จัดฉากช่วยแอมลั่นฟ้องกลับแน่

รุดเข้าพบตำรวจกองปราบฯ แล้ว ‘ทนายพัช’ ปฏิเสธข้อกล่าวหาจัดฉากยักย้ายพยานหลักฐานเพื่อช่วยเหลือ ‘แอม ไซยาไนด์’ ยันให้ คำแนะนำต่างๆ ตามหน้าที่ของทนายอยู่ภายใต้ตามกรอบของกฎหมาย ฮึ่มฟ้องกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีนี้ เผยนอกจากมาตรา 157 แล้ว ยังจะใช้กฎหมายใหม่คือ พ.ร.บ. อุ้มหายเข้ามาเอาผิดเพิ่มเติมด้วยคำให้การต่างๆ ด้านรองผบก.ป.ระบุคำให้การขัดแย้งกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่สามารถหักล้างประเด็นต่างๆ ในคดีได้ มั่นใจเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานมากพอที่จะสามารถดำเนินคดีกับทนายพัชได้

กรณีกองบังคับการปราบปราม ออกหมายเรียกให้ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ หรือทนายพัช ทนายความของนางสรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ แอม ไซยาไนด์ ผู้ต้องหาคดีวางยาฆ่าชิงทรัพย์มาเข้าพบ เพื่อแจ้งข้อหาความผิดตามมาตรา 184 ผู้ใดเพื่อจะช่วยผู้อื่นมิให้ต้องรับโทษ หรือให้รับโทษ น้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 พ.ค. “ทนายพัช” น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ พร้อมด้วย นายไชยา คุ้มอ่ำ ทนายความ เดินทางเข้าพบพ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป., พ.ต.ท.ภาณุพงศ์ จันตระกูล สว.(สอบสวน) กก.5 บก.ป. เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียก โดยใช้เวลานานร่วม 2 ชั่วโมง การสอบสวนจึงแล้วเสร็จ

จากนั้นน.ส.ธันย์นิชาเปิดเผยว่า มารับทราบข้อกล่าวหา หลังถูกผู้ต้องหารายหนึ่งให้การซัดทอดหาว่าตนอยู่เบื้องหลังการจัดฉากยักย้ายพยานหลักฐาน ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง จึงปฏิเสธข้อกล่าวหาไปแล้ว ซึ่งตลอดเวลาที่เป็นทนายความให้นางสรารัตน์ ตนให้คำแนะนำต่างๆ ตามหน้าที่ของทนายอยู่ภายใต้ตามกรอบของกฎหมาย โดยยืนยันว่าไม่เคยเกี่ยวข้อง หรือแนะนำการจัดฉากยักย้ายหลักฐานต่างๆ แน่นอน ซึ่งได้ชี้แจงพนักงานสอบสวนถึงข้อเคลือบแคลงสงสัยต่างๆ ไปหมดแล้ว

น.ส.ธันย์นิชากล่าวต่อว่า ตนไม่เคยส่ง กระเป๋าให้น.ส.แก้ว และไม่เคยให้คำแนะนำใดๆ ทั้งสิ้น ที่ผ่านมาไม่เคยใช้และไม่เคยรู้จักกระเป๋าแบรนด์เนมเลย การถูกตั้งข้อกล่าวหาดังกล่าวก็มาจากการซัดทอดของผู้ต้องหาคนหนึ่งซึ่งไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไรที่ซัดทอดมาถึงตน ส่วนประเด็นที่ว่าเคยรู้จักน.ส.แก้วมาก่อนหน้านี้หรือไม่ ไม่ขอพูดถึง เพราะเป็นเรื่องในสำนวน

น.ส.ธันย์นิชากล่าวอีกว่า ขอยืนยันว่าตอนนี้ยังเป็นทนายความหลักให้นางสรารัตน์อยู่ ส่วนจะมีทนายความคนไหนเข้ามาช่วยเหลือเรื่องคดีด้วยก็สามารถทำได้ และเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่สามารถแต่งตั้งทนายความคนอื่นเพิ่มได้ แต่ต้องสอดคล้องกับทนายหลักที่ต้องยินยอมด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้มีรายงานว่ามีทนายความรายอื่นไปขอคัดสำนวนและขอเข้าพบนางสรารัตน์หลายครั้งและเบิกตัวมาขึ้นศาล ซึ่งทนายคนดังกล่าว ไม่ได้ขอมาทำงานร่วมด้วย แต่ตนขอไม่พาดพิงถึง

รับข้อหา – ‘ทนายพัช’ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณวัฒน์ อดีตทนายของ ‘แอม ไซยาไนด์’ เข้าพบตำรวจกองปราบฯ รับทราบข้อหาตามหมายเรียก โดยให้การปฏิเสธยืนยันไม่ได้อยู่เบื้องหลังจัดฉากใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อวันที่ 26 พ.ค.

ส่วนประเด็นที่ว่านางสรารัตน์จะฟ้องหมิ่นประมาทบุคคลต่างๆ ทั้งพิธีกรและสื่อมวลชน น.ส.ธันย์นิชากล่าวเพียงว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างหารือกับกลุ่มทนายใจดี แต่ยืนยันว่าขณะนี้เตรียมจะฟ้องร้องอย่างแน่นอน การทำหน้าที่ของทนายความนั้นมีหน้าที่ไปศาล ไม่ใช่มีหน้าที่ไปออกสื่อ ส่วนการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากมาตรา 157 แล้ว จะใช้กฎหมายใหม่คือพ.ร.บ.อุ้มหาย เข้ามาเพิ่มเติม ส่วนตัวนั้นก็อาจจะฟ้องร้องหมิ่นประมาทกับสื่อมวลชนบางสำนักด้วย โดยยืนยันไม่กังวลในประเด็นที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.จะใช้ทนายความมาช่วยคดีคนที่จะ ถูกฟ้อง

“ส่วนกระแสสังคมที่โจมตีตัวเองในประเด็นต่างๆ ตนมองว่าเป็นการทำคดีสวนกระแสสังคม เป็นปกติที่คนจะมองว่าตนเป็นคนไม่ดี แต่ยืนยันว่าไม่กังวลและยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ ภายในสัปดาห์หน้าตัวเองจะเข้าพบนางสรารัตน์อีกครั้งที่ทัณฑสถานหญิงกลาง เพื่อสอบถามแนวทางการดำเนินคดีเพิ่มเติมด้วย” น.ส.ธันย์นิชากล่าว

ด้านนายไชยากล่าวว่า การที่ทนายพัช ถูกเชิญตัวมารับทราบข้อกล่าวหาก็ไม่มีอะไรน่าหนักใจ เชื่อว่าการทำหน้าที่โดยสุจริต โปร่งใส ตอนแรกที่ต้องเลื่อนเข้าพบตำรวจนั้นเพราะยังไม่ได้รับหมายเรียก ซึ่งพอได้รับหมายเรียกก็รีบเดินทางมาเข้าพบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจทันที พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่าที่ทนายพัชถูกแจ้งข้อกล่าวหานั้นเป็นการเตะตัดขากัน และพยายามตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีนี้ จึงอยากขอโอกาสให้ทนายพัชเข้าไปช่วยเหลือลูกความอย่างเต็มที่ รวมทั้งยังเป็นสิทธิ์ของลูกความที่จะเลือกทนายเข้ามาช่วยเหลือคดีด้วย

ด้าน พ.ต.อ.เอนกกล่าวว่า จากการสอบสวน ทนายพัชให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และให้การแย้งในประเด็นต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนสงสัย ซึ่งคำให้การต่างๆ ค่อนข้างขัดแย้งกับข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และไม่สามารถหักล้างประเด็นต่างๆ ในคดีได้ ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่มีพยานหลักฐานมากพอที่จะสามารถดำเนินคดีกับทนายพัชได้

พ.ต.อ.เอนกกล่าวด้วยว่า ส่วนประเด็นที่กล่าวหาว่าตำรวจเตะตัดขาทนายความนั้นไม่น่าจะใช่ เพราะผู้ต้องหามีพฤติการณ์เกินกว่าการเป็นทนายความ และเกินกว่าขอบเขตตามมรรยาททนายความ จึงถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่เกี่ยวข้องกับการทำลายหลักฐาน ทั้งนี้ ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่าบุคคลที่ให้ปากคำซัดทอดมาถึงตัวทนายพัช แต่ยืนยันว่าบุคคลดังกล่าวมั่นใจในคำให้การและตำรวจก็สามารถสอบสวนจนหาพยานหลักฐานมายืนยันคำให้การได้ และถึงแม้นางสรารัตน์จะให้การพลิกไปพลิกมาทุกครั้งที่สอบปากคำ ก็จะยิ่งเป็นผลเสียต่อตัวผู้ต้องหาเอง เพราะจะทำให้เสียน้ำหนักทางรูปคดี จนอาจทำให้ศาลไม่เชื่อถือ ส่วนกรณีที่ทนายความของนางสรารัตน์แสดงความมั่นใจว่านางสรารัตน์จะแจ้งความเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ความผิดตามมาตรา 157 และกฎหมายใหม่ที่เพิ่งถูกประกาศใช้ก็เป็นสิทธิ์ที่ผู้ต้องหาสามารถทำได้

ที่สโมสรตำรวจ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.กล่าวว่า วันเดียวกันนี้ น.ส.ธันย์ นิชาได้เข้ารับทราบข้อหากับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามแล้ว เมื่อสอบปากคำเสร็จสิ้นเบื้องต้นที่ตนได้คุยกับพนักงานสอบสวนก็จะให้ประกันตัวปล่อยชั่วคราว เพื่อใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับนายตำรวจอดีตสามีนางแอม เนื่องจากมีฐานความผิดเดียวกันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม นอกจากนี้ ในส่วนของพนักงานสอบสวน ตนกำชับว่าในอาทิตย์หน้าจะไล่เรียงและสรุปสำนวนเพื่อเตรียมส่งทั้ง 15 สำนวนให้พนักงานอัยการต่อไป ยืนยันว่ามั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่ทั้งหมด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวถึงกรณีทนายพัชเตรียมจะฟ้องกลับบิ๊กโจ๊กในพ.ร.บ.อุ้มหาย ฐานบังคับขู่เข็ญให้แอมรับสารภาพนั้นว่า การสอบปากคำแอมทุกครั้งที่ไปในเรือนจำเป็นการร้องขอของผู้ต้องหาเอง และยืนยันทุกครั้งที่สอบไม่ได้ข่มขู่ หรือบังคับขู่เข็ญอะไร เพราะปัจจุบันตัวของแอมก็ยังไม่ได้รับสารภาพ ยังปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอยู่เลย ส่วนพ.ร.บ.การป้องกัน อุ้มหาย และซ้อมทรมานสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับตำรวจนอกรีต แต่ไม่ใช่คณะทำงานของคดีนี้ เพราะคดีดังกล่าวตั้งคณะทำงานขึ้นมาในรูปแบบคณะทำงาน เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ ยึดผลประโยชน์ของประชาชน ประเทศเป็นหลัก แต่หากตัวของทนายพัชยืนยันว่าจะฟ้องตนก็ฟ้องไป แต่สุดท้ายก็ต้องจำนนต่อหลักฐาน เพราะคดีนี้หลักฐานไกลแล้ว แต่หากหลักฐานไม่เพียงพอศาลคงไม่ออกหมายเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องรวมถึงทนายด้วย พร้อมยังบอกอีกว่า “กฎหมายก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่เวรกรรมก็มีอยู่จริง” พร้อมระบุอีกว่า ตนไม่คิดจะฟ้องกลับ เพราะไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งต่อกัน

วันเดียวกัน นายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย หรือทนายกุ้ง เปิดเผยถึงกรณีถอนตัวจากการเป็นทนายความให้ “แอม ไซยาไนด์” ผู้ต้องหาคดีวางยาฆ่าชิงทรัพย์ โดยใช้สารพิษไซยาไนด์ว่า ย้อนไปแต่ต้น ตนติดตามข่าวนี้มา ทราบว่านายแด้ เหยื่อที่เสียชีวิตไปนั้นเป็นชาวจ.อุดรธานีเหมือนกันกับตน และเคยพบเจอในตลาดสมัยยังอยู่อาศัยที่จังหวัดเดียวกัน และลูกความในคดีหนึ่งของตนแซวว่าไม่ลองไปดูคดีนี้หน่อยหรือ ประกอบกับตนสังเกตว่าทนายความคนเดิมมักจะพูดจาท้าทายจำเลย จึงตัดสินใจเดินทางไปทัณฑสถานหญิงกลาง พร้อมทำเรื่องขอเข้าพบกับแอม พอได้พบกันแอมบอกว่าจำตนได้จากที่เคยทำคดีแตงโม อดีตดาราสาวที่ตกแม่น้ำเสียชีวิต ก่อนพูดคุยกัน โดยแอมถามว่าตอนนี้ทนายความในคดีตัวเองถอนตัวออกกันหมดแล้วหรือ แล้วเจ้าตัวก็ร้องไห้ ก่อนขอให้ตนเป็นทนายว่าความให้ แต่แอมยังไม่มีเงิน ด้วยความที่ตัวเองไม่ได้หวังเงินจึงบอกว่าคิดแค่ 100 บาทเพื่อไม่ให้ผิดมารยาททนายความก็พอ ก่อนแอมจะบอกว่าเพิ่งส่งหนังสือถึงพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. ว่าจะรับสารภาพ ตนก็แนะนำขั้นตอนต่างๆ ให้ฟัง พร้อมทำหนังสือแต่งตั้งเป็นทนายความจำเลย

นายกฤษณะกล่าวอีกว่า ต่อมาวันที่ 24 พ.ค.ตนก็เข้าไปพบแอม แต่ก็พบว่าน.ส.ธันย์นิชามารอเข้าพบแอมด้วยเช่นกัน พอตนจะพูดคุยสอบถามอะไรทนายพัชก็ปฏิเสธ จึงไปพบแอมอีกครั้ง และเจ้าตัวอ้างว่าเรื่องการรับสารภาพนั้นแค่เล่าให้ฟัง จริงๆ ตัวเองไม่ได้จะรับสารภาพ และยังเล่าอ้างว่าคดีนี้มีเหยื่อเสียชีวิตไปแล้วเป็นผู้วางยาผู้เสียชีวิตคนอื่นต่างหาก ตนมองว่านางแอมพูดจาวกวน พยายามแนะนำว่าควรรับสารภาพ มิฉะนั้นก็คงพบอีกทีที่แดนประหารแต่นางแอมก็ไม่ยอมและบอกว่าจะขอคุยกับทนายพัช ตนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะครั้งแรกพูดอย่าง ครั้งต่อมาพูดอีกอย่าง ตนหวั่นจะตกเป็นเครื่องมือ ทั้งที่เสี่ยงเอาตัวเองมาถูกด่าแล้ว เมื่อคืนพอตรึกตรองจึงประกาศถอนตัวไม่ยุ่งคดีนี้อีกแล้ว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน