู่ที่ลิตรละ 3.27 บาท ขึ้นอยู่กับราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ซึ่งทางโรงกลั่นก็จะมีข้อมูลและ ข้อเท็จจริงว่าทำอะไรอย่างไรมาชี้แจง ส่วนกระทรวงพลังงาน (พน.) จะขอแบ่งอย่างไรต้องขอเวลาหารือให้ได้ข้อสรุปอีกครั้ง

ส่วนกรณีที่สิ้นเดือนมิ.ย.นี้ สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) จะติดลบที่ 1 แสนล้านบาทนั้น ยืนยันว่า พน.มีทางออกแก้ปัญหาเรื่องนี้แล้ว โดยนายสุพัฒนพงษ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน จะชี้แจงต่อสื่อมวลชนเอง

ปตท.พร้อมปันกำไรช่วยอุ้ม
รายงานข่าวจากปตท. เปิดเผยถึงกรณีรัฐบาลขอความร่วมมือกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันให้นำส่งกำไรค่าการกลั่นน้ำมันดีเซล การจัดเก็บค่าการกลั่นน้ำมันเบนซิน โรงแยกแก๊สเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ว่า ทางกลุ่มปตท.พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐ แต่ต้องมีความชัดเจน และอยู่ในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมา ปตท.ให้ความร่วมมือและให้การช่วยเหลือกับประชาชนในกลุ่มเปราะบางอย่างต่อเนื่อง

ในฐานะที่ปตท. เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีนักลงทุน และผู้ถือหุ้นเกี่ยวข้องหลายภาคส่วน และได้รับการสอบถามจากนักลงทุน โดยเฉพาะต่างประเทศถึงนโยบายดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่อธิบายได้ เพราะบทบาทหนึ่งคือ การดูแลด้านสังคมสอดคล้องกับเทรนด์ของโลก โดยการทำธุรกิจ ต้องมีนโยบายเรื่องของการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน (Environment, Social และ Governance) หรือ ESG แต่ประเด็นสำคัญสุดคือ การรณรงค์ให้เกิดการประหยัดพลังงาน เพราะราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นนอกจากเรื่องสงคราม ก็คือเรื่องของความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นมา ขณะที่กำลังผลิตไม่เพียงพอ นอกจากนี้ ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าวต้องคิดรอบคอบ เพราะธุรกิจโรงกลั่น มีทั้งช่วงที่ค่าการกลั่นตกต่ำ ก็เจอกับภาวะขาดทุน และในยามที่เกิดภาวะไม่ปกติเช่นปัจจุบันก็เชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะช่วยเหลือ

ปลัดพณ.โต้กรณ์จี้ลดค่ากลั่น
ด้านนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยจากสนามบิน เคฟลาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ ถึงกรณีที่นาย กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรมว.คลัง เสนอให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 เข้ามากำกับดูแลค่าการกลั่นน้ำมันเพื่อช่วยให้ราคาขายปลีกน้ำมันลดลงว่า เรื่องราคาน้ำมันที่กำลังมีคนชี้มาที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ว่าเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องราคาน้ำมัน ซึ่งไม่ใช่อำนาจหน้าที่ โดยน้ำมันนั้นเป็นสินค้าเฉพาะมีข้อกฎหมายเฉพาะในการกำกับดูแล กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันฉบับที่หนึ่ง คือ พ.ร.บ.คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มาตรา 6 (2) กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไว้ว่า คณะกรรมการชุดนี้มีหน้าที่วางหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการกำหนดราคาพลังงาน โดยให้สอดคล้องกับนโยบายและแผนการพัฒนาและบริหารพลังงานของประเทศ ถ้าดูกฎหมายนี้จะเห็นว่าคนเกี่ยวข้องกับราคาพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นการเฉพาะคือ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยรมว.พลังงาน เป็นเลขานุการ ซึ่งการกำหนดราคาหรือการวางหลักเกณฑ์เรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงต้องสอดคล้องกับนโยบายและแผนพัฒนาและบริหารพลังงานแห่งประเทศด้วย เป็นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของกระทรวงพลังงาน (พน.)

ไม่ใช่หน้าที่ของรมว.พาณิชย์
เมื่อถามกรณีที่ระบุว่า รมว.พาณิชย์ เป็นประธาน กกร.โดยตำแหน่งและในกฎหมายกำหนด แก๊สปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นสินค้าควบคุม อยู่ในอำนาจของประธาน กกร.อยู่แล้ว ตรงนี้ไปสัมพันธ์กับ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการที่ พณ.ดูแลหรือไม่ นายบุณยฤทธิ์กล่าวว่า ทุกวันนี้แก๊สแอลพีจีมีการประกาศราคาโดยพน. ซึ่ง พน.เป็นคนกำหนดราคา ที่จะปรับราคาขึ้นราคาเป็นขั้นบันไดว่า เดือนละเท่าไหร่ต่อครั้ง ส่วนหน้าที่ของพณ.คือ เมื่อ พน.ประกาศราคาออกมาแล้ว ใครขายเกินกว่านี้ก็จับ โดยอาศัยมาตรา 29 ดังนั้นหน่วยงานราชการทุกหน่วยมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ กฎหมายใครก็กฎหมายคนนั้น เป็นผู้รับผิดชอบ ไม่ควรที่ผู้ใดจะมาบิดเบือนหลักการนี้

ชี้รถทัวร์ลดเที่ยววิ่งอาจขัดกม.
ส่วนกรณีที่สมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย ร่วมกับผู้ประกอบการขนส่งรถร่วมบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) กว่า 27 บริษัท 143 เส้นทาง พร้อมใจลดเที่ยววิ่ง 80% ในวันที่ 1 ก.ค.นี้เป็นต้นไป เพราะแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงนั้น

นางสิริรัตน์ วีรวิศาล รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักการขนส่งผู้โดยสาร ประสานไปยัง บขส.เพื่อตรวจสอบจำนวนเส้นทางที่ผู้ประกอบการรถร่วมจะปรับลดเที่ยววิ่ง ว่าจะส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารมากน้อยแค่ไหน เพราะในแต่ละเส้นทางมีจำนวนผู้ประกอบการ และมีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการไม่เท่ากัน อาทิ เส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ปัจจุบันมีหลายบริษัท ขณะเดียวกันในช่วงโควิด-19 ระบาดรุนแรง ผู้ประกอบการก็ปรับลดเที่ยววิ่งในการเดินทางอยู่แล้ว

“ทาง ขบ.ได้ให้ บขส.กำกับดูแลผู้ประกอบการรถร่วมให้เดินรถเป็นไปตามที่เงื่อนไขที่ ขบ.กำหนด ซึ่งจะระบุไว้ในใบอนุญาตประกอบการเดินรถว่า ในแต่ละวันจะต้องให้บริการขั้นต่ำกี่เที่ยววิ่งต่อวัน หากพบว่าให้บริการเที่ยววิ่งไม่เป็นไปตามที่เงื่อนไขกำหนด จะมีความผิดและต้องลงโทษตามที่กฎหมายกำหนด หากผู้ประกอบการยังมีการปรับลดเที่ยววิ่งอยู่ บขส.ต้องเตรียมแผนจัดการเดินรถในเส้นทางที่ลดเที่ยววิ่งทดแทน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนผู้โดยสารที่ใช้บริการในเส้นทางนั้นๆ ต่อไป ซึ่งใช้มาตรการเดียวกับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ที่ต้องเดินรถทดแทนผู้ประกอบการรถโดยสาร (รถเมล์) ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล กรณีที่หยุดเดินรถ เพื่อลดผล กระทบผู้ใช้บริการมากที่สุด” นางสิริรัตน์กล่าว

เผยรถหมื่นคันได้รับผลกระทบ
นายพิเชษฐ์ เจียมบุรเศรษฐ์ นายกสมาคมกิจการรถโดยสารประจำทางไทย เปิดเผยถึงกรณีที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ระบุว่า จะเจรจากับเจ้าของรถร่วมบขส. เพื่อหาทางออกและช่วยเหลือ แก้ปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันแพงนั้น ว่า คงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะรถโดยสารในประเทศไทยไม่ได้เป็นรถร่วม บขส.ทั้งหมด ยังมีรถหมวด 3 หมวด 4 ที่เอกชนเป็นผู้รับใบอนุญาตฯ โดยตรงจากกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) อีกกว่าหมื่นคัน รถกลุ่มนี้ไม่ได้ขึ้นตรงกับบขส. ดังนั้น การเจรจาของ บขส.กับรถร่วมฯ ถ้าทำได้ ก็เป็นเพียงช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ไม่สามารถแก้ปัญหาการขาดทุนจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นได้ และไม่มีผลกับรถเอกชนทั่วประเทศแต่อย่างใด

ด้านนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ให้สัมภาษณ์กรณีเกิดปัญหารถเมล์สาธารณะขาดระยะและวิ่งน้อยลง ว่า นอกจากรถ ขสมก.ยังมีรถร่วมบริการ แต่เรื่องนี้ทาง ขสมก.สามารถเคลียร์ได้ ไม่มีปัญหา โดยรองปลัดกระทรวงคมนาคม และผอ.ขสมก. ได้ลงไปดูปัญหาด้วยตัวเองแล้ว แต่มีปัญหาในส่วนของรถร่วมที่วิ่งระยะทางไกล ที่จะขอให้พิจารณาเรื่องราคาค่าโดยสาร เพราะอัตราค่าน้ำมันต่อการเก็บค่าโดยสารยังคิดอยู่ที่ ลิตรละ 20 บาท แต่เมื่อน้ำมันขึ้นราคาขึ้นมา 30 บาท จึงต้องประชุมเพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งนี้ได้ขอความร่วมมือให้วิ่งรถโดยสารก่อน ส่วนปัญหาจะดูแลต่อไปเพื่อให้ไปด้วยกันได้

จี้คมนาคมแก้ลดเที่ยววิ่ง 80%
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกฯ ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาเร่งแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน กรณีรถทัวร์ 27 บริษัท 143 เส้นทางทั่วประเทศ เตรียมลดเที่ยววิ่งลง 80% ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้รายงานว่าขณะนี้กำลังพิจารณาหารือเพื่อที่จะแก้ปัญหาให้จบภายในเดือนมิ.ย.นี้ เบื้องต้นกระทรวงคมนาคมได้ให้บขส. และรฟท.จัดเตรียมการดูแลการเดินรถ ให้พร้อมรับการเดินทางอย่างเต็มที่ ไม่ให้มีผล กระทบต่อการเดินทางของประชาชน และสั่งการให้ ขสมก.เยียวยาผู้ประกอบการรถร่วมทุกประเภท ด้วยบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ลดค่าพลังงานค่าเชื้อเพลิงซึ่งสามารถลดภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ และอาจทำให้ผู้ประกอบการไม่ขาดทุนในการบริการการเดินรถต่อไป ส่งผลให้มีรถโดยสารประจำทางให้บริการกับประชาชนในช่วงวิกฤตพลังงาน

นายธนกรแถลงกรณีมติครม.อนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปลี่ยน แปลงรายละเอียดสารสำคัญของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ขยายจำนวนสิทธิเพิ่มอีก 1.5 ล้านสิทธิ รวมเป็น 3.5 ล้านสิทธิ และขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการ จากเดิมเดือนพ.ค.เป็นเดือนต.ค.2565 โดยกำชับให้ ททท.ดำเนินการอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ และเน้นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวในกลุ่มจังหวัดท่องเที่ยวเมืองรองให้มากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นและสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศด้วย

ตามที่ครม.มีมติเมื่อ 24 ม.ค.2565 อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท ข้อมูล ททท. ณ วันที่ 30 พ.ค. มียอดการใช้จ่ายผ่านโครงการรวม 9,346.60 ล้านบาท โดยเป็นส่วนที่รัฐสนับสนุนประมาณ 3,496.03 ล้านบาท และประชาชนใช้จ่ายรวมประมาณ 5,850.05 ล้านบาท ทำให้กรอบวงเงินโครงการยังคงเหลือประมาณ 5,500 ล้านบาท ซึ่งจากการประมาณการมูลค่าการใช้สิทธิของประชาชนทั้งในส่วนของโรงแรมที่พัก คูปอง และบัตรโดยสารเครื่องบินจากการขยายสิทธิ 1.5 ล้านสิทธิ คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายในส่วนที่รัฐสนับสนุนรวม 5,105 ล้านบาท ซึ่งยังต่ำกว่ากรอบวงเงินคงเหลือของโครงการ

ทั้งนี้ รายละเอียดของโครงการตามเดิม เช่น ส่วนลดค่าโรงแรมที่พัก 40% ของราคาห้องพัก/ห้อง/คืน แต่ไม่เกิน 3,000 บาท/ห้อง/คืน จำกัดสิทธิคนละไม่เกิน 10 ห้อง หรือ 10 คืน รวมตลอดโครงการ ส่วนลดค่าอาหารและค่าเข้าสถานที่ท่องเที่ยว สูงสุด 600 บาท/ห้อง/คืน โดยประชาชนจะชำระ 60% และรัฐบาลช่วยจ่าย 40% ผ่านการตัดเงินจากคูปอง

สี่ล้อแดงเชียงใหม่ขอขึ้นตั๋ว
ด้านนายณัฐวุฒิ โชติทวีพูน ประธานสหกรณ์นครลานนาเดินรถ จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเกือบจะถึงลิตรละ 37 บาทแล้ว ส่งผลกระทบอย่างหนักต่ออาชีพรถสี่ล้อแดงรับจ้างส่งผู้โดยสารในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยจากเดิมที่แต่ละคันมีต้นทุนค่าน้ำมันเฉลี่ยวันละประมาณ 300 บาท และมีรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ววันละ 500-700บาท แต่ปัจจุบันต้นทุนค่าน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยค่าโดยสารที่เก็บค่าโดยสารไม่ได้เพิ่มขึ้น จึงเท่ากับว่ารายได้ในแต่ละวันลดลง จนแทบ ไม่เหลือนำไปใช้จ่ายในครอบครัวและหนี้สิน ทางสหกรณ์ฯ กำลังหารือร่วมกับสมาชิกถึงความเป็นไปได้ในการร้องขอกับทางสำนัก งานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพิจารณาขอปรับขึ้นค่าโดยสารจาก 30 บาทตลอดสาย เป็น 35 บาท หากราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้นเกินกว่าลิตรละ 37 บาท โดยตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมาที่ประสบปัญหาตั้งแต่โรคโควิด-19 รถสี่ล้อแดงสมาชิกของสหกรณ์ฯ ที่มีอยู่ 2,100 คัน ปัจจุบันเหลือวิ่งรับส่งผู้โดยสารอยู่เพียง 1,000 คันเท่านั้น หากเป็นไปได้อยากให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียวยาอาชีพรถสี่ล้อแดงรับจ้างด้วย

ด้านแม่ค้าขายถ่านในตลาดย่าโม ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ตอนนี้ที่ร้านขายถ่านในราคาเดิมอยู่คือ ถุงเล็ก 50 บาท ถุงใหญ่ 60 บาท ตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้ว แต่หากถ่านปรับราคาสูงขึ้นจนไม่ขายในราคาเดิมไม่ได้ ก็จำเป็นต้องปรับราคาของถ่านขึ้นเช่นกัน

เบนซินลง 50 สตางค์
วันเดียวกัน รายงานข่าวแจ้งว่าสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่นและบางจากประกาศปรับลดราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินและแก๊สโซฮอล์ทุกชนิดลง 50 สตางค์/ลิตร ส่งผลให้ราคาเบนซินอยู่ที่ 52.06 บาท, แก๊ส โซฮอล์ 95 อยู่ที่ 44.65 บาท, อี20 อยู่ที่ 43.54 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 อยู่ที่ 44.38 บาท และพรีเมียมแก๊สโซฮอล์ 95 อยู่ที่ 50.14 บาท ยกเว้น อี85 ลดลง 30 สตางค์/ลิตร อยู่ที่ 37.24 บาท มีผลตั้งแต่วันที่ 22 มิ.ย. เวลา 05.00 น. เป็นต้นไป

ขณะที่น้ำมันกลุ่มดีเซลต่อลิตรยังคงเดิม ซึ่งดีเซล บี7, บี10 และบี20 อยู่ที่ 34.94 บาท ส่วนดีเซลพรีเมียม บี7 อยู่ที่ 46.36 บาท

‘ขึ้นฉ่าย-ผักบุ้ง-แตงกวา’พุ่งอีก
ด้านราคาพืชผักสวนครัวก็ขยับราคาขึ้นอีก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจราคาสินค้าในตลาดสด พื้นที่กรุงเทพมหานคร ของกรมการค้าภายใน ณ วันที่ 20 มิ.ย. เปรียบเทียบกับวันที่ 19 มิ.ย.2565 พบว่ามีสินค้าหลายรายการปรับราคาต่อก.ก.เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ ขึ้นฉ่าย คัด ปรับขึ้น 10 บาท เป็น 90-100 บาท, ขึ้นฉ่าย คละ ปรับขึ้น 10 บาท เป็น 70-80 บาท, แตงกวา คัด ปรับขึ้น 5 บาท เป็น 35-40 บาท, แตงกวา คละ ปรับขึ้น 5 บาท เป็น 25-30 บาท รวมทั้ง ผักบุ้งไทย (10 กำ) ยังปรับราคาขึ้นด้วย 10 บาท เป็น 90-100 บาท

นอกจากนี้ กะหล่ำปลี คัด ยังปรับขึ้นก.ก.ละ 5 บาท เป็น 40-45 บาท, กะหล่ำปลี คละ ปรับขึ้น 5 บาท เป็น 30-35 บาท เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาราคาปรับตัวลดลง เกษตรกรจึงเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต ส่งผลให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดลดลง ประกอบกับค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน