จนมุมเชียงใหม่ อีกชุดรวบแก๊ง‘ไต้หวัน-ญี่ปุ่น’

สตม.แถลงกวาดจับผู้ต้องหาชาวต่างชาติ 2 คดีใหญ่ รายแรกหนุ่มเมืองเบียร์หนีคดี จากบ้านเกิดมาซุกในไทย ถูกทางการเยอรมันออกหมายจับคดีละเมิดทางเพศเด็ก และ ผลิตสื่อเนื้อหาลามกอนาจารเด็กเผยแพร่ใน โซเชี่ยล ขณะที่อีกรายแก๊งโจรข้ามชาติไต้หวัน-ญี่ปุ่น ใช้ไทยเป็นฐานตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์ตุ๋นชาวญี่ปุ่นกว่า 17,500 รายรวมความเสียหายกว่า 9,500 ล้านบาท

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 พ.ย. ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) เมืองทองธานี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย รรท.ผบช.สตม. พล.ต.ต.มานัด ศรีวงษา รอง ผบช.สตม. พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. แถลงข่าวผลจับกุมผู้ต้องหาชาวต่างชาติหลบหนีคดีมากบดานในประเทสไทย และแก๊งต่างชาติใช้ประเทศไทยเป็นฐานตั้งคอลเซ็นเตอร์หลอกชาวญี่ปุ่น

คดีแรกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้รับการประสานจากสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทย ส่งหนังสือมายังกองการต่างประเทศ แจ้งข้อมูลนายไมก์ สัญชาติเยอรมัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลเมืองฮัมบวร์ก ในความผิดฐาน ร่วมกันละเมิดทางเพศเด็ก, ชักจูงเด็กโดยการแสดงภาพหรือนำเสนอภาพลามกอนาจาร โดยการถ่ายวิดีโอที่มีเนื้อหาลามกอนาจาร และเผยแพร่เนื้อหาลามกอนาจารผ่านทางช่องทางการสนทนาสื่อสาร, ผลิตเนื้อหาลามกอนาจารเด็กที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางเพศที่กระทำต่อหน้าบุคคลอายุต่ำกว่า 14 ปี และบังคับให้กระทำการทางเพศโดยใช้กำลังหรือข่มขู่ว่าจะทำร้าย

พล.ต.ท.อิทธิพลจึงได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. ตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่านายไมก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เมื่อวันที่ 15 5.ค.2562 ประเภทวีซ่าคนอยู่ชั่วคราว และได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรถึงวันที่ 16 ก.ย.2567 จึงเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของผู้ต้องหา เนื่องจากพิจารณาว่าเป็นบุคคล ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร

หนีไม่พ้น – ตร.ตามจับนายไมก์หนุ่มเยอรมัน หลบหนีคดีล่วงละเมิดเด็กจากเมืองฮัมบวร์ก มากบดานอยู่บ้านเมีย คนไทยในต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ คุมตัวมาสอบสวน ก่อนส่งกลับประเทศ เมื่อวันที่ 8 พ.ย.

ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่านายไมก์พักอาศัยอยู่กับหญิงไทยที่บ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ ต.แม่นะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ จึงนำกำลังเข้าควบคุมตัว แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ได้รับทราบ พร้อมเปรียบเทียบปรับเจ้าของบ้านในข้อหา เจ้าบ้านเจ้าของหรือผู้ครอบครองเคหสถาน รับคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเข้าพักอาศัยแล้วไม่แจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมง จากนั้นควบคุมตัวนายไมก์ส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อกักตัวรอการส่งกลับไปดำเนินคดีที่สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีต่อไป

อีกคดีจับกุม 4 ผู้ต้องหาแก๊งไต้หวัน-ญี่ปุ่นคอลเซ็นเตอร์ ประกอบด้วย นายเฉิน อายุ 50 ปี 2.นายเหอ อายุ 40 ปี ทั้งคู่สัญชาติไต้หวัน 3.นายไดซูเกะ อายุ 49 ปี และ 4.นายทาโร่ อายุ 41 ปี ทั้งคู่สัญชาติญี่ปุ่น สืบเนื่องจาก บก.สส.สตม. ได้รับประสานข้อมูลจากตำรวจไต้หวันและญี่ปุ่น กรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มหนึ่ง ใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด ทางบก.สส.สตม. จึงสืบสวนติดตามผู้ต้องหากลุ่มดังกล่าว กระทั่งพบขบวนการดังกล่าวมีชาวไต้หวัน ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีม และคนญี่ปุ่นทำหน้าที่เป็นพนักงาน

โดยพนักงานคนญี่ปุ่นจะอ้างตัวเป็น เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ธนาคารหลอกลวงคนญี่ปุ่น และรับหน้าที่จัดหาคนญี่ปุ่น ซึ่งบินจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ ในประเทศไทย โดยให้ส่งข้อความโทรศัพท์ผ่านระบบ VOIP ไปยังผู้เสียหาย ซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่น โดยตั้งฐานอยู่ในหมู่บ้านหรูสองหลังติดกันในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจึงรวบรวมหลักฐานขอหมายค้นต่อศาลจังหวัดสมุทรสาคร เข้าตรวจค้นพบนายเฉิน นายเหอ นายไดซูเกะ พร้อมโทรศัพท์มือถือ 11 เครื่อง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 2 เครื่อง บัตรกดเงินสด และบัตรเครดิต 5 ใบ และสคริปต์บทสนทนาที่ใช้สำหรับการพูดคุยกับผู้เสียหายและแบบฟอร์มกรอกข้อมูลผู้เสียหายฉบับภาษาจีนและญี่ปุ่น จำนวนหลายชุด โดยมีผู้เสียหายเป็นชาวญี่ปุ่นกว่า 17,500 ราย รวมความเสียหายกว่า 9,500 ล้านบาท

แก๊งไต้หวัน-ญี่ปุ่น – ตำรวจตม.จับกุมนายเฉิน อายุ 50 ปี และนายเหอ อายุ 40 ปี สัญชาติไต้หวัน นายไดชูเกะ อายุ 49 ปี และนายทาโร่ อายุ 41 ปี สัญชาติญี่ปุ่น 4 ผู้ต้องหาร่วมกันตั้งฐานแก๊งคอลฯในประเทศไทยหลอกลวงชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 8 พ.ย.

จากการสืบสวนขยายผลพบว่า หัวหน้าของขบวนการดังกล่าวเป็นชาวไต้หวัน สั่งการมาจากไต้หวัน มีนายเหอเป็นรองหัวหน้า ทำหน้าที่ในการจัดหาบัญชีม้า และควบคุมพนักงานชาวญี่ปุ่นที่ทำหน้าที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงการประสานงานกับผู้ร่วมขบวนการในการหาคนญี่ปุ่นเข้ามาทำงานเป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการไต้หวัน 2 หมาย ในข้อหานำเข้ายาเสพติดและฉ้อโกง ส่วนนายเฉินเป็นรองหัวหน้า ทำหน้าที่จัดหาข้อมูลของประชาชนชาวญี่ปุ่นและควบคุมพนักงานคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์หลอกเหยื่อชาวญี่ปุ่น

ขณะที่นายไดซูเกะ ทำหน้าที่เป็นพนักงานคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น ในประเทศญี่ปุ่น และหากหลอก ผู้เสียหายได้จะจดบันทึกข้อมูลของผู้เสียหายลงในแบบฟอร์ม ส่วนผู้ต้องหารายสุดท้ายนายทาโร่ทำหน้าที่ในการจัดหาคนญี่ปุ่น มาทำงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ พบหลบหนีไปกบดานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง อ.เมือง จ.กระบี่ จึงนำกำลังเข้าจับกุมตัวส่ง พงส.กลุ่มงานสอบสวนบก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์กล่าวว่า จากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งพยานหลักฐานทั้งหมดให้สถานทูตญี่ปุ่นและไต้หวัน เพื่อไปขยายผลต่อหรือยึดทรัพย์เป็นการทำงานร่วมกันผ่านแดน ไม่ให้แก๊งต่างชาติเหล่านี้มาตั้งฐานกระทำความผิดในประเทศไทยอีก

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน