ชี้พิรุธเพียบ-ทำเป็นขบวนการ สงสัยแก้บันทึกการประชุม จี้‘อินทัช’เปิดเสียงฉบับเต็ม ‘คิมห์’โร่แจงตลาดหลักทรัพย์

‘ก้าวไกล’ ลุยเอาผิดขบวนการปลุกผี ‘ไอทีวี’ สกัด ‘พิธา’ นายกฯ จี้ ‘อินทัช’ ผู้ถือหุ้นใหญ่เปิดคลิปฉบับเต็ม ขัดแย้งบันทึกรายงานการประชุม ‘ชัยธวัช’ แถลงชำแหละมีพิรุธเพียบ ทั้งแบบนำส่งงบการเงิน และแผนธุรกิจ ข้อความขัดแย้งกันเอง สงสัยแก้บันทึก จัดทำเอกสารขึ้นภายหลังหรือไม่ เชื่อมีการวางแผนตั้งคำถามในที่ประชุมยังเป็นสื่อหรือไม่ เตรียมฟ้องกลับดำเนินคดี ขณะที่ ‘คิมห์-อินทัช’ รีบชี้แจงตลาดหลักทรัพย์ทั้งสั่งไอทีวีตรวจสอบข้อเท็จจริง ยื่นกกต.สอบ ‘เรืองไกร’ ร้องข้อมูลเท็จ โทษถึงติดคุก

ก้าวไกลแถลงพิรุธประชุมไอทีวี
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ที่พรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงเรื่องหุ้นสื่อบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) ว่าสืบเนื่องจากการรายงานของรายการข่าว 3 มิติ ช่อง 33 มีข้อมูลที่มีนัยยะสำคัญ 2 ประการ คือความขัดแย้งระหว่างคลิปการประชุมสามัญ 2566 เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 กับรายงานการประชุมสามัญประจำ ถึงประเด็นที่ไอทีวีกำลังดำเนินการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ โดยในคลิปปรากฏข้อเท็จจริงว่านายภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ในฐานะผู้ถือหุ้นถามในที่ประชุมว่าบริษัทไอทีวีดำเนินกิจการเกี่ยวกับสื่อหรือโทรทัศน์ไหม จากนั้นนายคิมห์ สิริทวีชัย ประธานคณะกรรมการบริษัท ในฐานะประธานในที่ประชุมตอบอย่างชัดเจนว่าตอนนี้บริษัทยังไม่มีการดำเนินการใดๆ รอผลคดีความให้สิ้นสุดก่อน

นายชัยธวัชกล่าวว่าแต่เอกสารรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของบริษัทไอทีวีฯ กลับบันทึกไม่ตรงกับคลิปการประชุม โดยบันทึกรายงานการประชุมระบุว่านายคิมห์ตอบคำถามของนายภาณุวัฒน์ว่าปัจจุบันบริษัทยังดำเนินกิจการอยู่ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท มีการส่งงบการเงิน และยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ หลังมีบันทึกการประชุมออกมา นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ นำเอกสารนี้ไปใช้เป็นหลักฐานสำคัญยื่นร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

‘ก้าวไกล’ฮึ่ม – นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงกรณีหุ้นไอทีวีที่มีผู้ร้องเอาผิดนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค หลังปรากฏคลิปหลักฐานพบพิรุธ ชี้เป็นแผนสกัดตั้งรัฐบาล ลั่นดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.

โยงอดีตผู้สมัครส.ส.ภูมิใจไทย
เลขาฯ พรรคก้าวไกลกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันนายนิกม์ แสงศิรินาวิน อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคภูมิใจไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กก่อนการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทไอทีวี 2 วัน ว่านักการเมืองที่กำลังถือหุ้นไอทีวีเตรียมตัวประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี และมอบตัว กกต.ด้วย หัวหน้าพรรคหนึ่งถือ 42,000 หุ้น โพสต์ดังกล่าวเป็นที่น่าสงสัยว่ามีการวางแผนจะให้นายภาณุวัฒน์ ผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่รับโอนหุ้นมาจากนายนิกม์ และยังเป็นผู้จัดการคลินิกของครอบครัวของนายนิกม์ด้วยนั้น ตั้งคำถามในที่ประชุมเพื่อต้องการให้ผู้บริหารตอบว่าไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่ใช่หรือไม่ จึงมองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ผู้มีอำนาจในบริษัทไอทีวีฯ รวมทั้งนายจิตชาย มุสิกบุตร กรรมการผู้สอบทาน และแก้ไขรายงานการประชุม ต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ชัดเจน

“ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นหนึ่งในข้อพิรุธที่นายพิธาเคยตั้งคำถามไว้ว่า เป็นความพยายามฟื้นคืนชีพไอทีวีให้กลับมาเป็นสื่อมวลชน เพื่อสกัดกั้นการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งอาจเข้าข่ายกระทำการอันเป็นเท็จ เพื่อแกล้งให้ผู้สมัครส.ส. ถูกเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้ง มีความผิดตามมาตรา 143 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.” นายชัยธวัชกล่าว

พบข้อสงสัย‘นำส่งงบการเงิน’
นายชัยธวัชกล่าวต่อว่า ประการที่ 2 คือความขัดแย้งกันระหว่างคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 ของไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 กับแบบนำส่งงบการเงิน (ส.บช.3) ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อวันที่ 10 พ.ค.2566 และเอกสารงบไตรมาสแรก ปี 2566 ของไอทีวี เพราะพิจารณาใจความสำคัญของข้อความที่ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขในบันทึกรายงานการประชุม มีการแก้ไขคำตอบของนายคิมห์ที่ตอบนายภาณุวัฒน์ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแบบนำส่งงบการเงิน ที่ไอทีวียื่นต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และเป็นวันเดียวกับที่นายเรืองไกรไปยื่นร้องต่อกกต.หรือไม่

เลขาฯ พรรคก้าวไกลกล่าวว่าเพราะเมื่อพิจารณาแบบนำส่งงบการเงิน จะพบว่ามีการระบุประเภทธุรกิจว่าสื่อโทรทัศน์ และระบุสินค้าบริการว่า สื่อโฆษณาและผลตอบแทนจากการลงทุน จากเดิมในปี 2561-2562 ระบุประเภทธุรกิจว่ากิจกรรมของบริษัทโฮลดิ้งที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจการเงินเป็นหลัก แล้วในปีบัญชี 2563-2564 ระบุประเภทธุรกิจว่าสื่อโทรทัศน์ โดยในส่วนสินค้าบริการระบุว่าปัจจุบันไม่ได้ดำเนินการ เนื่องจากติดคดีความ

เปลี่ยนข้อความ-ขัดแย้งกัน
นายชัยธวัชกล่าวอีกว่าการเปลี่ยนแปลงข้อความในแบบนำส่งงบการเงินครั้งหลังสุดของไอทีวีดังกล่าว ขัดแย้งกับการตอบของนายคิมห์ เพราะนายคิมห์ได้ตอบข้อซักถาม ดังกล่าวว่า ผลของคดีเป็นจุดสำคัญที่สุดของบริษัท ถ้าผลคดียังไม่ได้ออกมา มันเป็นไปได้ยากมากที่เราจะดำเนินการใดๆ กับไอทีวี ณ ขณะนี้ อย่างในอดีตที่ผ่านมาเราก็ว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงินมาดูออปชั่นต่างๆ ทางเลือกต่างๆ ก็ยังไม่มีทางเลือกใดๆ ที่เหมาะสม ณ ขณะนี้ ฉะนั้นทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องรอผลของคดี ถ้าผลคดีสิ้นสุดลงแล้วทางบริษัทก็จะพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมให้กับทางผู้ถือหุ้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการพิจารณาจะจ่ายเงินปันผลอย่างไร จะดำเนินธุรกิจต่อไปหรือไม่อย่างไร หรือจะชำระบัญชีอะไรอย่างไร ทางเราจะพิจารณาทางเลือกที่มีอยู่ทั้งหมด และเลือกทางเลือกที่เหมาะสมให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป

เลขาฯ พรรคก้าวไกลกล่าวว่า คำตอบดังกล่าวแสดงให้เห็นว่านายคิมห์มิได้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ไอทีวีประกอบกิจการสื่อโทรทัศน์ และมีรายได้จากสื่อโฆษณาแต่อย่างใด แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรว่าแบบนำส่งงบการเงินรอบปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค.2565 ในวันที่ 10 พ.ค.2566 จะระบุว่ารายได้ของไอทีวีในรอบปี 2565 มาจากสื่อโทรทัศน์ โดยมีสินค้าบริการคือสื่อโฆษณา มิพักต้องกล่าวถึงกรณีที่นายคิมห์ตอบผู้ถือหุ้นถึงแนวโน้มที่จะชำระบัญชี ปิดบริษัทหลังจากทราบผลของคดีด้วยซ้ำ

จงใจแก้ไข-จัดทำขึ้นภายหลัง
“ทั้งหมดจะเห็นได้ว่าในแง่พฤติการณ์ ข้อเท็จจริง และช่วงระยะเวลาการเสนอแผนธุรกิจ รวมถึงการรับรู้รายได้จากแผนธุรกิจใหม่ มีความไม่สอดคล้องกัน และขัดแย้งกันเองเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่ความบังเอิญ หรือเป็นการจัดทำเอกสารรายงานการประชุมตามแบบแผนปกติ แต่เป็นการจงใจแก้ไขให้สอดรับกับบรรดาเอกสารต่างๆ ที่ตกแต่งจัดทำขึ้นในภายหลังหรือไม่” เลขาฯ ก้าวไกลกล่าว

นายชัยธวัชกล่าวอีกว่าพรรคก้าวไกลยืนยันกับประชาชนว่า จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องรักษาเสียงของประชาชน ผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศในระบอบประชาธิปไตยให้ได้ ยังเชื่อมั่นว่าอำนาจของประชาชนจะได้รับชัยชนะในที่สุด และกกต.จะปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างบริสุทธิ์ และยุติธรรมตามเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ ประกอบกับบรรทัดฐานคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและศาลฎีกาที่ผ่านมา ส่วนกรณีที่กกต.อาจดำเนินคดีนายพิธาในอนาคต ตามความผิดฐานรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 151 ของพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มั่นใจว่าข้อกล่าวหานี้ไม่มีพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอ เช่นเดียวกับที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.2565 ในคดีหุ้นวีลัค

ฟ้องกลับ-ปลุกผีสื่อไอทีวี
“หลักฐานเหล่านี้มีส่วนสำคัญที่จะทำให้สังคมได้เห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่ความพยายามที่จะปกป้องเจตจำนงของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ต้องการให้นักการเมืองไปมีส่วนในการครอบงำสื่อมวลชน เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่เป็นกระบวนการที่พยายามหาเงื่อนไขมาขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทานุมัติของประชาชน” นายชัยธวัชกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าหลักฐานคลิปไม่ได้หักล้างโดยตรงว่านายพิธาถือหุ้นไว้จริงหรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่ามีส่วนสำคัญ หากฟังดีๆ จะมีเนื้อหาบางส่วนที่มีนัยยะสำคัญ ว่าตกลงไอทีวียังดำเนินกิจการสื่อมวลชนอยู่หรือไม่ และอาจนำไปสู่การฟ้องร้องดำเนินคดีกับกระบวนการปลุกผีไอทีวีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายราย เชื่อว่าประชาชนสามารถคาดเดาได้จากพฤติกรรมดังกล่าวว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ พรรคก้าวไกลเริ่มเห็นแล้วว่าพอจะมีใครบ้างที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ทราบว่ามีพรรคการเมืองอยู่เบื้องหลังหรือไม่ ขณะที่จะดำเนินคดีกับใครและเมื่อไหร่นั้นกำลังพิจารณาอยู่

จี้ไอทีวีเปิดคลิปประชุมฉบับเต็ม
ต่อข้อถามว่าหากกกต.สอบสวนเรื่องนี้เพื่อเตรียมส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ นายชัยธวัชกล่าวว่าจะต่อสู้เต็มที่ทางข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย เพื่อไม่ให้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครกล้ารวบรัดตัดตอนฟ้องร้องได้อีก เพราะเห็นแล้วว่ากรณีนี้มีความซับซ้อน ซึ่งไอทีวีไม่มีเหตุผลที่จะรีรอไม่ชี้แจง ควรต้องเปิดเผยคลิปการประชุมฉบับเต็ม เพื่อให้สังคมหายสงสัย ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการเปิดคลิป

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าผู้อยู่เบื้องหลังใช่อดีต ผู้สมัครส.ส.อนาคตใหม่หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวทันทีว่าไม่ใช่ ตัวเล็กไป สำหรับเรื่องที่บอกว่ามีการสร้างเอกสารเท็จ โจทก์อาจจะกลายเป็นผู้ต้องหา และผู้ต้องหาอาจจะกลายเป็นโจทก์ก็ได้ อย่าเพิ่งสรุปตอนนี้ ต้องรอดูข้อเท็จจริงว่าไอทีวีและผู้เกี่ยวข้อง ถ้าเรื่องนี้ตรงไปตรงมาจริงๆ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะชะลอการชี้แจงและเปิดเผยหลักฐานทั้งหมด โดยเฉพาะคลิปฉบับเต็ม

“หากเรื่องนี้มีความกระจ่าง ส.ว.ก็ไม่มี ข้ออ้างในการโหวตนายพิธาเป็นนายกฯ ขณะที่รายละเอียดในการต่อสู้ทางกฎหมาย ต้องรอว่ากกต.จะส่งเรื่องมาที่พรรคก้าวไกลอย่างไร ผมคิดว่าตอนนี้สังคมกำลังรอคำตอบจาก ไอทีวี ส่งถึงผู้บริหารสายงานกฎหมายของ อินทัช ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง การตรวจสอบ และอีกหลายคนที่อาจเกี่ยวข้องกับงบการเงินของไอทีวี” นายชัยธวัชกล่าว

‘คิมห์-อินทัช’รีบชี้แจง‘ก.ล.ต.’
ขณะเดียวกัน นายคิมห์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ออกเอกสารแจ้งถึงกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยระบุว่าตามที่มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (ไอทีวี) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัท อินทัชฯ ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วนร้อยละ 52.92 ปรากฏตามสื่อต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประชุมผู้ถือหุ้นของไอทีวีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นที่สนใจต่อสาธารณชนจำนวนมากในขณะนี้ ทางบริษัทได้รับทราบข้อมูล และให้คณะกรรมการและฝ่ายจัดการของไอทีวีตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นดังกล่าวที่เกิดขึ้น และหากมีประเด็นใดๆ ที่จะต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ไอทีวีจะดำเนินการให้เร็วที่สุด เพื่อให้โปร่งใสเป็นไปตามหลัก ธรรมาภิบาลและกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายไพบูลย์ ดำรงวารี ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ก.ล.ต.ขอพิจารณาข้อมูลก่อน หากเป็นกรณีทั่วๆ ไป ในส่วนของบริษัทซึ่งเป็นผู้เปิดเผยข้อมูล บริษัทนั้นต้องมีหน้าที่รับผิดชอบในการเปิดเผยข้อมูล และหากข้อมูลที่เปิดเผยกระทบสิทธิ์ของผู้ถือหุ้น หรือมีข้อมูลเป็นเท็จ และกระทบอย่างไรก็ต้องไปว่ากันตามกฎหมาย ในส่วนของก.ล.ต.นั้นมีอำนาจสอบถามเพิ่มเติมไปยังบริษัทในกรณีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทได้

‘เรืองไกร’ไม่สน-อ้าง‘คดีธนาธร’
ที่สำนักงานกกต. นายเรืองไกร สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงคลิปและรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวีขัดแย้งกันว่า ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะกฎหมายเขียนว่าห้ามเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์ และสื่อมวลชนใดๆ พยานหลักฐานที่ควรไปดู คือ 1.นายพิธาถือหุ้นตามทะเบียนผู้ถือหุ้นหรือไม่ ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นตามรายงานการประชุม 2.ทำธุรกิจสื่อมวลชนใดๆ ก็ไปดูวัตถุประสงค์การจดทะเบียนบริษัท และหมายเหตุงบการเงิน ส่วนประชุมผู้ถือหุ้นแล้วจดถูกผิดบ้างก็เป็นเรื่องของผู้ถือหุ้นกับบริษัท เมื่อจดผิดก็ต้องไปแจ้งให้แก้ไขรายงานการประชุม ไม่ใช่ไปกล่าวหาว่าจดผิด ก็เหมือนกับการประชุมกรรมาธิการสภา ผู้แทนราษฎร หลังประชุมก็จะให้สมาชิกตรวจดูว่าจดรายงานการประชุมถูกต้องหรือไม่ ถ้าจดผิดก็แก้ไขเท่านั้นเอง

ผู้สื่อข่าวถามว่าข้อมูลที่นำมาเปิดเผยเหมือนต้องการชี้ว่าบริษัทไอทีวีไม่ได้ดำเนินกิจการแล้ว นายเรืองไกรกล่าวว่าไม่เกี่ยว การจะทำสื่อหรือไม่จะต้องดูที่รายได้ ดูวัตถุประสงค์จัดตั้งบริษัท เหมือนที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีนายธนาธร และนายธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งศาลก็ไม่ได้ดูรายงานผู้ถือหุ้นที่ถามตอบกัน

เย้ย 14 ล้านเสียงหาคนเก่งไม่ได้
ต่อข้อถามกรณีศาลปกครองสูงสุดเคยมี คำวินิจฉัยเมื่อปี 2556 ว่าบริษัทไอทีวีปิดไปแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์ นายเรืองไกรกล่าวว่าก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่เกี่ยวกับการที่นายพิธาถือหุ้นแล้วไม่ผิด เพราะกฎหมายห้ามผู้สมัครไม่ให้ถือหุ้นสื่อ ซึ่งนายพิธาก็มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นไอทีวี โดยไม่ได้ระบุท้ายการถือหุ้นว่าเป็นผู้จัดการมรดก และหมายเหตุงบการเงินปี 2566 ของบริษัท ก็ระบุว่าบริษัททำสื่อมวลชนแขนงอื่นนอกจากสถานีไอทีวีแล้ว เมื่อวันที่ 24 ก.พ.2566 และจะรับรู้รายได้ในไตรมาส 2 นี้

นายเรืองไกรกล่าวอีกว่าคำว่าสื่อมวลชนหมายความว่าอะไร ตอนรัฐธรรมนูญ 2550 ระบุถึงวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และเดี๋ยวนี้คำว่าแมสมีเดียมีทั้งอนาล็อกและดิจิทัล ก็เข้าตามวิชาการอยู่แล้ว และถามว่าสมัยที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีการถือหุ้นของนายธนาธร บริษัทวีลัคก็ไม่ได้ทำสถานีโทรทัศน์เหมือนไอทีวี หรือพิมพ์หนังสือเหมือนมติชน หรือไทยรัฐ แต่เขาพิมพ์หนังสืออื่น จึงไม่ต้องไปดูว่าไอทีวีมีการออกอากาศ หรือยุติการออกอากาศแล้ว จะแก้ประเด็นเอาเก่งๆ แม่นๆ หน่อย มีคนตั้งเป็นร้อยในพรรค แล้วคนเชียร์ตั้ง 14 ล้านเสียง หาคนเก่งไม่ได้เลยหรือ

ยื่นกกต.สอบเรืองไกรร้องเท็จ
ขณะที่นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น ยื่นคำร้องต่อกกต. เพื่อขอให้สอบข้อเท็จจริงกรณีคำร้องของนายเรืองไกรเรื่องหุ้นสื่อไอทีวีของนายพิธา โดยนายภัทรพงศ์กล่าวว่าเห็นว่านายเรืองไกรเสนอหลักฐานอ้างว่านายพิธาเป็นผู้ถือหุ้นสื่อไอทีวีเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่ถือในฐานะผู้จัดการมรดก ขณะที่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ระบุชัดเจนว่าอำนาจของผู้จัดการมรดก มีหน้าที่ระบุหนี้สินและทรัพย์สิน และแจกจ่ายให้กับทายาทตามกฎหมาย นั่นหมายความว่าการเป็นผู้จัดการมรดกไม่จำเป็นต้องเป็นทายาทโดยตรง ซึ่งอาจจะเป็นบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ทนายอั๋นกล่าวว่าดังนั้นจะเห็นได้ว่าบทบาทหน้าที่ และความหมายของการถือหุ้นในฐานะผู้จัดการมรดก ในฐานะส่วนตัวมองว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ล่าสุดยังมีการเปิดเผยคลิปการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นไอทีวีระบุชัดเจนว่าไอทีวีไม่ได้ดำเนินกิจการสื่อมวลชน ซึ่งอาจจะขัดต่อเอกสารที่นายเรืองไกรนำมาร้องต่อกกต. การกระทำของนายเรืองไกรอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 143 ที่ระบุว่าผู้ใดกระทำการอันเป็นเท็จให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้สมัครฝ่าฝืน และไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย บุคคลดังกล่าวอาจมีความผิดต้องโทษจำคุก จึงอยากให้กกต.ตรวจสอบคำร้องของนายเรืองไกรว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน