แต่เลื่อนอ่านคำพิพากษา-ธ.ค. ลั่นสู้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ถึงฎีกา น้า‘ชมพู่’เซ็งครอบครัวขัดแย้งต่อ

ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ ด.ญ. 3 ขวบ เสียชีวิตปริศนา เมื่อปี 63 เหตุยังต้องตรวจร่างคำพิพากษา ‘ลุงพล-ป้าแต๋น’ ย้ำความบริสุทธิ์ตกเป็นแพะรับบาปคดี ‘น้องชมพู่’ หลานสาวตายปริศนาเมื่อปี 63 ลั่นสู้ยัน 3 ศาลให้ถึงที่สุด จ่อเรียกร้องสิ่งที่ต้องสูญเสียไป เพราะ 3 ปีที่ผ่านมาทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปมาก ขณะที่พ่อ-แม่น้องชมพู่จุดธูปบอกวิญญาณลูกสาวให้รอฟังข่าวดี

จากกรณี ศาลจังหวัดมุกดาหารนัดอ่าน คำพิพากษาในวันที่ 31 ต.ค. คดีที่อัยการจังหวัด มุกดาหาร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนาย ไชย์พล วิภา หรือลุงพล อายุ 45 ปี และนางสมพร หลาบโพธิ์ หรือป้าแต๋น อายุ 43 ปี สามีภรรยา เป็นจำเลย ในคดีการเสียชีวิตปริศนาของ น้องชมพู่ ด.ญ.อรวรรณ หลานสาววัย 3 ขวบ บนเขาภูเหล็กไฟ ห่างจากบ้านพัก 2 กิโลเมตร ในพื้นที่บ้านกกกอก ม.2 ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อปี 2563

โดยนายไชย์พลถูกฟ้อง 3 ข้อหา ได้แก่ 1.พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดา-มารดา โดยปราศจากเหตุอันควร 2.ทอดทิ้งเด็กอายุไม่เกิน 9 ปี เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตนโดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย และ 3.กระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อม ในบริเวณที่พบศพ ก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ส่วนนางสมพรถูกฟ้อง 1 ข้อหา ฐานกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ต.ค. นายอนามัย วงศ์ศรีชา และนางสาวิตรี วงศ์ศรีชา พ่อและแม่น้องชมพู่ ไปยังสถูปน้องชมพู่ ตั้งอยู่ภายในวัดถ้ำภูผาแอก ต.กกตูม โดยแกะนมเปรี้ยวของโปรดของลูกสาว พร้อมจุดธูปบอกกล่าวว่า นำนมเปรี้ยวซึ่งเป็นของที่น้องชอบมาให้ ตอนนี้ทั้งพ่อและแม่กำลังจะเดินทางไปที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร เพื่อไปรอคำตัดสินจากศาลในคดีของน้อง ให้น้องรอฟังข่าวดี และขอให้น้องไปเป็นนางฟ้าบนสวรรค์

นางสาวิตรีกล่าวว่า ในบรรดาของเล่นที่ซื้อมาให้น้องตั้งแต่เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา สิ่งที่น้องชอบมากที่สุดคือรถกู้ภัย เพราะตอนน้องยังมีชีวิตอยู่น้องเคยบอกว่าโตขึ้นมาอยากเป็นกู้ภัย เพราะน้องอยากช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน และน้องเองเป็นคนชอบเล่นรถของเล่นที่เป็นรถกู้ภัยมากด้วยเช่นกัน ส่วนคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดมุกดาหารจะมีการอ่านคำตัดสินในวัน พรุ่งนี้ ส่วนตัวไม่ได้มีความกังวลอะไรเพราะไม่ใช่จำเลย แต่ยอมรับว่าตื่นเต้นเนื่องจากเป็นคดีที่รอมานาน ทางครอบครัวยังยืนยันตามเดิมว่าอยากให้น้องได้รับความเป็นธรรมให้มากที่สุด

ส่วนที่วังปาริจิตนาคราช บ้านจำปาดงเหนือ ม.6 ต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ที่อยู่ใหม่ของ นายไชย์พล หรือ ลุ งพล และนางสมพร หรือป้าแต๋น ลุงเขยและป้าของน้องชมพู่ที่ตกเป็นจำเลยในคดี ดังกล่าว

นายไชย์พลกล่าวว่า ยังคงตอบเหมือนเดิมคือรอวันที่ 31 ต.ค. ในการที่จะเข้าไปฟังคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ยอมรับว่า ตอนแรกที่ตกเป็นผู้ต้องหากังวลใจ เพราะยังไม่ได้เข้าสู่กระบวนการในการพิจารณาคดี แต่เมื่อเข้าสืบพยานทุกปากเสร็จสิ้นก็สบายใจ เพราะอยากพิสูจน์ตัวเองผ่านกระบวนการยุติธรรม 3 ปีที่ผ่านมาชีวิตเปลี่ยนไปมาก จากชาวบ้านธรรมดาเป็น เซเลบที่มีคนติดตามชีวิตตลอดเวลา เพื่อให้คนเห็นว่าชีวิตเป็นอย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ทุกวันนี้ก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม ยอมรับว่า มีบางช่วงที่คิดถึงน้องชมพู่ เพราะเคยดูแลมาตลอด ถึงแม้จะจากไปแล้วก็ยังเป็นลูกหลาน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูล

“ที่ผ่านมา ยอมรับว่า ผมรู้สึกว่าเป็นแพะรับบาปในคดีนี้ แต่กระบวนการยุติธรรมจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าตัวเองผิดจริงหรือไม่ ผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าวันที่น้องชมพู่หายตัวไป ผมไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน ที่ผ่านมาเราใช้เงินในการต่อสู้คดีนี้จำนวนมาก (7 หลัก) หากคำสั่งศาลออกมาเป็นแบบใด เราทั้งสองจะสู้ให้ถึงที่สุด และเชื่อว่าไม่ว่าจะออกในแนวทางไหน คดีนี้น่าจะต้องสู้ในถึง 3 ศาล โดยหากพิสูจน์ว่าผมและป้าแต๋นไม่ผิด จะปรึกษาทีมทนายว่าจะดำเนินการอย่างไร และจะเรียกร้องให้กับสิ่งที่สูญเสียไปไหมต้องดูอีกที แต่ตามหลักมนุษยชนแล้ว ก็ ควรทำ” นายไชย์พลกล่าว

ลุงพลยังกล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องที่ย้ายออกจากบ้านกกกอก ว่า เพราะถูกสั่งให้รื้อพญานาคที่ตอนแรกสร้างในหมู่บ้านกกกอก เนื่องจากรุกที่ป่า จึงย้ายมาตั้งที่นี่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนแทน และย้ายมาพักอาศัยที่นี่ด้วย โดยยังกลับไปบ้านกกกอก ราวเดือนละ 1 ครั้ง

สู้ 3 ศาล – นายไชย์พล วิภา และนางสมพร หลาบโพธิ์ ให้สัมภาษณ์ที่ที่พักแห่งใหม่วังปู่ปาริจิต อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร ก่อนถึงวันศาลจังหวัดมุกดาหารนัดอ่านคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ในวันที่ 31 ต.ค. โดยยืนยันพร้อมสู้คดีถึง 3 ศาล

ขณะที่ นางสมพรกล่าวว่า สำหรับเรื่องที่ทนายให้สัมภาษณ์ว่า พูดว่าน้องชมพู่อาจเดินตามสุนัขและขึ้นไปเสียชีวิตเองบอกว่า ให้ยึดตามที่ทนายพูด เพราะตรงกับแนวทางต่อสู้ของตนเองตลอดมา เชื่อว่ามีโอกาสเป็นไปได้ โดยส่วนตัวรู้สึกโล่งตั้งแต่วันที่สืบพยานได้ขึ้นศาลแล้วได้พูดทุกอย่างออกไป เพราะมั่นใจว่าตนเองและสามีบริสุทธิ์ หลังจากตกเป็นจำเลย ไม่ได้พูดคุยกับฝั่งแม่ของน้องชมพู่เลยจากที่เคยพูดคุยกันได้ ที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ลุงกับป้าที่ได้รับผลกระทบ แต่ลูกชาย 2 คน ถูกเพื่อนที่โรงเรียนถาม ตอนแรกๆ เด็กไม่เข้าใจ แต่เมื่อรู้ว่าพ่อแม่เป็นอย่างไร เรื่องนี้ไม่กระทบกับพวกเขา ตรงกันข้าม เด็กๆ ออกตัวปกป้องด้วยซ้ำ

ส่วนความสัมพันธ์กับครอบครัวที่ต้องแตกหักหลังเกิดคดี นางสมพร มองว่า ที่จริงแล้วหากครอบครัวหนักแน่น โดยเฉพาะคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ฟังเหตุผลทั้งสองฝ่ายถึงความเป็นไปได้ การแตกหักจะไม่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีแต่ผู้ใหญ่ที่ไม่คุยกัน แต่เด็กๆ ยังคุยกันอยู่ และไม่ได้ห้าม เพราะว่าพวกเขาโตมาด้วยกัน 3 ปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา ต้องขอบคุณกำลังใจของคนที่มองในมุมต่างออกมา โดยเมื่อถามย้ำว่า บางคนอาจมองว่า 3 ปีที่ผ่านมา ชีวิตลุงกับป้าสบาย มีเงินทองมากขึ้น ความจริงแล้วถ้ามีเงินแล้วไม่มีคดี มันก็จะดี

นายไชย์พลกล่าวเสริมว่า เวลาที่ไป เดินตลาดมันจะมีกลุ่มคนมองเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือให้กำลังใจ ขณะที่อีกส่วนมองอีกแบบ เหมือนมีคนสองกลุ่มที่ขัดแย้งกันอยู่ ไม่อยากให้เกิดภาพแบบนั้นในชีวิตของเรา เวลาไปไหนมักเป็นเป้าสายตาเสมอ เป็นเรื่องที่ไม่อยากเจอ

ส่วนกรณี มีกระแสข่าวว่า ศาลมุกดาหารอาจเลื่อนการตัดสินคดีออกไปก่อน แต่ต้องรอความชัดเจนในวันที่ 31 ต.ค. อีกครั้ง ทั้งนายไชย์พลและ นางสมพรยืนยันว่า หากมีการเลื่อนออกไปจริงยังคงไปศาลตามกำหนดเดิม

รายงานข่าวแจ้งว่า วันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ศาลจังหวัดมุกดาหาร แจ้งสื่อมวลชนที่ขออนุญาตมาทำข่าวในวันดังกล่าว ว่า ศาลจังหวัดมุกดาหารเลื่อนการอ่านคำพิพากษา เดิมกำหนดอ่านคำพิพากษาวันที่ 31 ต.ค. เนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจร่างคำพิพากษา จึงเลื่อนการอ่านคำพิพากษาไปปลายเดือนธ.ค.นี้ ตามวันว่างของคู่ความ

ช่วงเย็นวันเดียวกัน นายณรินทร์ หรือ น้าแต หลาบโพธิ์ อายุ 38 ปี น้าของน้องชมพู่ เผยหลังทราบข่าวหลังจากศาลจังหวัดมุกดาหารเลื่อนอ่านคำพิพากษาว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่น้องชมพู่เสียชีวิต ส่วนตัวและครอบครัวต่างนับวันรอที่ศาลจะอ่านคำพิพากษา เพราะหากศาลมีคำสั่งแล้วสมาชิกครอบครัวจะได้พ้นมลทินและกลับไปขายของออนไลน์ได้อีกครั้ง เพราะยังมีประชาชนบางรายตั้งข้อสงสัยว่าครอบครัวร่วมกันฆ่าน้องชมพู่ ครอบครัวทุกคนได้รับผลกระทบหมด อย่างตนโดนลูกศิษย์ต่อว่ามากมาย

อีกทั้งครอบครัวจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพราะปัจจุบันเวลากินอาหารร่วมกันในครอบครัว และมีใครพูดถึงเรื่องคดีน้องชมพู่ว่าศาลจะตัดสินอย่างไร สุดท้ายมักจะจบลงด้วยการทะเลาะกัน เนื่องจากสมาชิกในครอบครัวยังแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายแม่น้องชมพู่ และฝ่ายลุงพล ป้าแต๋น

แม้จะรู้สึกผิดหวังที่ศาลเลื่อนอ่านคำพิพากษา แต่ยังรอได้หากสุดท้ายลุงพลและป้าแต๋นถูกตัดสินว่ามีความผิด ต้องปล่อยให้เป็นได้ตามกระบวนการยุติธรรม คนผิดต้องได้รับกรรม แล้วไปเยี่ยมในเรือนจำ เนื่องจากยังมีความผูกพันในสถานะพี่น้อง และถ้าหากว่าหลานทั้ง 2 คนอยากจะกลับมาอยู่กับตายาย ครอบครัวพร้อมที่จะเลี้ยงดูหลานเพราะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขกัน แต่หากศาลยกฟ้องเชื่อว่าแม่น้องชมพู่จะต้องสู้เต็มที่แน่นอนเพื่อทวงความยุติธรรมให้ลูก

“หากสู้กันจนถึงที่สุดแล้ว เชื่อว่าครอบครัวของเราไม่สามารถจะกลับมาพูดคุยกันได้เหมือนเดิม เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องทะเลาะวิวาทกันธรรมดา เราไม่สามารถที่จะกลับไปพูดคุยกันได้แล้ว แต่ก็จะยังมีความห่วงใยให้กันตามประสาพี่น้อง เพียงแต่เราต่างคนต่างอยู่ แม้น้องชมพู่จะเสียชีวิตไปนานนับปีแล้วแต่ยังคิดถึงเสมอ เก็บภาพน้องชมพู่ไว้ในโทรศัพท์ มือถือและความทรงจำ รวมถึงปัจจุบันไม่ได้ติดต่อฝ่ายลุงพล ป้าแต๋น มานานกว่า 1 ปี” น้าแตกล่าว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน