ข้องใจ‘ษิทรา’กล่าวหา เรียก3แสน-ค่าออกทีวี ซัดกันนัวฮึ่มฟ้อง100ล.

‘ทนายนิด้า’ โผล่โวยด้วย ข้องใจ ‘ทนายตั้ม’ พาดพิงเรียกเงิน 3 แสนค่าออกรายการทีวี ทำไมต้องทิ้งบอมบ์คนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูชอบธรรม ขณะที่ ‘ชูวิทย์’ สวนกลับทนายดัง ฮึ่มฟ้องคดีละ 100 ล้าน เตรียมลุยร้องสภาทนายฯ สอบมรรยาท พร้อมขู่ดำเนินคดีโฆษกตำรวจและปปง.ด้วย กล่าวหาสุ่มเสี่ยงฟอกเงิน ด้าน ‘ษิทรา’ ยอมรับจัดโปรค่าแถลงออกข่าว 3 แสนจริง เป็นค่าเสี่ยงถูกฟ้องด้วย ส่วนค่าโทร.ปรึกษา 1.5 พัน หากมาพบที่สำนักงานคิด 3 พัน ยันโปร่งใส สอบเส้นทางการเงินได้ เสียภาษีถูกต้อง

เมื่อวันที่ 27 มี.ค. ที่ษิทราลอว์เฟิร์ม ถนนสาทรใต้ กทม. นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม แถลงตอบโต้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กรณีโพสต์เฟซบุ๊กอ้างเป็นภาพใบเสร็จรับเงิน 300,000 บาท เป็นค่าแถลงข่าวออกสื่อ และกล่าวหาเป็นตัวแทนเว็บไซต์พนันออนไลน์ว่า ยอมรับว่ามีคดีที่เรียกเก็บเงินจริง แต่ไม่ใช่ ทุกคดี เว้นแต่เป็นคดีที่ต้องต่อสู้กับผู้มีอิทธิพล ซึ่งลูกความต้องมีกำลังจ่าย และตนจะถูกฟ้องร้องแน่ ยกตัวอย่างคดีขัดแย้งในครอบครัวอดีตรองนายกฯ และอีกคดีที่เรียกเก็บเงิน คดีที่ฟ้องร้องพรรคภูมิใจไทยเป็นเงิน 300,000 บาท จนตนถูกฟ้องร้องต้องเดินทางไป จ.นครพนม ดังนั้น จึงคิดค่าแถลงข่าว และการติดตามเรื่องโดยทำในรูปแบบของใบเสนอราคา

นายษิทรากล่าวว่าซึ่งภาพที่นายชูวิทย์โพสต์เป็นเหตุการณ์วันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา มีนายตี้ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันมาปรึกษาว่ามีญาติกดโทรศัพท์ตัวเองโอนเงิน 40 ล้านบาทเข้าเว็บพนัน จึงต้องการให้ตามเรื่องกับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (สอท.) แต่เรื่องเกี่ยวข้องกับนายตำรวจใหญ่ จึงเรียกเงินค่าฟ้องร้อง และเก็บเพิ่มอีก 15 เปอร์เซ็นต์ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ตกลงกัน

นายษิทรากล่าวว่ายอมรับว่าเรียกเงินแพง เพราะทุกคนทราบดีว่าตนจริงจังและตามคดีถึงที่สุด ในเมื่อลูกความมาพึ่งแล้ว หากโดนฟ้องก็ต้องโดนด้วยกัน ปกติคิดเงินค่าโทรศัพท์ปรึกษากับทีมงานเป็นเวลา 20 นาที ราคา 1,000 บาท ปรึกษากับตน 1,500 บาท หากมาพบที่สำนักงานครึ่งชั่วโมง 3,000 บาท ยืนยันโปร่งใส ตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เพราะเสียภาษีอย่างถูกต้อง ไม่ผิดมรรยาททนายความ เพราะการเรียกรับเงินถือเป็นเรื่องปกติ

ทนายตั้มกล่าวว่ายืนยันด้วยไม่ได้เงินจากการแฉเรื่องนายชูวิทย์รับเงิน 6 ล้านบาท เพียงแต่ทราบข้อมูลมา ยืนยันจะยังเรียกเก็บเงิน ต่อไป แต่เปลี่ยนถ้อยคำจากค่าแถลงข่าว เป็นค่าดำเนินการติดตามเรื่อง และเงินสำหรับการฟ้องร้อง หลังจากนี้เวลาแจ้งหมายข่าวจะระบุด้วยว่าคดีไหนได้รับเงินหรือไม่ ที่ผ่านมามีทั้งคนจนและรวยมาปรึกษา แต่ไม่ได้เก็บเงินทั้งหมด ส่วนเรื่องการเปลี่ยนรูปลักษณ์และรสนิยมการใช้ชีวิต ก็เพราะมีฐานะมากขึ้น จึงอยากให้ครอบครัวมีความเป็นอยู่ดี ไม่ถือเป็นเรื่องผิดแปลก ยืนยันทำธุรกิจโดยสุจริต ลูกความเคยมอบของขวัญนอกจากเงินให้เป็นเสื้อราคา 20,000 บาท

นายษิทรากล่าวอีกว่า นายชูวิทย์สนิทสนมกับอดีตตำรวจ 2 นายเกษียณราชการไปแล้ว นายหนึ่งเคยเป็น ผบก.นครศรีธรรมราช ส่วนอีกนายดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และยังมีความสนิทสนมกับสารวัตรซัวชนิดที่ไปไหนมาไหนกันได้ โดยอดีตตำรวจนายนี้เองเป็นผู้นำเงินสารวัตรซัวไปมอบให้นายชูวิทย์ เพื่อปิดปากการแฉเรื่องอาบอบนวด ในวันนั้นนอกจากตำรวจสองนาย ยังมีเจ้าของบ่อนพนันย่านพระราม 3 ที่มีตำรวจถูกยิงเสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย น่าเชื่อได้ว่าอดีตตำรวจทั้ง 2 นาย ได้รับอนุญาตจากสารวัตรให้นำเงินมามอบให้นายชูวิทย์

ทนายตั้มกล่าวอีกว่าส่วนตัวยังมองว่าหากนำเรื่องไปร้องเรียนหน่วยงานที่เคยเป็นต้นสังกัดของอดีตตำรวจทั้ง 2 นาย การตรวจสอบก็คงไม่เกิดขึ้น แต่กำลังเตรียมทำเรื่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบในวันที่ 28 มี.ค. เจตนาที่ออกมาแฉเพราะต้องการให้รองเลขาฯ ปปง. ออกจากราชการให้ได้ และจะให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางตรวจสอบ เส้นทางการเงินสกุลดิจิตอลกว่า 50 ล้านบาท ที่โอนเข้าไปให้ลูกชายนายชูวิทย์ และยืนยันไม่รู้จักหรือเกี่ยวข้องกับสารวัตรซัว พร้อมสาบานหากรับเงินจากฝ่ายใดก็ตามมาโจมตีนายชูวิทย์ ขอให้ล่มสลาย มีอันเป็นไป ส่วนพรรคการเมืองที่นายชูวิทย์โจมตีนั้น ก็ยังฟ้องร้องตนเองเช่นกัน ยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมือง

ขณะเดียวกัน ที่ศาลอาญา นายชูวิทย์พร้อมด้วยนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมาตามนัดศาลไต่สวนมูลฟ้องคดีที่นายชูวิทย์ฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตนายตำรวจคนดัง ในข้อหาแจ้งความเท็จ จากกรณีกล่าวหาโรงแรมของนายชูวิทย์เป็นแหล่งมั่วสุมยา เสพติด จากนั้นนายอนันต์ชัยกล่าวชี้แจงถึงกรณีนายษิทรากล่าวหานายชูวิทย์รับเงินว่า หลังจากนี้นายชูวิทย์จะไม่ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เเล้ว ไม่ใช่นายชูวิทย์กลัว เเต่ในฐานะทนายความแนะนำไว้ หากนายษิทราให้สัมภาษณ์พาดพิงนายชูวิทย์อีก จะโดนดำเนินคดีอาญาเเละเเพ่ง เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทต่อครั้ง

ซัดกันนัว – นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พร้อมด้วยทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ให้สัมภาษณ์เตรียมฟ้องคดีละ 100 ล้านบาท และร้องสภาทนายสอบนายษิทรา เบี้ยบังเกิด ขณะที่ทนายษิทราชี้แจงกรณีเรียกเงิน 3 แสนในการแถลงข่าว เมื่อวันที่ 27 มี.ค.

นายอนันต์ชัยกล่าวว่าส่วน เรื่องถุงเงิน หรือการรับเงินที่นายษิทราระบุ ต้องอย่าลืมว่าคดีอาญาใช้ประจักษ์พยานเป็นหลัก ไม่ใช่ดูพยานเเวดล้อมหรือพยานบอกเล่า สิ่งที่นาย ษิทราพูดคือพยานบอกเล่า พูดเเต่ว่าเขาว่า ต้อง ฟังด้วยความระมัดระวัง คดีนี้นายษิทราก็ไม่มีส่วนได้เสีย อยากให้คิดตามว่าหากเจอกันในศาลจะโดนซักค้านอย่างไร สิ่งเหล่านี้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ อยากฝากบอกนาย ษิทราว่าถ้าไม่ใช่ผู้เสียหาย เเล้วเป็นเพียงพยานบอกเล่า ต่อไปนี้หากหยิบยกเอกสารอะไรขึ้นมาพูดอีก นายชูวิทย์จะฟ้องครั้งละ 100 ล้านบาท ไม่อยากให้วิชาชีพทนายความเสียหาย เพราะทนายความต้องว่าความในศาล ไม่ใช่โซเชี่ยลมีเดีย และทราบมาว่าตอนนี้มีการร้องมรรยาททนายความเกี่ยวกับนายษิทราหลายคดี ที่เป็นปัญหาอยู่คือคดีของอดีตรองนายกฯ

ทนายความชูวิทย์กล่าวอีกว่าขอเเถลง 3 ประเด็น 1.เรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช่วงนายชูวิทย์ตีเเผ่เปิดโปงทุจริต คอร์รัปชั่น เเล้วมีบุคคลมาเเถลงข่าวโดยที่ไม่มีส่วนได้เสีย เเละไม่ใช่ประจักษ์พยาน ในศาลถ้าไม่ใช่ประจักษ์พยานเป็นพยาน บอกเล่า ศาลจะไม่รับฟัง ยกเว้นพยาน หลักฐานเเวดล้อม ใกล้เคียงสอดคล้องกัน เเต่การไปกล่าวหานายชูวิทย์เเละลูกชายไปรับเงิน ซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวยิ่งผิด อย่างเรื่องถุงที่ถ่ายถุง เพราะเอาไว้เเบล็กเมล์ เป็นการเริ่มจัดฉากว่าหากวันหนึ่งนายชูวิทย์ไม่ยอม จะถูกเปิดเผยขึ้นมา เเต่การรับเงิน 6 ล้าน หรือ 10 ล้านมีพยานหลักฐานหรือไม่ มีเเต่ภาพถ่ายถุงเงิน

2.เรื่องมรรยาททนายความ การที่นายษิทรา เป็นบุคคลผู้มีวิชาชีพทนายความ มีการแถลงข้อเท็จจริงที่คลาดเคลื่อน ข้อบังคับของสภาทนายความระบุว่า การกระทำอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องกันอันเป็นการหามูลไม่ได้ มีโทษสูงสุดต้องลบชื่อออกจากทะเบียน ทนายความ เเละต่อไปนายชูวิทย์จะต้องไปร้องสภาทนายความ เราชาวทนายความทั้งหมดรู้สึกว่าการกระทำเเบบนี้ไม่ถูกต้อง การกระทำดังกล่าวน่าจะผิดมรรยาท

นายอนันต์ชัยกว่า 3.ฝากเรียนโฆษกสำนักงานตำรวจเเห่งชาติ และปปง. ที่ออกมาระบุว่าสุ่มเสี่ยงฟอกเงิน อยากบอกว่านายชูวิทย์ ไม่เหมือนมังกรฟ้า ที่ครั้งนั้นตนเป็นทนายความให้ เเละให้สัมภาษณ์ว่าจะฟ้องกลับตั้งเเต่ตำรวจไปยันรัฐมนตรี รวม 14 คน เเต่ ลูกความไม่ฟ้อง ตนเลยเสียหมา เเต่สำหรับนายชูวิทย์ไม่ใช่ ถ้าตนบอกนายชูวิทย์ฟ้องเลย ควรจะพูดว่าต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อน ไม่ใช่สุ่มเสี่ยง คุณเป็นตำรวจอย่ามาเล่นกับตน นายชูวิทย์เอาจริง เเละคุณจะเดือดร้อน

ขณะที่นายชูวิทย์กล่าวว่าการเป็นทนายความ ต้องใช้ความสามารถ ต้องใช้หลักฐาน ใช้พยาน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายใช้การแถลงข่าว นั่นไม่ใช่วิถีของทนายความ ส่วนเงินบริจาค 6 ล้านบาท ที่ร.พ.คืนนั้น อยากให้ติดตามว่าวันที่ 28 มี.ค.นี้ จะเอาไปให้ใคร ตอนนี้มีกระบวนการ พยายามปิดปากตน ทั้งทนายความ พวกหิวแสง นักร้องเรียน ใครฟ้องมาก็จะฟ้องกลับ สู้ในทางกฎหมาย พร้อมสู้ทุกทางทุกเวลา ฝากไปบอกหมาลอบกัด พร้อมจะกัดตอบ ประกาศกูไม่กลัวมึง

นายชูวิทย์กล่าวอีกว่าทนายอนันต์ชัยพูดแทนไปหมดแล้วในสิ่งที่อยากจะพูด ทนายมีสติมากกว่าตน เมื่อมีสติปัญญาคนฟังก็จะเข้าใจ ตอนนี้เรื่องเยอะจนไม่มีสติเหมือนกัน ปัญญาก็เลยไม่มา มีทั้งเรื่องคดี คนนั้นคนนี้ไปร้อง ทุกเรื่องมาจากเรื่องเดียว ถ้าอยู่เฉยๆ ที่บ้านคงไม่มีเรื่องใช่หรือไม่ ทุกเรื่องที่พูดมีเหตุผลทั้งหมด ใครทำอะไรก็รู้อยู่ว่าใครจ้างมา เพราะไม่ทำให้ฟรีอยู่แล้ว ขนาดแถลงข่าวยังล่อลูกความไป 300,000 บาท เพราะแถลงข่าวมันรวยกว่า เห็นว่านั่งเฟิร์สต์คลาสไปเที่ยวต่างประเทศ ใช้ของแบรนด์เนม ใช้ชีวิตหรูหรา

วันเดียวกัน น.ส.ศรันยา หวังสุขเจริญ หรือทนายนิด้า โพสต์เฟซบุ๊กกรณีนายษิทราพาดพิง ทนายผู้หญิงคนหนึ่งเรียกเงิน 300,000 บาท ค่าออกรายการโหนกระแสว่า โหนกระแสมีทนายความผู้หญิงคนไหนออกรายการนี้บ้าง ถ้าทนายนิด้าเรียกค่าออกรายการ 300,000 บาท ไม่ใช่ตน ทำไมถึงต้องแถลงทิ้งบอมบ์คนอื่นต่อไปให้ตัวเองดูมีความชอบธรรมมากขึ้น วันนี้ประจักษ์แจ้งแล้วว่า พี่ไม่มีความเป็นลูกผู้ชายเลย ทำหนูทำไม และท้าให้ไปถามหนุ่ม กรรชัย ดูได้

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน