แช็ตชวนลงทุนคริปโต หลงเชื่อสูญเงิน4.8ล้าน

มิจฉาชีพปลอมโปรไฟล์เฟซบุ๊ก ใช้รูป นางแบบสาวสวยตุ๋นคุณปู่วัย 70 โดยเรียกที่รักทุกคำ อ้างเป็นนักธุรกิจสาวชาวเชียงใหม่ ก่อนจะขอสานสัมพันธ์แลกไอดีไลน์ ชักชวนร่วมลงทุนเทรนด์เหรียญ คริปโต อ้างผลกำไรจะแบ่งคนละครึ่ง พร้อมให้ติดตั้งแอพฯ เทรนด์ที่แสดงผลกำไรปลอม ทำให้มั่นใจว่าเป็นตัวเลขจริงที่ขึ้นไปสูงถึง 50 ล้าน แต่ก็ถอนออกมาไม่ได้เพราะต้องจ่ายภาษีก่อน กว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอกก็สูญเงินที่เก็บมาทั้งชีวิตไปร่วม 5 ล้านบาท ก่อนจะตัด สินใจเข้าแจ้งความตำรวจ แต่ร้อนใจที่คดีไม่คืบต้องมาขอคำปรึกษาจากทนายรัชพล พร้อมขอให้เป็นเรื่องเตือนใจกับนักลงทุนหน้าใหม่ ที่กลายเป็นเหยื่อถูกหลอกด้วย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ส.ค. นายสมชาย (นามสมมติ) อายุ 70 ปี เดินทางเข้าพบทนายรัชพล ศิริสาคร เพื่อปรึกษาข้อกฎหมายและติดตามความคืบหน้าทางด้านคดี หลังถูกมิจฉาชีพสาวสวมรอยเป็นนางแบบในเฟซบุ๊กและไลน์ หลอกชักจูงให้โอนเงินไปเทรด เหรียญคริปโต จนต้องสูญเงินเก็บที่มีทั้งชีวิตไปแทบหมดตัว เป็นเงินจำนวนถึง 4.8 ล้านบาท พร้อมนำหลักฐานเป็นข้อความแช็ตพูดคุยเรื่องการลงทุน และหลักฐานสลิปการโอนเงินเป็นหลักฐาน หลังจากก่อนหน้านี้เคยเข้าแจ้งความที่สภ.เมืองนนทบุรีไว้แล้ว

นายสมชายเปิดเผยว่า ตนมาขอความช่วยเหลือกับทางทนายรัชพล เพื่อเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวมิจฉาชีพสาวรายนี้มาดำเนินคดีให้ได้ เพราะมีความมั่นใจว่าหากทางตำรวจใส่ใจคดีนี้ให้ ก็สามารถสืบเสาะติดตามเบาะแสได้จากไลน์ที่มิจฉาชีพสาวรายนี้ใช้ติดต่อชักจูงตนได้ไม่ยาก ส่วนตัวแล้วก็อยากให้ทางเจ้าของรูปภาพที่ถูกคนร้ายนำไปแอบอ้าง ออกมาแสดงตัวด้วยว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นหรือร่วมมือกับคนร้ายด้วย เชื่อว่าไม่ได้ทำการเพียงคนเดียวแน่ ต้องมีคนร่วมขบวนการด้วย และเป็นคนที่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ สามารถตัดต่อแก้ไขทำข้อมูลในแอพปลอมมาหลอกให้ตนหลงกลเชื่อใจ จนทำให้เงินเก็บมาทั้งชีวิตหวังเอาไว้ใช้ในตอนเกษียณแทบหมดเกลี้ยง

นายสมชายกล่าวต่อว่า เมื่อปลายเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา มีหญิงสาวรายหนึ่งทักมาหาทางเฟซบุ๊ก โดยรูปโปรไฟล์นั้นเป็นรูปหญิงสาวหน้าตาเหมือนหน้าแบบลูกครึ่ง ก่อนขอเปลี่ยนการพูดคุยในเฟซบุ๊กมาเป็นไลน์แทน หลังจากนั้นเป็นต้นมาหญิงสาวรายนี้ก็ทักไลน์มาหาทั้งเช้า กลางวัน เย็น ยันกลางคืน เพื่อชวนคุยเรื่องทั่วไป และเรียกตนว่าที่รักเป็นประจำ จนเริ่มสนิทสนมกันระดับหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มพูดคุยถึงการลงทุนเทรนด์ เหรียญคริปโตเพื่อเก็งกำไร โดยคนร้ายอ้างตัวเป็นนักธุรกิจหญิงอยู่ที่จ.เชียงใหม่

ต่อมา หญิงสาวรายนี้ได้ให้ตนโหลดแอพพลิเคชั่นเทรดเหรียญจากแอพสโตร์มาติดตั้งในมือถือ พร้อมสอนให้ลงทุนหัดเทรดเหรียญ มีข้อตกลงกันว่าเมื่อได้กำไรก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง หลังจากโหลดแอพมาติดตั้งเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ติดตั้งแอพเพิ่มอีกตัวหนึ่ง อ้างว่าเอาไว้ดูยอดเงินและกำไร จนเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนทดลองโอนเงินไปเล่นครั้งแรกเป็นเงิน 18,000 บาท ได้กำไรกลับมา 20% เพราะเห็นยอดเงินเพิ่มขึ้น ตนเห็นว่าได้กำไรดี ประกอบกับหญิงสาวมาชักชวนให้ตนลงทุนซื้อเหรียญเพิ่ม จึงโอนเงินไปซื้อเพิ่มอีก 330,000 บาท แต่เป็นชื่ออีกบัญชีหนึ่ง โดยหญิงสาวให้เหตุผลว่า มีเหรียญไม่พอต้องไปซื้อจากคนอื่นมาเพิ่มอีกทอดหนึ่ง จากนั้นยอดเงินในแอพที่ลงทุนก็มีกำไรเพิ่มขึ้น มีเงินโอนเข้าในบัญชีตน 17,000 บาท ซึ่งหญิงสาวบอกว่าเป็นกำไรที่แบ่งกันทำให้ตนเชื่อใจ จากนั้นหญิงสาวรายนี้ก็ได้โทร.มาชักชวนให้ลงทุนเพิ่มอีก อ้างว่ากำลังทำกำไรได้ดีต้องรีบคว้าโอกาส หากครบตามเป้าที่ตั้งเอาไว้แล้ว ก็จะถอนเงินทั้งหมดออกมาแบ่งกันคนละครึ่ง ทำให้หลงเชื่อโอนเงินซื้อเหรียญเพิ่มอีก 2 ครั้ง ครั้งละ 150,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท

ตุ๋นผู้เฒ่า – นายสมชาย (นามสมมติ) อายุ 70 ปี ร้องทนายรัชพล ศิริสาคร ช่วยเร่งรัดคดีถูกมิจฉาชีพ ใช้รูปสาวสวยแช็ตเรียกที่รักจนสนิท ก่อนชวนลงทุนเทรดคริปโตฯ ผ่านแอพฯ ในมือถือ สุดท้ายสูญเงิน 4.8 ล้านที่เก็บมาทั้งชีวิต เมื่อวันที่ 6 ส.ค.

นายสมชายกล่าวต่อไปว่า หลังจากตนลงทุนไปแล้ว 3 แสนบาท ก็ได้กำไรกลับมาถึง 50% มียอดเงินในแอพเพิ่มขึ้นไปถึง 14 ล้านบาท จึงคิดว่าควรจะหยุดเล่น แต่กลับถูกหว่านล้อมหลอกล่อให้ลงทุนเพิ่มอีก เนื่องจากยอดกำไรยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ ตนก็ชักเริ่มเอ๊ะใจไม่ลงทุนเพิ่มและหยุดไปหลายวัน หญิงสาวรายนี้ก็พยายามไลน์มาคุยตลอดเวลา เพื่อโน้มน้าวให้ลงทุนอีกครั้ง อ้างว่าถ้ายอดกำไรให้ได้ตามเป้าแล้วจะหยุดทันที จนกระทั่งในวันที่ 6 ก.ค.ตนจึงได้โอนเงินเพิ่มไปอีก 1 ล้านบาท และเพิ่มอีกครั้งเป็นเงิน 550,000 บาท ปรากฏยอดเงินในแอพเพิ่มสูงขึ้นถึง 28 ล้านบาท จึงต้องการถอนเงินออกมาและหยุดเล่น แต่ยังถูกชักชวนให้ลงทุนต่อ โดยบอกว่ากำลังมีกำไรสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตนเห็นว่ายอดเงินและกำไรสูงมากแล้วจึงขอหยุด แต่ถูกหญิงสาวอ้างว่าขอทำเป้าให้ถึง 50 ล้านแล้วจะหยุดขอให้ลงทุนเพิ่มอีก ตนจึงตัดสินใจโอนเงินอีกครั้งในวันที่ 8 ก.ค.เป็นเงิน 1.2 ล้านบาท วันที่ 13 ก.ค.อีก 1 ล้านบาท และวันที่ 14 ก.ค. ซึ่งเป็นเงินเก็บก้อนสุดท้ายอีก 5 แสนบาท รวมยอดโอน 9 ครั้ง เป็นเงิน 4,898,000 บาท

นายสมชายกล่าวต่อด้วยว่า หลังจากนั้นก็เริ่มสงสัยว่าจะเป็นแอพปลอม เพราะมียอดเงินขึ้นไปถึง 50 ล้านบาท จึงรีบแจ้งให้หยุดและถอนเงินออกมาแบ่งกันได้แล้ว แต่หญิงสาวก็แจ้งว่าแอพจะอนุมัติให้ถอนได้ครั้งละ 5 แสนเหรียญ ประมาณ 14 ล้านบาทจึงตอบตกลงไป ระหว่างนั้นมีข้อความเแจ้งมาว่าต้องชำระภาษีเงินได้ก่อน 20% จึงจะถอนเงินออกมาได้ ก็คือต้องจ่ายภาษีถึง 8 ล้านบาท ถึงจะถอนเงิน 50 ล้านบาทออกมาได้ จึงให้หญิงสาวแจ้งกับทางแอพไปว่าให้หักเงินภาษีออกจากยอดเงิน 50 ล้านได้เลย แต่หญิงสาวอ้างว่าทำไม่ได้ ต้องหาเงินมา 8 ล้านบาทเพื่อจ่ายภาษีก่อนเท่านั้น ซึ่งเงินเก็บก็หมดไปแล้วด้วย แต่กลับถูกหญิงสาวรายนี้บอกให้ไปจำนองบ้าน หรือกู้ยืมเงินนอกระบบมาจ่ายค่าภาษี ทำให้ตนเริ่มสงสัยในพฤติกรรม จึงลองหาข้อมูลในโซเชี่ยลพบว่า มีกลโกงแบบนี้เป็นจำนวนมาก เมื่อหญิงสาวรายนี้เห็นว่าตนคงไม่สามารถหาเงินอีก 8 ล้านบาทมาได้ จึงบล็อกการติดต่อตนทุกช่องทาง ตนจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความตำรวจแต่คดีไม่คืบ จึงติดต่อขอคำปรึกษาจากผู้สื่อข่าว เพื่อให้นำเรื่องราวของตนเป็นอุทาหรณ์เตือนใจนักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหลายที่หวังจะหารายได้ทางนี้ รวมถึงภัยจากมิจฉาชีพในโลกโซเชี่ยลที่แฝงตัวมาทำให้เชื่อใจหรือหลอกเอาทรัพย์สินด้วยกลวิธีต่างๆ

นายสมชายกล่าวอีกด้วยว่า มิจฉาชีพสาวรายนี้ยังเคยชักจูงให้ตนไปซื้อคอนโดฯย่านลาดพร้าวราคา 8 ล้านบาทมาแล้วเช่นกัน อ้างว่ามีเพื่อนต้องการขายต่อในราคาถูก หากตนซื้อเก็บไว้จะได้เอาไว้เป็นที่พักผ่อนเวลาที่เขาเดินทางลงมาจากเชียงใหม่ แต่ตนได้ปฏิเสธไปเพราะไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น จนกระทั่งมาถูกหลอกให้หาเงินมาจ่ายภาษีจากการ เทรนด์เหรียญในจำนวน 8 ล้านบาทเท่ากันพอดี คาดว่ามิจฉาชีพรายนี้น่าจะตั้งใจหลอกเอาเงินก้อนสุดท้ายจากตนในวงเงิน 8 ล้านบาทให้ได้ แต่ตนไม่มีจึงรอดตัวไปและถึงหากว่ามีตนก็คงไม่กล้าโอนให้อย่างแน่นอน

ด้านทนายรัชพล กล่าวว่า คดีนี้หลังจากที่ผู้เสียหายไปเแจ้งความ และอายัดบัญชีปลายทางที่คุณลุงโอนเงินไปซื้อเหรียญคริปโตแล้ว หนึ่งในบัญชีปลายทางนั้นเป็นลูกค้าของตนรายหนึ่ง ซึ่งเดินทางเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า มีการซื้อขายเหรียญคริปโตจริงเมื่อได้รับเงินมา สามารถตรวจสอบได้ หลังจากโอนเงินเหรียญเข้าไปให้ในบัญชีคุณลุงแล้ว ก็ไม่ทราบรายละเอียดว่าคุณลุงได้นำเหรียญไปทำอะไรต่อ หรือถูกมิจฉาชีพสาวรายนี้ถอนออกหรือนำไปขายต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งทางตำรวจจะต้องสืบสวนในขั้นตอนนี้ต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน