จับตาช่วงโหวตนายก เสื้อเหลืองบุกหนุนสว. ไม่เลือกพรรคแก้ 112 พิธายังไม่ยื่นทรัพย์สิน

ฝ่ายความมั่นคงเตรียมพร้อมรับมือม็อบจากปมโหวตนายกฯ ขณะที่เสื้อเหลืองบุกสภาหนุนส.ว.ไม่ยกมือ ให้พรรคยกเลิกมาตรา 112 ‘พิธา’ หลบสื่อเลี่ยงสัมภาษณ์ปมร้อน ป.ป.ช.เผยยังไม่ได้ ยื่นบัญชีทรัพย์สิน เดดไลน์ 18 มิ.ย.นี้ รอเช็กยังมีหุ้นไอทีวีหรือไม่ นักร้องยื่นปมหุ้นสื่อให้กกต.สอบซ้ำ ‘เศรษฐา’ ยืนยันไม่นั่ง รองนายกฯ สมช.ถกหน่วยงานความมั่นคง สั่งสอบเอาผิดกิจกรรม ‘การกำหนดอนาคตตนเอง’ ทำประชามติแบ่งแยกดินแดน ยันมีพรรคการเมืองเอี่ยวทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง มทภ.4 ลั่นมีหลักฐานชัดเจน กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบันยื่นนายกฯ เอาผิดข้อหากบฏ

เศรษฐาปัดนั่งรองนายกฯ
เวลา 10.30 น. วันที่ 12 มิ.ย. ที่พรรคเพื่อไทย นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่มีสื่อมวลชนเปิดเผยคลิปการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่ไม่ตรงกับรายงานบันทึกการประชุมเรื่องสถานะไอทีวีว่า ตนไม่เห็นด้วย หากมีการทำเอกสารปลอม ต้องให้ความยุติธรรมกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เพราะอย่างที่บอกว่าหน้าที่ของเราคือเป็นพรรคเบอร์สอง เราเป็นกำลังใจให้ ทั้งนี้ คณะทำงานของพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังต้องทำงานต่อไป

เมื่อถามถึงโผ ครม. ที่ปรากฏว่านาย เศรษฐา นั่งเก้าอี้รองนายกฯ นายเศรษฐากล่าวว่า “ผมพูดแทนคนอื่นไม่ได้ แต่พูดแทนตัวเองได้ ชัดเจนครับ ผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นแน่นอน และผมไม่ได้อยู่ในคณะที่ร่วมกับพรรค ก้าวไกลในการจัดตั้งครม. ผมก็เห็นโผนั้นเช่นกันที่บอกว่าผมเป็นรองนายกฯ แต่ไม่จริงหรอก ไม่มีการคุย เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการที่ต้องไปคุยกัน หน้าที่ของผมคือการดูแลเรื่องการรีแบรนด์พรรค พท. และวันนี้ก็มีการประชุมคณะกรรมการนโยบาย”

ผลักดัน – นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมลูกจ้างส่วนราชการและผู้รับบำเหน็จรายเดือน และสมาคมลูกจ้างสาธารณสุข ขอให้สนับสนุนแก้กฎหมายเพิ่มสวัสดิการรักษาพยาบาล ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อ 12 มิ.ย.

พิธายิ้มสู้ยังไม่ตอบหุ้นสื่อ
ส่วนความเคลื่อนไหวที่พรรคก้าวไกล ซึ่งมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี เดินทางมาถึงเวลา 10.00 น. ด้วยรถตู้สีขาวซึ่งเป็นรถประจำตัว แต่ให้รถสีแดงซึ่งเป็นรถของเจ้าหน้าที่พรรคไปรับที่ปากทางเข้าพรรค

นายพิธามาถึงพรรคด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและโบกมือทักทายผู้สื่อข่าว โดยไม่ได้ตอบคำถามใดๆ เรื่องความกังวลเรื่องหุ้นไอทีวีหรือไม่ ก่อนเดินเข้าอาคารทันทีเพื่อประชุมประจำสัปดาห์

เปลี่ยนรถเลี่ยงให้สัมภาษณ์
เวลา 14.00 น. ภายหลังเข้าร่วมประชุมเพื่ออัพเดตการทำงาน และหารือถึงสถานการณ์ทางการเมืองโดยเฉพาะประเด็นร้อนเรื่องหุ้นสื่อไอทีวี ภายหลังจากเมื่อมีการเปิดหลักฐานใหม่ เป็นคลิปข้อมูลการประชุมผู้ถือหุ้น ไอทีวี ที่บันทึกการประชุมคลิปวิดีโอไม่ตรงกับเอกสารที่เปิดมาก่อนหน้านี้ ประเด็นการดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือทีวีหรือไม่

นายพิธาได้เดินทางออกจากพรรคไปทันทีโดยเปลี่ยนรถนั่ง โดยช่วงเช้าเข้าพรรคมาด้วยรถเก่งสีแดง แต่ตอนออกจากพรรครถตู้ได้ขับออกไปก่อน จากนั้นนายพิธาขึ้นรถเก๋งสีดำจากชั้น 2 ของลานจอดรถและนั่งออกไปจากพรรคทันที ครู่เดียวรถเก๋งสีดำกลับเข้ามาที่พรรค คาดว่าน่าจะไปส่งนายพิธาขึ้นรถตู้ สีขาวที่ออกไปก่อน

ทั้งนี้ หลัง กกต.ตั้งเรื่องไต่สวนนายพิธา กล่าวหามีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิ สมัครรับเลือกตั้ง ตาม มาตรา 151 พ.ร.ป เลือกตั้ง ส.ส. กรณีถือครอง หุ้นสื่อ จนกระทั่งมีประเด็นเรื่องคลิปหลักฐานใหม่ในการประชุมผู้ถือหุ้นที่ไม่ตรงกับเอกสาร รายงานการประชุม นายพิธาก็ยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใดๆ

‘พิธา’ยังไม่ได้ยื่นแจงทรัพย์สิน
ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการ ป.ป.ช. ให้สัมภาษณ์ถึงภาพรวมการยื่นแสดงรายการบัญชีรายชื่อทรัพย์สินและหนี้สินของ ส.ส.กรณีพ้นจากตำแหน่งว่า ตามกฎหมายต้องยื่นภายใน 60 วันหลังพ้นตำแหน่ง ซึ่งครบกำหนดเมื่อ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะนี้มีการยื่นทรัพย์สินมายัง ป.ป.ช.แล้ว ประมาณ 384 ราย หรือกว่า 70% แล้ว ที่เหลือที่ยังไม่ได้ยื่นอีกประมาณ 100 กว่าบัญชี มีหลายรายที่ขอขยายเวลา ตามกฎหมายขยายได้ 30 วัน โดยจะครบ 18 มิ.ย.นี้

เมื่อถามว่า นายพิธาได้ยื่นกรณีพ้นจากตำแหน่ง ส.ส.มาแล้วหรือไม่ นายนิวัติไชยกล่าวว่า ยังไม่ได้ยื่นและทราบว่ามีหนังสือขอขยายเวลาส่งมาที่ ป.ป.ช. ซึ่งจะครบกำหนดยื่น 18 มิ.ย.นี้เช่นกัน เมื่อถามว่าหากครบ 18 มิ.ย. ยังขยายเวลาได้อีกหรือไม่ นายนิวัติไชยกล่าวว่า ความจริงในกฎหมายไม่มีเขียนว่าให้ขยายได้อีกแต่อยู่ที่ผู้ยื่น โดยดูที่เจตนาว่ายื่นล่าช้าเพราะอะไร เราดูเจตนาเป็นหลัก ซึ่งหลักกฎหมายที่เขียนไว้คือหากมีเจตนาปกปิด อำพราง ซ่อนเร้น ทรัพย์สินหรือหนี้สินและตรวจพบว่ามีพฤติการณ์เช่นนั้นจึงจะสามารถวินิจฉัยชี้มูลความผิดได้

ปปช.เช็กปมหุ้นไอทีวี
เมื่อถามถึงกรณีนายพิธา ที่ถูกสังคมจับตาเป็นพิเศษ ป.ป.ช.ต้องตรวจสอบเข้มข้นเป็นพิเศษหรือไม่ นายนิวัติไชยกล่าวว่า เป็นเรื่องของการตรวจสอบโดยปกติ ป.ป.ช.ไม่ได้เพ่งเล็ง หลักการตรวจสอบคือทุกคนต้องเข้าสู่กระบวนการเดียวกัน บรรทัดฐานเดียวกัน

เมื่อถามว่า การที่นายพิธายื่นทรัพย์สิน เพิ่มในส่วนหุ้นไอทีวี ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบ คืบหน้าอย่างไร นายนิวัติไชยกล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ สำหรับเรื่องหุ้นไอทีวีนายพิธายื่นเพิ่มเติมภายหลังเมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เมื่อปี 62 และเมื่อมีข่าว มีข้อมูล เกี่ยวกับการข้อกล่าวหา ป.ป.ช.ก็ต้องไปตรวจสอบว่าเป็นหุ้นไอทีวีหรือไม่ หรือหุ้นอะไร มีมูลค่าเท่าไร เป็นการยื่นในฐานะ ผู้จัดการมรดกตามที่เขาหมายเหตุเอาไว้หรือไม่ มีคำสั่งศาลหรือไม่ ตรงนี้เราต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง

ส่วนกรณีนายพิธาโอนหุ้นไอทีวีล่าสุดตามที่เป็นข่าว เราต้องคอยดูข้อมูลประกอบกรณีนายพิธาจะยื่นทรัพย์สินกรณีพ้นตำแหน่ง ส.ส. โดยไปดูประกอบกันระหว่างวันที่เข้ารับตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่ง เปรียบเทียบกัน เพื่อดูว่ายังมีอยู่หรือไม่ ขณะนี้นายพิธายัง ไม่ได้ยื่นเข้ามา หากยื่นมาแล้วไม่มีหุ้นไอทีวี ก็ต้องดูว่าหุ้นที่หายไปมีมูลค่าเท่าไร ซึ่ง เจ้าหน้าที่อาจต้องตรวจสอบเพิ่มเติมได้ถ้าเห็นว่าเป็นสาระสำคัญ

‘โรม’จี้คดี – นายรังสิมันต์ โรม ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล เดินทางไปยังสำนักงานจเรตำรวจ ติดตามความคืบหน้าคดีจาก พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ กรณีการแทรกแซงคดีของ ‘ส.ว.ทรงเอ’ ผู้ต้องหาคดีฟอกเงิน เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.

นักร้องยื่นร้องซ้ำกกต.
ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล อดีตแกนนำกลุ่มพิราบขาว 2006 ยื่นคำร้องขอให้กกต.ตรวจสอบการถือครองหุ้นสื่อของนายพิธา เข้าข่ายมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) หรือไม่ ซึ่งเป็นการยื่นใหม่หลัง กกต.ปัดตกคำร้องเนื่องจากเห็นว่าเป็นการยื่นเกินเวลา

นายนพรุจกล่าวว่า ที่กกต.ปัดตกคำร้องไม่ได้แปลว่าเรื่องนี้ตกไป มีเป็นความปรากฏต่อกกต.จึงสั่งดำเนินคดีอาญามาตรา 151 ตนจึงมายื่นคำร้องให้กกต.ตรวจสอบเป็นกรณีใหม่ ซึ่งเป็นการยื่นหลังการเลือกตั้ง และเป็นประเด็นที่นายพิธาโอนหุ้นให้บุคคลอื่นหลังเลือกตั้ง ทั้งนี้หาก กกต.ไม่ดำเนินการหรือล่าช้า จะไปยื่นต่อ ส.ส.เพื่อให้เข้าชื่อ 1 ใน 10 คน ยื่นผ่านประธานรัฐสภาต้องส่งตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งยื่นให้วุฒิสภา โดยเฉพาะคณะกรรมการตรวจสอบหุ้นของวุฒิสภาให้ตรวจสอบถ่วงดุลกับ กกต.

“ใครจะไปดำเนินการแจ้งความเท็จ จะกลายเป็นเท็จซ้อน ต้องฝากด้วย เพราะกกต.เป็นคนพูดว่าความปรากฏ ความจริงไม่ใช่ความเท็จ ไม่อย่างนั้น กกต.ก็จะถูกดำเนิน คดีเอง ” นายนพรุจกล่าว เมื่อถามว่านายพิธาบอกว่ามีความพยายามฟื้นไอทีวีให้เป็นสื่อ เพื่อมาเล่นงานตัวเอง นายนพรุจกล่าวว่า เป็นวาทกรรมและอาจเป็นมโน ทุกอย่างและ ข้อเท็จจริงจะปรากฏในชั้นศาล

กำลังใจส.ว. – คณะประชาชนคนรักในหลวง สวมเสื้อสีเหลือง รวมตัวให้กำลังใจส.ว. ขอให้งดสนับสนุนพรรคแก้มาตรา 112 พร้อมขอรับการสนับสนุนงบจัดงานเฉลิมพระเกียรติจำนวน 28.7 ล้านบาท เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่รัฐสภา

เสื้อเหลืองยื่นส.ว.จี้ไม่โหวตพิธา
เวลา 05.00 น. บริเวณด้านหน้าอาคารรัฐสภา ฝั่งวุฒิสภา คณะประชาชนคนรักในหลวง นำโดยนายนายประยูร จิตรเพ็ชร ประธานคณะ ส่วนกลาง และมวลชนซึ่ง สวมเสื้อสีเหลืองรวมตัวกันจำนวนมาก เพื่อให้กำลังใจ ส.ว.และยื่นหนังสือให้ ส.ว.งดลงมติให้พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน เวลา 08.00 น. นายประยูรและแกนนำบางส่วนเข้าพบ ส.ว.บนตึกวุฒิสภา ชั้น 2 เป็นการส่วนตัว ใช้เวลาประมาณ 40 นาที ก่อนพามวลชนมารอที่ด้านในอาคารรัฐสภา

จากนั้นเวลา 10.15 น. พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ พร้อมนายศรีศักดิ์ วัฒนพรมงคล ส.ว. มารับยื่นหนังสือ โดยนายประยูรกล่าวว่าตนขอให้กำลังใจส.ว. และขอเรียกร้องไม่ให้ลงมติให้พรรคที่คิดล้มล้างสถาบัน ทราบข่าวว่ามีคนคิดจะล้มล้างสถาบัน หากเกิดขึ้นจริง กลุ่มประชาชนคนรักในหลวงจะออกมาชุมนุมเป็นหลักล้านคน

พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ตนในฐานะประธานกมธ.การบริหารราชการแผ่นดิน วุฒิสภา และ ส.ว.หลายคนที่ทำงานร่วมกันขอให้สัญญาว่า ส.ว.มีวุฒิภาวะดี เชื่อว่าทุกคนจะทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อประโยชน์สูงสุดชาติและประชาชน

ลงพื้นที่ – พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลฯ และคณะ ลงพื้นที่อ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์ ติดตามความคืบหน้าการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ดินทำกิน และการบริหารจัดการน้ำให้ทั่วถึง เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.

‘อกนิษฐ์’เผยสเป๊กนายกฯ
เมื่อถามถึงจุดยืนส่วนตัวในการโหวต นายกฯ พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ว่า ตอนนี้ยังไม่ชัดเจนเรื่องส.ส. กกต.ยังไม่รับรอง ดังนั้นเร็วเกินไปที่จะตอบตอนนี้ เมื่อถามว่าสเป๊กคนที่เหมาะสมจะเป็นนายกฯ ที่จะโหวตให้ พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ไม่ใช่ดีแล้วไม่เก่ง หรือเก่งแล้วไม่ดี ต้องเป็นคนเก่งและคนดี เก่งด้วยดีด้วย และทำงานเพื่อชาติ ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เมื่อถามว่าปัญหาที่นายพิธา ถูกตรวจสอบ เรื่องหุ้นสื่อหรือ เรื่องอื่นๆ จะเป็นปัจจัยตัดสินตอนโหวตหรือไม่ พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ไม่ทราบ ส.ส.ยังไม่นิ่งจึงตัดสินใจอะไรไม่ได้ มีหลักเกณฑ์ง่ายๆ ขอเลือกคนเก่งคนดี และทำงานเพื่อ ผลประโยชน์ของชาติ ประชาชน ยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

เมื่อถามถึงการกดดันให้ส.ว.โหวตเลือก นายกฯ เสียงข้างมากตามมติประชาชน ให้พรรคอันดับหนึ่งเป็นนายกฯ พล.อ.อกนิษฐ์กล่าวว่า ยังไม่รู้ว่าใครเป็นเสียงส่วนใหญ่เป็นแค่การวางแผนกันเท่านั้น เมื่อมีเสียงส่วนใหญ่ต้องมีเสียงส่วนน้อย ตนไม่ได้ฟังเสียงคนที่ได้รับเลือกตั้งมามากเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื้อหาหนังสือที่ยื่นต่อส.ว. ระบุตอนหนึ่งว่า มาให้กำลังใจและยืนเคียงข้าง ส.ว.ที่ไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรา 112 และขอให้ส.ว.ไม่ยกมือให้ ส.ส.ที่คิดจะยกเลิกมาตรา 112 พร้อมขอรับการสนับสนุนการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ รัชกาลที่ 10 ประจำปี 2566 ที่จ.ร้อยเอ็ด ระหว่าง 22-28 ก.ค. จากวุฒิสภา 28.7 ล้านบาทด้วย

เป็นโซ่กลาง-หวั่นม็อบชนม็อบ
ด้านนายศรีศักดิ์กล่าวว่า สมาชิกหลายคนห่วงสถานการณ์ขณะนี้ โดยเฉพาะที่มีมวลชนบางกลุ่มเคลื่อนไหวพร้อมออกมาชุมนุม บนถนนหากนายพิธา ไม่ได้รับการโหวตให้เป็นนายกฯ เชื่อว่าหากกลุ่มผู้สนับสนุนนายพิธาออกบนถนนก็จะมีมวลชนอีกกลุ่มออกมา เช่นเดียวกัน จึงต้องมีตัวกลางให้มวลชน 2 ฝั่ง จับเข่าคุยกัน เบื้องต้นสอบถามกับตัวแทนกลุ่มที่มาวันนี้ เขาพร้อมจะพูดคุย ดังนั้น เราจะส่งตัวแทนไปหารือกับอีกฝ่ายเช่นกันว่ายินดี ที่จะวางอคติแล้วมาพูดคุยกันบนเหตุผล ข้อเท็จจริงหรือไม่

พล.อ.อกนิษฐ์เสริมว่า จะนำเรื่องนี้เข้า หารือในที่ประชุมกมธ. ตนพร้อมเป็นตัวกลางประสานให้พูดคุยกัน เพราะหากปล่อยให้สองฝ่ายมาเผชิญหน้ากันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีการปะทะ ดังนั้น ควรให้มาหารือกับก่อนจะมีการเลือกนายกฯ

ฝ่ายมั่นคงเตรียมรับมือม็อบ
ที่ทำเนียบ พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงการทำงานของฝ่ายความมั่นคงในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลว่า ไม่มีความยากลำบาก สมช.มีหน้าที่ดูแลนโยบายด้านความมั่นคงในภาพรวม เมื่อถามว่าประเมินหลังเลือกตั้งแล้วสถานการณ์ภายในประเทศจะรุนแรงขึ้นหรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า เราประเมินหากกรณีร้ายแรงที่สุดหน่วยงานความมั่นคงมีหน้าที่เตรียมพร้อม ไม่ว่าจะเกิดเหตุขัดแย้งทางการเมืองหรือการชุมนุม หรือการก่อความไม่สงบ ตำรวจจะเป็นกลไกหลักเตรียมการและขับเคลื่อน ซึ่ง ผบ.ตร.รับทราบ และเตรียมการรับมือมาต่อเนื่อง

เมื่อถามกรณีมีแกนนำผู้ชุมนุมบางกลุ่มปลุกระดม กดดัน ส.ว.เลือกนายกฯ เตรียมรับมืออย่างไร พล.อ.สุพจน์กล่าวว่าต้องเตรียมพร้อมเรื่องนี้ด้วย ถ้าชุมนุมโดยสงบเจ้าหน้าที่ต้องดูแลและอำนวยความสะดวกให้ปลอดภัยทุกฝ่าย หากก่อเหตุรุนแรงตำรวจต้องเข้าไปจัดการยุติและยับยั้ง แต่ทางการข่าวยังไม่พบมีอะไรที่น่ากังวล ส่วนที่นายอานนท์ นำภา แกนนำราษฎร โพสต์ให้เตรียมความพร้อมในการเคลื่อนไหว ถึงเป็นการแสดงความคิดเห็นและเชิญชวนแต่เหตุการณ์ยังไม่เกิด ถ้าเกิดเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่จะดำเนินการทุกมิติให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างราบรื่น

สมช.ถกปม-แยกดินแดน
เวลา 10.00 น. ที่สภาความมั่นคงของชาติ (สมช.) พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการ สมช. ประชุมร่วมกับตัวแทนหน่วยงานมั่นคง อาทิ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า, บช.ภ.9, กระทรวงยุติธรรม อัยการ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง หารือถึงสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ หลังขบวนนักศึกษาแห่งชาติจัดกิจกรรมปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การกำหนดอนาคตตนเอง” มีการจัดพิมพ์บัตรเพื่อร่วมลงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชได้อย่างถูกกฎหมาย เมื่อ 7 มิ.ย. ที่คณะรัฐศาสตร์ ม.อ.ปัตตานี

พล.อ.สุพจน์แถลงว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า, บช.ภ.9 อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งเนื้อหาสาระและผู้เกี่ยวข้องทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ข้อมูลและผลผลิตที่เกิดขึ้นจนปรากฏสู่สังคมทั้งที่เป็นข่าวและทางโซเชี่ยล จากข้อมูลและคำพูดที่เห็นผ่านสื่อพบเกี่ยวข้องกับเรื่องแบ่งแยกตัวเป็นเอกราช ซึ่งขัดรัฐธรรมนูญและผิดกฎหมาย ต้องสืบสวนและหารายละเอียดเพิ่มเติม ต้องใช้เวลาพอสมควร โดยจะรายงานให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม รับทราบรายละเอียดของการประชุมต่อไป

มีพรรคการเมืองเอี่ยวด้วย
ที่ประชุมหารือ 2 ส่วน คือให้ฝ่ายกฎหมายดำเนินการตามขั้นตอนอย่างเปิดเผย ไม่มีเจตนาไปดำเนินการกับผู้กระทำผิดรายใด รายหนึ่ง และต้องดูว่ากระทำผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบว่าผิดก็ดำเนินการตามกฎหมาย เท่าที่จำเป็น ที่กังวลคือการนำข้อมูลของกิจกรรมไปเผยแพร่สู่สาธารณะ และเน้นย้ำข้อห่วงใยจากนายกฯ ให้ทุกหน่วยงานไปทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนและประชาชนในพื้นที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะผิดกฎหมาย และอธิบายในสิ่งที่ถูกต้อง

เมื่อถามว่ามีหลักฐานว่ามีคนของพรรค การเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวหรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่ามีพรรคการเมืองเกี่ยวข้อง ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง แต่ขอให้เจ้าหน้าที่เป็น ผู้ดำเนินการ เมื่อถามว่าต้องตรวจสอบย้อนไปถึงการหาเสียงของบางพรรคที่เสนอให้เลือกตั้งผู้ว่าฯ หรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า การ หาเสียงที่ผ่านมาค่อนข้างสุดโต่ง มีหลายเรื่องที่ สมช.กังวล หลังเลือกตั้งถึงแม้จะยังไม่มีประกาศรับรองผลส.ส. แต่มีความพยายามของฝ่ายการเมืองที่พูดถึงนโยบายที่จะทำต่อไปแต่นุ่มนวลลง และส่วนใหญ่สอดคล้องกับสิ่งที่เราพยายามทำอยู่ แต่ข้อมูลที่มีก่อนเลือกตั้ง หากพบว่ามีส่วนเชื่อมโยงผิดกฎหมายต้องนำมาพิจารณาด้วย

เลี่ยงตอบ-มอ.ต้องรับผิดชอบ
เมื่อถามว่า สมช.ได้คุยกับหัวหน้าพรรคที่เป็นว่าที่นายกฯ หรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า ยังไม่ได้พูดคุย แต่คิดว่าเขาน่าจะทราบเพราะที่ผ่านมาได้ศึกษาเรื่องเหล่านี้ เมื่อถามว่า ม.อ.ปัตตานีต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า กิจกรรมครั้งนี้หากดู ผิวเผินดูเป็นกิจกรรมเชิงวิชาการ แต่มีกิจกรรมที่มีความสุ่มเสี่ยง เมื่อถามว่าเหตุดังกล่าว ยังไม่มีแรงสนับสนุนจากต่างประเทศใช่ หรือไม่ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า ยังไม่มี แต่เรายังไม่ตัดประเด็นนี้และคุยระดับนโยบาย กับต่างประเทศ ขณะที่องค์กรต่างประเทศ ที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์

พล.อ.สุพจน์กล่าวถึงกระแสข่าวการเปลี่ยนหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ปกติจะมีการเตรียมอยู่แล้ว เป็นคนที่มีประสบการณ์การทำงานในพื้นที่ภาคใต้มีอยู่หลายคน ส่วนจะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนเป็นอำนาจของรัฐบาล เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อาจเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ พล.อ.สุพจน์กล่าวว่า เป็นเพียงข่าวที่ออกมาเท่านั้น

ศปปส.จี้เอาผิดข้อหากบฏ
เวลา 13.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบ นายอานนท์ กลิ่นแก้ว ประธานกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) พร้อมแนวร่วมกลุ่มกระทิงแดงไทยพิทักษ์ กลุ่มนักรบเลือดสีน้ำเงินปกป้องราชบัลลังก์ ประมาณ 20 คน รวมถึงนายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบร์ท ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผอ.รมน. ให้ตรวจสอบกรณีขบวนการนักศึกษาแห่งชาติจัดเสวนา การกำหนดอนาคตตนเอง เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ และความอาญา มาตรา 113 มีนายสมพาศ นิลพันธุ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ เป็นตัวแทนรับเรื่อง

นายอานนท์กล่าวว่า ใครคิดแบ่งแยกให้ถือว่าเป็นกบฏ อยากให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น ขอสอบถามไปยัง 8 พรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคแกนนำ มีแนวคิด เช่นเดียวกับกลุ่มนักศึกษาหรือไม่

มทภ.4ลั่นมีหลักฐานเอาผิด
พล.ท.ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 และผอ.รมน.ภาค 4 สน. กล่าวถึงกรณีการจัดปาฐกถาดังกล่าว ว่า ตรวจสอบในเบื้องต้นพบตั้งแต่เริ่มประชุมมีแนวโน้มจะเบี่ยงเบนต่อการทำผิดกฎหมาย ได้ให้ฝ่ายกฎหมายหาพยานหลักฐานที่ชัดเจนอย่างครอบคลุม รอบคอบและตรงไปตรงมา เพราะข้อมูลที่ได้มานั้น สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมาย มาตราที่ 1 การรวบรวมข้อมูลการประชุมวันนั้น ส่วนที่เกี่ยวข้องมีใครบ้าง ได้รายงานข้อมูลส่งไปยัง สมช.แล้ว ก็ต้องดูว่ารัฐบาลจะดำเนินการไปในทิศทางไหน

การดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ร่วมกิจกรรมหรือผู้อยู่ในข่ายความผิดนั้น ต้องดูว่ากลุ่มเยาวชน พรรคการเมือง ทั้งคนที่รู้จักในแวดวงต่างๆ ในพื้นที่นั้นซึ่งมีหลักฐานที่ชัดเจน ในส่วนเยาวชนมั่นใจว่าอาจฟังข้อมูลที่ผิดๆ หรืออาจมีการชักจูงและคล้อยตามกับสิ่งที่รับฟังมา

เชื่อส่วนใหญ่ค้านแยกดินแดน
“เราจะนำหลักนิติศาสตร์เข้ามาช่วยด้วย และต้องสร้างความตระหนักรู้ให้พี่น้องประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง คุยกันด้วยเหตุและผลและจะมีกรณีใดบ้างที่เข้า ข่ายนี้ ในส่วนผู้ชักจูงให้เข้าร่วมประชุม เจ้าหน้าที่เร่งหาข้อมูลหลักฐานเมื่อผิดจริงก็ต้องเข้าสู่ขั้นตอนทางกฎหมาย รวมถึงชี้แจงสร้างความเข้าใจกับประชาชน และทราบดีว่ากระแสปัจจุบันตีกลับมาว่าที่ต้องการลงประชามตินั้นเป็นไปไม่ได้ และมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการแบ่งแยกประเทศ” มทภ.4 กล่าว

ตนได้มอบหมายให้ พล.ต.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รองมทภ.4 และ รอง ผอ.รมน.ภาค 4 สน. เป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลขับเคลื่อนเรื่องนี้ จากนี้ไป กอ.รมน.ภาค 4 สน. ต้องเร่งสร้างความเข้าใจต่อพี่น้องประชาชนและกลุ่มที่มีความเห็นต่างในด้านนี้ให้ยกเลิกการกระทำ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้และผิดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ยกฟ้องเพนกวิน-พวก12คนคดี 116
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน กับพวก รวม 12 ราย ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, มาตรา 215 วรรคสาม และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เเละความผิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม กรณีกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในนามกลุ่มเยาวชนปลดแอก จัดกิจกรรมชุมนุมทางการเมืองในวันที่ 18 ก.ค. 63 ตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไปบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยใช้หัวข้อเรื่อง “ใครไม่ทนให้ไปกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย”

ศาลอาญาพิจารณาแล้ว การที่จำเลยทั้ง 12 เข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมลงมาบนถนนราชดำเนินกลางในลักษณะเดินลงมาบนพื้นผิว จราจรเต็มพื้นที่บนถนนราชดำเนินกลางบริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์และติดตั้งเวทีบนถนนราชดำเนินกลางบริเวณขอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย และมีการใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยจำเลยที่ 1-8 และที่ 10, 11 ได้สลับกันขึ้นพูดปราศรัยบนเวที โดยไม่ได้คำนึงว่าจะเป็นการฝ่าฝืนพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎหมายใดๆ อันเป็นการแสดงให้ปรากฏต่อประชาชน ด้วยวาจาหนังสือ หรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำ ในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้ประชาชน ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน แต่ลักษณะการกระทำยังไม่ส่อเจตนาว่าเป็นการทำถึงขนาด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร

พิพากษาว่า จำเลยทั้ง 12 มีความผิดตามพ.ร.บ. รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 19, 57 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 114 วรรคหนึ่ง, 148 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (3), 215 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยทั้ง 12 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานตั้ง วาง หรือกองวัตถุใดบนถนน อันเป็นการกีดขวางการจราจรและกีดขวางทางสาธารณะ เป็นกรรมเดี่ยวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพ.ร.บ.รักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองฯ มาตรา 19, 57 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ปรับจำเลยทั้ง 12 คนละ 1 พันบาท, ฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นกระทำให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง กับฐานกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจาเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท, ลงโทษฐานกระทำให้ปรากฏ แก่ประชาชนด้วยวาจา เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวมจำคุกจำเลยทั้ง 12 คนละ 2 เดือน และปรับคนละ 2,000 บาท

ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสิบสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30

ยกฟ้องความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯ และฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตเพราะช่วงเวลาเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโคโรนา 19 จึงสามารถจัดกิจกรรมการชุมนุมได้เพียงแต่ข้อกำหนดฯ บังคับให้ผู้จัดการชุมนุมต้องมีมาตรการป้องกันโรคเท่านั้น และการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงเป็นหน้าที่ของผู้จัดการชุมนุมเท่านั้น

พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสิบสองเป็นผู้จัดการชุมนุม จึงไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืนข้อกำหนดฯ และไม่มีความผิดฐานใช้เครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ทางนำสืบของโจทก์ ไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยคนใดเป็นผู้กระแทกแผงเหล็กใส่ผู้เสียหาย จึงลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานนี้ไม่ได้ ในส่วนของจำเลยที่ 9 เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังว่าข้อความตามป้ายที่จำเลยที่ 9 ถ่ายภาพโพสต์ลงในเฟซบุ๊กยังไม่ถึงขนาดที่จะส่อเจตนาเพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้าง กระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร จำเลยที่ 9 จึงไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้จำเลยส่วนใหญ่เป็นแกนนำนักกิจกรรมทางการเมืองประกอบด้วย นายพริษฐ์ ชิวารักษ์, นายภาณุพงศ์ จาดนอก, นายอานนท์ นำภา, น.ส.จุฑาทิพย์ ศิริขันธ์, นายกรกช แสงเย็นพันธ์, น.ส.สุวรรณา ตาลเหล็ก, นายบารมี ชัยรัตน์,นายเดชาธร บำรุงเมือง, นายธานี สะสม, นายธนายุทธ ณ อยุธยา, นายทศพร สินสมบุญ เเละ น.ส.เนตรนภา อำนาจส่งเสริม นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปากร

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน