ป่วยครั้งแรกพุ่ง ห่วง‘กลุ่มเสี่ยง’
กทม.-ปริมณฑลโควิดระบาดพุ่ง สธ.ระบุหนักกว่าพื้นที่อื่น ชี้ยอดป่วยเพิ่มขึ้นเป็นไปตามคาด ส่วนผู้เสียชีวิตแนวโน้มเริ่มลด สัปดาห์ล่าสุด 42 ราย กลุ่มเสี่ยงยังเป็น 608 ที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนตามกำหนด ส่วนใหญ่พบติดจากลูกหลาน ในครอบครัว ย้ำคนไม่เคยติดเชื้อเป็นกลุ่มเสี่ยง พบคนป่วยครั้งแรกจำนวนพุ่ง เร่งสำรวจสูงวัยฉีดวัคซีนประจำปี ‘หมอธีระวัฒน์’ ห่วงกระแสแตกตื่นโควิด ชี้เหมือนหวัดที่ใครๆ ก็เป็นได้ บางคนติดแต่ไม่มีอาการ ส่วนมีอาการ ตรวจเอทีเคไม่ขึ้น ให้รีบกินฟ้าทะลายโจร แนะเป็นแล้วรีบรักษา ลดปัญหาลองโควิด
เมื่อวันที่ 29 พ.ค. นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านสาธารณสุขกรณีโรคโควิด-19 ว่า หลังจากประเทศไทยประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังตั้งแต่ ต.ค.2565 และองค์การอนามัยโลกยกเลิกภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่ไม่ได้แปลว่าโรคโควิด-19 จะหมดไปจากโลกนี้ แต่ความรุนแรงลดระดับลง การแพร่ระบาดไม่ได้รุนแรงแบบทั่วโลก จึงปรับมาตรการให้สอดคล้องกัน ส่วนประเทศไทยมีการเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ มีการแจ้งเตือน และจัดเตรียมเวชภัณฑ์ให้สอดคล้องกัน รวมทั้งคาดการณ์ว่าหลังช่วงสงกรานต์ ช่วงเปิดเทอมและเข้าสู่ฤดูฝนอาจมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเพิ่มขึ้น จากการติดตามตัวเลขทั่วโลกพบว่า จำนวน ผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตลดน้อยลงเมื่อเทียบกับช่วงระบาดใหญ่
“ข้อมูลที่เราสนใจ คือผู้ป่วยหนักและ เสียชีวิตก็ยังเป็นไปตามคาดการณ์ว่าหลังสงกรานต์จะมีผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยสัปดาห์ที่ผ่านมามี 42 ราย ลดลงจากสัปดาห์ก่อนหน้าที่มี 60 กว่าราย ดูแนวโน้มอัตราเริ่มลดน้อยลง ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เสียชีวิตเป็นกลุ่ม 608 คือ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 โรค และหญิงตั้งครรภ์ จากการวิเคราะห์ทางระบาดวิทยา พบว่าคนอายุ 60 ปีขึ้นไปเมื่อป่วยมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า และอายุ 70 ปีขึ้นโอกาสเสียชีวิตมากกว่า 4 เท่า ปัจจัยสำคัญ ที่เสียชีวิตคือเกือบทั้งหมดไม่ได้ฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของ สธ. บางคนไม่ฉีดเลยสักเข็ม จากการกลัวผลข้างเคียง” นพ.โอภาสกล่าว
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า วัคซีนมีประโยชน์ช่วยลดการป่วยและเสียชีวิต ขอให้ลูกหลานพาผู้สูงอายุในบ้านไปฉีดวัคซีน แต่บางครั้งพบว่าลูกหลานคือคนที่กลัวผลข้างเคียง จึงขอย้ำว่าให้ฉีดวัคซีนประจำปี ซึ่งรณรงค์ตั้งแต่ วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะคนที่ยังไม่ได้เคยฉีดเลยก็ไปฉีดได้ นอกจากนี้คนที่ติดเชื้อและเสียชีวิตพบว่ามักติดเชื้อจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งไม่ได้ออกไปไหน แต่ลูกหลานที่มีกิจกรรมนอกบ้าน เมื่อติดเชื้อทั้งที่มีอาการและไม่มีอาการก็เอามาติด ดังนั้นการฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการเร่งด่วนสำหรับผู้สูงอายุกลุ่ม 608 ที่ยังไม่ฉีดเลย สักเข็ม ส่วนผู้ที่มีผู้สูงอายุในบ้าน หากตนเองมีอาการทางเดินหายใจไม่ควรเข้าไปสัมผัสใกล้ชิดผู้สูงอายุ หรือใส่หน้ากากอนามัย จะช่วยลดความเสี่ยงผู้สูงอายุได้
ปลัดสธ. กล่าวด้วยว่า สำหรับสายพันธุ์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องและจับตา คือ XBB.1.16 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทย แต่ความสามารถในการแพร่ระบาดไม่ได้สูงกว่าสายพันธุ์อื่นอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งความรุนแรงไม่ได้รุนแรงกว่าสายพันธุ์เดิม แม้มีข่าวว่าร.พ.บางแห่งบอกว่า ER โควิดเต็ม เตียงโควิดเต็ม อาจเป็นบางร.พ.ที่เต็ม เพราะลดระดับเตียงโควิดลง แต่ภาพรวมทั้งประเทศและกทม. เตียงที่สำรองไว้สำหรับผู้ป่วยโควิด อัตราใช้เตียงอยู่ที่ 22% ย้ำว่าเตียงบุคลากร ยามีความพร้อม อีกประเด็น คือการติดเชื้อมีบางสถานที่ที่มีความเสี่ยง เช่น เรือนจำ เพราะมีคนอยู่แออัด และมีการเข้าออกสม่ำเสมอ แม้จะมีมาตรการกักตัว ก็ขอให้คงมาตรการไว้ และจะประสานกับทางเรือนจำ กรมราชทัณฑ์ ในการฉีดวัคซีนผู้ต้องขังผู้ต้องกักในเรือนจำต่างๆ
“การระบาดในเขต กทม.และปริมณฑล พบว่ามากกว่าเขตอื่นของประเทศไทย แม้ตัวเลขห่างไกลจากการระบาดมากๆ ช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องให้ความสนใจ คือผู้ป่วยอาการหนัก ขอให้กรมควบคุมโรคในฐานะเลขานุการคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ทำหนังสือประสานประธานคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม./จังหวัด ทุกจังหวัด โดยเฉพาะเขตปริมณฑล ให้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด บูรณาการใช้กลไกคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดดำเนินการประสานความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะกทม. ซึ่งเราไม่มีร.พ.ของสำนักงานปลัดสธ. และกทม.มีร.พ.หลากหลายรวมทั้งเอกชน จึงเป็นหน้าที่ประธานคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม.ต้องช่วยดูแลจุดนี้ ซึ่งสธ.ยินดีสนับสนุนเวชภัณฑ์ ข้อมูลต่างๆ ที่จะประสานเกี่ยวข้องกัน รวมทั้งขอให้สำรวจว่ามีผู้สูงอายุจำนวนเท่าไร ไม่ได้ฉีดวัคซีนเท่าไรแม้แต่เข็มเดียว ขอให้เร่งรัดฉีดวัคซีน โดยกรมควบคุมโรค จะประสานจัดส่งวัคซีนให้เร่งรัดการฉีดวัคซีนประจำปี ประสานบูรณาการส่งต่อผู้ป่วย ร.พ.ไหนผู้ป่วยเต็ม ก็เป็นหน้าที่แต่ละจังหวัดบูรณาการส่งต่อผู้ป่วยไปยังร.พ.ที่ไม่เต็ม” นพ.โอภาสกล่าว
เมื่อถามถึงอาการของการติดเชื้อในขณะนี้แตกต่างจากเดิมหรือไม่ ส่วนใหญ่เป็นการ ติดซ้ำหรือไม่ นพ.โอภาสกล่าวว่า อาการ ไม่แตกต่าง ยังคงเหมือนเดิม แต่คนอาการหนักเสียชีวิต คืออาการปอดบวม และระบบทางเดินหายใจล้มเหลวเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก บางคนมีโรคแทรกซ้อน คือโควิดหายแล้ว แต่โรคแทรกซ้อนอาจถูกกระตุ้นให้รุนแรงขึ้น ที่พบบ่อยคือโรคไตวายเรื้อรัง ขอให้ใส่ใจระมัดระวังกลุ่มเหล่านี้ด้วย ส่วนระยะหลังมีทั้งติดครั้งแรกและติดซ้ำ ข้อสังเกตคือคนยังไม่เคยติดเชื้อถือเป็นกลุ่มเสี่ยงอีกกลุ่มหนึ่ง หลังๆ พบคนไม่เคยติดเชื้อก็ติดเชื้อครั้งนี้ครั้งแรกจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนจึงไม่ค่อยมีอาการ จากการสำรวจที่ผ่านมาคนไทย 90% มีภูมิต่อโรคโควิดแล้ว ทั้งจากการติดเชื้อธรรมชาติหรือการฉีดวัคซีน คนติดครั้งที่สองพบเพิ่มขึ้น แต่อาการน้อยถึงไม่มีอาการ บางครั้งติดเชื้อครั้งที่สามแต่ก็ยังน้อยอยู่ ยืนยันว่าวัคซีนยังมีเพียงพอ สามารถประสานมาที่กรมควบคุมโรคได้
ด้านศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ ร.พ.จุฬาลงกรณ์ กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ขณะนี้เราควรทำ โควิด-19 ให้เป็นเรื่องปกติได้แล้ว เนื่องจากเราฉีดวัคซีนป้องกันไปแล้ว 3 เข็มก็เหลือเฟือ และถ้าติดตามธรรมชาติจะมีภูมิคุ้มกันคู่ที่ลดอาการหนักและการตายได้อย่างชัดเจน สิ่งสำคัญคือตอนนี้กระแสตื่นโควิดมาอีกแล้ว ทั้งที่ควรต้องทำความเข้าใจว่า โควิดเป็นโรคประจำถิ่น ก็เหมือนหวัดที่ใครๆ ก็เป็นได้ และบางครั้งเราเป็น เรายังไม่รู้ตัว เพราะไม่ได้ตรวจ หรือตรวจไม่เจอ เพราะผลการตรวจ ATK ขึ้นช้า ก็เข้าใจว่าไม่ติด ตรงนี้เป็นปัญหา หากเรารักษาเร็วก็จะมีประโยชน์ลดอาการลองโควิดได้
ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวต่อว่า รายงานของประเทศไทย โดยอาจารย์ปารวี ชีวะอิสระกุล รามาธิบดี ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Scientific report เมื่อต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ระบุว่าคนไทยในปัจจุบันอาจติดโดยไม่มีอาการมากกว่า 24% ก็จะคล้ายๆ หวัดตามฤดูกาล ที่บางคนเป็นหวัดแต่ไม่มีอาการมาก หรือไม่มีอาการแล้วไปแพร่เชื้อก็ได้ หากเราเริ่มครั่นเนื้อครั่นตัว แม้ไม่ไอ หรือแค่เจ็บคอ พอตรวจ ATK ไม่ขึ้นก็ให้กินยาฟ้าทะลายโจรไปเลย จากนั้นค่อยมาตรวจใหม่ บางคนก็ไม่ขึ้น แต่บางคนขึ้น 2 ขีดก็กินยาฟ้าทะลายโจรตามสูตรกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กำหนดจนครบ 5 วัน
“การรักษาเร็วที่สุดเป็นเรื่องสำคัญมาก ไม่ต้องรอให้ ATK ขึ้น 2 ขีด เพราะอาจ ขึ้นช้า แต่เราสามารถกินยาฟ้าทะลายโจรขนาดตามที่สธ.ประกาศไปก่อน ที่ผ่านมาเราใช้รักษากรณีไข้หวัดธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ได้กินทุกวัน กินเฉพาะมีอาการ ขอย้ำว่าถ้าครั่นเนื้อครั่นตัวไม่สบาย ไม่ต้องรอ ATK 2 ขีด เพราะมันขึ้นช้า บางทีรอไป 3-4 วันมาขึ้นก็มี ซึ่งอาการจะหนัก แต่บางคนไม่ได้ไอ ไม่เจ็บตัวด้วย แค่ปวดตัว ท้องเสียนิดๆ หน่อยๆ ครั่นเนื้อครั่นตัวก็เริ่มด้วยฟ้าทะลายโจรได้เลย หากไม่ใช่โควิด 1-2 วันก็จะดีขึ้นแล้ว ระหว่างนั้นตรวจไปเรื่อยๆ หาก 2 ขีดก็กินจนครบ 5 วัน แต่หากเป็นโควิดแล้ว 2 วันไม่ดีขึ้นก็ต้อง ให้ยาโมลนูพิราเวียร์และแพกซ์โลวิด” ศ.นพ. ธีระวัฒน์กล่าว
ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทั่วโลกต่างมีข้อมูลเรื่องลองโควิดว่า 30% ของคนที่เป็นโควิดก็อาจได้รับผลกระทบไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประกอบด้วยรู้สึกเหนื่อยง่ายผิดปกติ แม้ตรวจเส้นเลือดหัวใจก็ไม่เจออะไร มีอาการทางสมอง ทางจิตอารมณ์ มีอาการทางสมองเสื่อมปรากฏขึ้น หรือเคยมีภาวะสมองเสื่อมเก่าก็จะรุนแรงขึ้น อาการเหวี่ยง หดหู่ ซึมเศร้า หรือแม้กระทั่งนอนไม่หลับ และยังมีอาการบ่งบอกภาวะอักเสบในร่างกาย ได้แก่ ผื่นผิวหนัง ผมร่วง ปวดเส้นเอ็น ปวดข้อ กระทั่งประจำเดือนมาผิดปกติ หรือไม่มา หรืออารมณ์ทางเพศด้อยลง อีกทั้งยังมีอาการทางเดินอาหาร ท้องผูก ท้องเสีย หรือมีอาการลำไส้แปรปรวน รวมถึงยังอาจเป็นเริม งูสวัดปะทุขึ้นมาได้ เพราะภูมิคุ้มกันเราลด
ศ.นพ.ธีระวัฒน์กล่าวด้วยว่า ส่วนระยะเวลาของการเป็นลองโควิดนั้น มีทั้งระยะกลาง 3-4 เดือนหลังจากติดโควิดไปแล้ว และระยะลองโควิดคือ 4-5 เดือนขึ้นไป ซึ่งจุดแบ่ง ตรงนี้ไม่ชัดเจน แต่ไม่ต้องกังวล เพราะเป็น ผลตามต่อเนื่องจากการติดโควิด อย่างไรก็ตาม การรักษาเร็วมีแนวโน้มช่วยป้องกันภาวะลอง โควิดได้ และประชาชนไม่ต้องตกใจ เพราะพิสูจน์แล้วเช่นกันว่ากินอาหารเข้าใกล้มังสวิรัติ ลดเนื้อสัตว์บก กินปลา กุ้ง หอย ปู อาหารทะเล ปลาน้ำจืด ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ หากเป็นผู้สูงอายุ เดินหมื่นก้าว ตากแดดบ้าง งดของหวาน ลดแป้ง ก็จะช่วยได้ และไปเพิ่มพวกอาการกากใยแทน พวกนี้จะลดการอักเสบในร่างกายได้ คนที่ไม่มีอาการเลย อาจเป็นไปได้ว่าร่างกายต้นทุนสุขภาพพร้อมอยู่แล้ว เช่นมีระบบต่อต้านการติดเชื้อ การอักเสบพร้อมอยู่แล้ว และขณะนี้ มีระบบต่อต้านการอักเสบ ซึ่งค้นพบแต่ยังไม่สามารถนำมาเป็นยาได้ โดยระบบตรงนั้น เป็นระบบละลายการอักเสบไม่กดภูมิคุ้มกัน เช่น การใช้สเตียรอยด์ลดการอักเสบอาจลดภูมิฯ แต่ระบบละลายการอักเสบ ซึ่งเป็นระบบในร่างกายของเรา มีรายงานเรื่องนี้ปี 2016-2017 ของสหรัฐ และขณะนี้มีบริษัทยาหลายแห่งกำลังพัฒนาเป็นยาอีก แต่ระบบละลายการอักเสบมีหมด แต่มากน้อยไม่เหมือนกัน
“การฉีดวัคซีนป้องกันโควิดในคนทั่วไป ขอแนะนำไม่ควรเกิน 3 เข็ม เพราะโควิดก็เหมือนไข้หวัดแล้ว อีกทั้งรายงานวารสารทางการแพทย์ 2022 จนถึงปัจจุบัน พบว่าฉีดวัคซีนมากเกินไปทำให้ระบบเซลล์ที่ป้องกันอาการหนัก ป้องกันการเสียชีวิตลดประสิทธิ ภาพลงได้ จริงๆ หากไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง 608 ก็ไม่ควรฉีดวัคซีนกันมากกว่า 3 เข็ม เพราะ โควิดก็ไม่ได้อันตราย เป็นโรคฉุกเฉิน เหมือนอดีต อีกทั้งองค์การอนามัยโลกก็ประกาศไม่ใช่โรคฉุกเฉินอีกแล้ว” น.พ. ธีระวัฒน์กล่าว
วันเดียวกัน น.พ.สุรวิทย์ ศักดานุภาพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาคร ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะกรรมการจังหวัดว่า ปัจจุบันตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สมุทรสาครเริ่มมากขึ้น ตอนนี้เฉลี่ยพบผู้ติดเชื้อวันละประมาณ 700 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ติดเชื้อที่อาการไม่รุนแรง เมื่อรับยาก็สามารถกลับไปพักรักษาตัวที่บ้านได้ 3-5 วัน ส่วนผู้ที่มีอาการจนโรงพยาบาลต้องรับตัวไว้ในการดูแลอย่างใกล้ชิดจะอยู่ในกลุ่มผู้ที่มีโรคร่วม คือเป็นโรคอื่นอยู่แล้วและมีการติดเชื้อโควิดเพิ่ม ซึ่งโรงพยาบาลทุกแห่งในสมุทร สาครได้ขยายเตียงเพื่อรองรับผู้ติดเชื้อเพิ่ม ซึ่งขณะนี้ยังเพียงพอต่อการรองรับได้ ขณะที่อัตราครองเตียงอยู่ที่ร้อยละ 60 ผู้ป่วยที่นอนโรงพยาบาลประมาณวันละ 120 ราย ผู้ป่วยสีเหลืองและแดงกำลังเพิ่มมากขึ้น ส่วนผู้เสียชีวิตนั้น ในเดือนเม.ย. มี 2 ราย เดือนพ.ค. เสียชีวิตแล้ว 14 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ กลุ่ม 608 มีโรคประจำตัว เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง หัวใจหลอดเลือด หรือเป็นผู้ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน หรือฉีดวัคซีนไม่เป็นไปตามระบบ หรือห่างเกิน 6 เดือน
ด้านนายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าฯ สมุทรสาคร กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันนี้ การติดเชื้อโควิด-19 แม้อาการจะไม่รุนแรงอย่างที่ผ่านมา แต่เรื่องการแพร่ระบาดก็กำลังสูงขึ้น ดังนั้นเรื่องการเฝ้าระวังและการเตรียมแผนรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยเฉพาะต้องวางแผนรับมือการแพร่ระบาดที่จะเกิดขึ้นทั้งใน จ.สมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียง นอกจากนี้ยังเน้นย้ำให้เฝ้าระวังเป็นพิเศษในกลุ่ม เปราะบาง หรือ 608 ที่สามารถติดเชื้อ โควิด-19 ได้ง่ายและเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนจนนำไปสู่อาการที่รุนแรงหรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
ส่วนอีกกลุ่มคือกลุ่มผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการเป็นกลุ่มที่สามารถแพร่เชื้อสู่กันได้อย่างรวดเร็วเพราะอยู่ร่วมกันจำนวนมาก จึงขอให้มีการแจ้งไปยังท้องที่ท้องถิ่น อสม.ให้รณรงค์มาตรการป้องกันโควิด-19 ที่เข้มข้น รวมทั้งการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มที่มีโรค ประจำตัว สถานที่ที่อยู่กันเป็นกลุ่มก้อน โรงเรียน สถานประกอบการ ต้องใช้มาตรการป้องกันที่เข้มงวด และต้องเตรียมแผนเผชิญเหตุให้พร้อม