จากกรณี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม พาน.ส.ใจบัว อายุ 26 ปี ดารานักแสดงสาวลูกครึ่งไทย-ฮอลแลนด์ ไปแจ้งความกับตำรวจสน.คันนายาว อ้างว่าถูกตำรวจตำแหน่งสารวัตรสน.บางพลัด ก่อเหตุลวนลามตอนหลับนั้น

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 9 ส.ค. ที่สำนักงาน sittra law firm อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ชั้น 24 ถนนสาทร น.ส.ใจบัวแถลงข่าวเปิดใจทั้งน้ำตาถึงกรณีดังกล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้น เมื่อวันที่ 1 ส.ค. เวลาประมาณ 23.00 น. ตนและเพื่อนรวม 5 คน ไปงานวันเกิดรุ่นพี่ที่ร้านหมูกระทะ แถวนวลจันทร์ จากนั้นจะไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ระหว่างเดินทาง เพื่อนชายคนสนิทที่คบกันมานาน 10 ปีกลับเปลี่ยนแผนชวนไปดื่มสังสรรค์ ที่บ้านรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่แถวสายไหม ตอนนั้นฝนตกหนักมาก ตนเลยตัดสินใจไป

จากนั้นพอไปถึงก็เจอเจ้าของบ้านและนายตำรวจอยู่ในบ้าน ซึ่งก็มีการทักทายและนั่งดื่มกันปกติ โดยนายตำรวจนั่งอยู่ตรงข้ามตน ไม่มีทีท่าว่าจะลวนลามหรือหยอกล้อในลักษณะเชิงชู้สาว กระทั่งประมาณตี 4 ตนรู้สึกง่วง ยอมรับว่าดื่มแอลกอฮอล์ แต่ยืนยันว่ามีสติทุกอย่างจึงจะขอกลับบ้าน แต่เพื่อนชายคนสนิทกลับบอกว่าให้รอกลับพร้อมกัน โดยให้ตนไปนอนรอที่โซฟา ก่อนจะเผลอหลับไป

น.ส.ใจบัวกล่าวอีกว่า กระทั่งเวลา 09.00 น. วันที่ 2 ส.ค. ตนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พบว่าตำรวจมานอนข้างๆ กำลังใช้มือจับหน้าอก ตนรู้สึกตกใจ จึงใช้มือสะบัดออกและโวยวายเล็กน้อย และนายตำรวจก็รีบลุกเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว ซึ่งตรงนั้นมีเจ้าของบ้าน และเพื่อนชายคนสนิทนั่งอยู่ ตนจึงทักแช็ตไปหาเพื่อนชาย เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เพื่อนไม่กล้าพูดอะไร และก็มีเพื่อนอีกคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่โซฟา จากนั้นตนก็เดินทางกลับบ้าน หลังจากเกิดเหตุการณ์เกิดขึ้น ตอนแรกไม่คิดว่าจะมาแจ้งความ รอให้นายตำรวจที่ก่อเหตุเข้ามาขอโทษ แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธไม่แสดงความรับผิดชอบเลย รวมทั้งครอบครัวตนโดยเฉพาะคุณพ่อเป็นชาวต่างชาติ มองว่าเรื่องนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ จึงเดินทางมาปรึกษาทนายตั้มและไปแจ้งความดำเนินคดีที่สน.คันนายาว ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด

“สภาพจิตใจหลังเกิดเหตุแย่มาก โทษตัวเองมาตลอดว่าทำไมไม่กลับบ้าน ทำไมถึงไว้ใจเพื่อนมากเกินไป คนที่อยู่ในบ้านเป็นตำรวจ ไม่คิดว่าตำรวจจะเป็นคนก่อเหตุเอง ร้องไห้ ทุกวันต้องไปพบจิตแพทย์ ซึ่งก็สงสัยเพื่อนชายคนสนิท อาจจะรู้เห็นกับการกระทำของนายตำรวจ เพราะหลังเกิดเรื่องขึ้นเขาก็เงียบไม่ได้ติดต่อมา หลังจากนี้คงไม่กล้าคบต่อไปแล้ว อยากบอกกับทุกคนว่า ไม่ว่าใครหรือเพศไหน ทุกคนมีสิทธิรักษาสิทธิในร่างกายตัวเอง ไม่อยากให้มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน