เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์หลังรับมอบวัคซีนโควิด 19 ไฟเซอร์ชนิด ไบวาเลนท์ จากนายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิตาลีประจำประเทศไทย ว่า รัฐบาลอิตาลีมอบวัคซีนไฟเซอร์ไบวาเลนท์ให้รัฐบาลไทย 7 ล้านโดส ถือเป็นจำนวนมากที่สุด และเป็นระยะเวลาเหมาะสมที่ไทยกำลังเร่งรณรงค์ให้ประชาชนฉีดเข็มกระตุ้นประจำปี การได้รับวัคซีนมาเพิ่มจะทำให้เกิดความมั่นคงทางวัคซีน ทั้งนี้เอกอัครราชทูตอิตาลีฯ ยังแจ้งด้วยวาจาว่า รัฐบาลอิตาลีมีเจตนารมณ์จะมอบวัคซีนโควิด 19 ชนิดโปรตีนซับยูนิตให้กับรัฐบาลไทยเพิ่มเติมด้วย โดยอยู่ระหว่างดำเนินการ แสดงถึงน้ำใจที่ยิ่งใหญ่จากมิตรประเทศที่ดี ซึ่งไทยและอิตาลีมีความสัมพันธ์ทางการทูตมากกว่า 150 ปี

นายอนุทินกล่าวว่า จำนวนวัคซีนโควิดทั้งจากที่จัดซื้อและรับบริจาค ขณะนี้มีอยู่กว่า 20 ล้านโดส เพียงพอต่อการฉีดเป็นเข็มกระตุ้นให้ประชาชนได้ครอบคลุมเพียงพอ ไม่ต้องจัดซื้อเพิ่มในปีนี้ จึงเชิญชวนให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเข้ามารับวัคซีน โดยสามารถรับควบคู่กับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ ส่วนช่วงนี้ใกล้เปิดภาคเรียนขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองนำบุตรหลานมารับวัคซีนเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป แม้ว่าเด็กจะแข็งแรงกว่าผู้ใหญ่ แต่เรายังต้องอยู่กับโควิด แม้ว่าองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศยุติภาวะฉุกเฉินของโรคโควิด 19 แต่เชื้อโควิดจะเป็นเหมือนไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ที่ยังต้องพึงระวัง หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยงก็อาจจะยังจำเป็นต้องใส่หน้ากาก

ด้านนายเปาโลกล่าวว่า แม้องค์การอนามัยโลกประกาศยุติภาวะฉุกเฉินของโควิด แต่เชื้อโควิดก็ถือว่ายังอันตราย และวัคซีนเป็นทางที่ดีในการป้องกัน การฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นยังจำเป็น ประชากรอิตาลีฉีดวัคซีนมากกว่า 3 เข็มครอบคลุมกว่า 80% สำหรับวัคซีนโควิดชนิดโปรตีนซับยูนิตอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย อนาคตก็จะมีความร่วมมือกับไทยต่อไป

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน