เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ศาลแพ่งรัชดา นายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความสิทธิมนุษยชนของครอบครัวนายชัยภูมิ ป่าแส เยาวชนนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และนักกิจกรรมชาติพันธุ์ลาหู่ ที่ถูกทหารด่านบ้านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ วิสามัญฆาตกรรม เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2560 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จาก Protection International (PI) ทีมทนายความจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรม และกลุ่มดินสอดี ได้เดินทางเข้าฟังคำสั่งศาลฎีกา ในคดีที่นางปอย ป่าแส มารดาของชัยภูมิ ยื่นฟ้องเมื่อปี 2562 ต่อศาลเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย ตามพ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ฯ จากกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองที่ก่อเหตุวิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ

การยื่นฎีกาในครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ม.ค.2565 โดยได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ ยกฟ้องฝ่ายกองทัพบก ซึ่งหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ครอบครัวและทนายความได้เห็นต่างกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ จนนำมาสู่การยื่นฎีกาในครั้งนี้

ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาที่ทนายความและครอบครัวของชัยภูมิได้ยื่นไป พร้อมทั้งศาลฎีกาได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลให้ครอบครัวนายชัยภูมิและกองทัพบก ซึ่งเป็นจำเลยต้องยื่นแก้คำฎีกามาภายใน 15 วัน ส่งให้ศาลชั้นต้นเพื่อรวบรวมสำนวน และส่งคืนศาลฎีกาเพื่อดำเนินการต่อไป

นายรัษฎาให้สัมภาษณ์หลังเสร็จสิ้นการพิจารณาคดีว่า วันนี้ศาลฎีกาได้มีคำสั่งลงมาว่าฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาที่เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่การพิจารณาของศาลฎีกา และสั่งรับฎีกาของโจทก์ ดังนั้น คดีก็อยู่ระหว่างที่จะต้องให้กองทัพบกทำการแก้ฎีกาเข้ามาภายใน 15 วัน ซึ่ง คำสั่งศาลวันนี้ก็เป็นคำสั่งสั้นๆ ที่ถือว่าศาลท่านได้ให้ความยุติธรรมกับประชาชน ให้ได้สู้ถึงชั้นฎีกานับว่าเป็นเรื่องที่ดี ต้องขอบคุณองค์คณะของศาลฎีกาที่รับฎีกาของแม่นายชัยภูมิด้วย โดยขั้นตอนต่อไปศาลจะพิจารณาทั้งคำฎีกา และคำแก้ฎีกาของกองทัพบก ถ้ามีนัดฟังคำสั่งศาลฎีกาศาลก็จะมีหมายแจ้ง ซึ่งน่าจะใช้ระยะเวลาในการพิจารณาประมาณ 6 เดือนขึ้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นเวลากว่า 5 ปี 10 เดือนแล้ว ที่นายชัยภูมิ ป่าแส ถูกเจ้าหน้าที่ทหารบริเวณด่านรินหลวง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ วิสามัญฆาตกรรม ซึ่งภายหลังเกิดเหตุขึ้นครอบครัวของชัยภูมิได้เดินหน้าทวงถามความยุติธรรมให้กับชัยภูมิ ทั้งการทวงถามเรื่องกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ จนนำมาสู่การยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหายจากกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองที่วิสามัญฆาตกรรมนายชัยภูมิ

เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2563 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง และให้กองทัพบกไม่ต้อง รับผิดชอบค่าเสียหายตามคำฟ้องของมารดานายชัยภูมิ และครอบครัวของนายชัยภูมิ ทนายความจึงเดินหน้าขอยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลต่อไป โดยเมื่อวันที่ 26 ต.ค.2564 ศาลแพ่งเลื่อนอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ เป็นวันที่ 26 ม.ค.2565

ต่อมาในวันที่ 26 ม.ค.2565 ศาลอุทธณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือ “ยกฟ้อง” พร้อมมีคำวินิจฉัยว่า ทหารใช้ปืนยิงนายชัยภูมิเพื่อป้องกันตัวเองโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว อีกทั้งตำแหน่งที่ทหารยิงนายชัยภูมิคือต้นแขนซ้าย เป็นตำแหน่งยิงที่บอกเจตนาว่า ไม่ได้ประสงค์แก่ชีวิต และในวันที่ 25 พ.ค.2565 ทีมทนายความของครอบครัวนายชัยภูมิ ได้ขออนุญาตยื่นฎีกาจนวันที่ 16 ม.ค. ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาในคดีนี้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน