‘มนัส’ส่งใจช่วย‘สมรักษ์’

ยังหนุนฮีโร่พี่ชายแป๊กโก้โร่มอบตัวกลุ่มเพื่อนสาว17ลุยเอาผิดแชร์มั่ว

‘มนัส-ฮีโร่โอลิมปิก’โพสต์ให้กำลังใจ ‘สมรักษ์’ ระบุ ‘รู้นิสัยพี่ดี’ อันไหนผิดก็ยอมรับ ที่ไม่ผิดก็สู้ครับพี่’ ขณะ ‘แป๊กโก้’ คนสนิทนักชก เข้ารับทราบข้อหาแล้ว โดนร่วมพรากผู้เยาว์และร่วมพาไปอนาจาร ผกก.สภ.เมืองขอนแก่นเผย ตร.รับกลุ่มเพื่อนสาว 17 เข้าแจ้งความ เอาผิดปมถูกนำรูปไปแชร์ในโซเชี่ยล จนได้รับความเสียหาย

จากกรณี ‘สมรักษ์ คำสิงห์’ นักมวยเหรียญทองโอลิมปิก แอตแลนต้าเกมส์ ถูกหญิงสาววัย 17 ปี กล่าวหากระทำการอนาจารและล่วงละเมิดทางเพศ ภายในโรงแรม หลังกลับจากสถานบันเทิงด้วยกัน พร้อมกับถูกตั้งข้อกล่าวหา 4 ข้อ พร้อมกับเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ได้เข้ามาพบกับพนักงานสอบสวนไปแล้วเมื่อคืนวันที่ 13 ธ.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่นายพิเชษฐ์ ชิเนหันทา หรือหรือ ‘แป๊กโก้’ เพื่อนคนสนิท ที่เป็นคนขับรถจักรยานยนต์พาสมรักษ์และผู้เสียหายไปโรงแรม ตกเป็นผู้ต้องหาที่ 2 ในข้อหาร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากผู้ปกครอง, 2.ร่วมกันพาบุคคลอายุต่ำกว่า 15 แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร

ความคืบหน้าคดีเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. พ.ต.อ.ยศวัจน์ แก้วสืบธัญนิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น เปิดเผยว่า วันนี้ได้รับการติดต่อจากกลุ่มเพื่อนเด็กสาว 17 ที่เป็นผู้เสียหาย หลังกลุ่มเพื่อนถูกนำเอาภาพถ่ายของกลุ่มเด็กสาวไปโพสต์ตามสื่อโซเชี่ยลต่างๆ ทำให้ถูกโลกโซเชี่ยลเข้าใจว่า กลุ่มเพื่อนคือเด็กสาว วัย 17 ปี ที่กำลังเป็นข่าวกับนายสมรักษ์ ทำให้ได้รับความเสียหายและอับอาย จึงได้ประสานเข้ามาพบพนักงานสอบสวน เพื่อแจ้งความดำเนินคดี แต่ยังไม่ทราบเวลาที่แน่ชัด ทั้งนี้เมื่อมาถึงแล้ว พนักงานสอบสวนจะได้สอบปากคำและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ผกก.สภ.เมืองขอนแก่นกล่าวอีกว่า เมื่อช่วงสายวันนี้ นายพิเชษฐ์หรือ ‘แป๊กโก้’ คนสนิทของสมรักษ์ ผู้ต้องหาที่ 2 ในคดีที่หญิงสาววัย 17 ปีแจ้งความดำเนินคดี ใน 2 ข้อหา คือ 1.ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากบิดา มารดา หรือ ผู้ปกครอง 2.ร่วมกันพาบุคคลอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร ได้เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว โดยได้เดินทางมาพร้อมกับผู้ไว้วางใจ 1 คน

แป๊กโก้รับข้อหา – นายพิเชษฐ์ ชิเนหันทา หรือแป๊กโก้ คนสนิทสมรักษ์ คำสิงห์ ที่ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันคดีสาว 17 เข้ารับทราบข้อหาที่สภ.เมืองขอนแก่น เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ขณะที่มนัส บุญจำนงค์ ฮีโร่รุ่นน้องให้กำลังใจรุ่นพี่สู้คดี เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.

พ.ต.อ.ยศวัจน์กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังการสอบปากคำได้อนุญาตให้เดินทางกลับบ้านได้ เนื่องจากผู้ต้องหาไม่ได้มีพฤติกรรมหลบหนี มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางเข้ามารับทราบข้อกล่าวหาของนายพิเชษฐ์ ในวันนี้ มีสื่อมวลชนจากหลายสำนักมารอติดตามทำข่าว แต่นายพิเชษฐ์ได้หลบสื่อมวลชนเข้าไปพบพนักงานสอบสวน และกลับออกจากสภ.เมืองขอนแก่นไป

วันเดียวกัน ‘เติ้ล’ มนัส บุญจำนงค์ อดีตนักมวยเหรียญทองโอลิมปิก 2004 ที่ประเทศกรีซ ซึ่งนับเป็นนักกีฬามวยสากลสมัครเล่นของไทยคนที่ 5 ที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก ได้ออกมาให้กำลังใจ ‘สมรักษ์ คำสิงห์’ โดยโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว Manus Boonjumnong ระบุว่า “พี่คือพี่ชายผม ผมอยู่กับพี่มาตั้งแต่เด็ก ผมรู้นิสัยพี่ดีครับ ผมเป็นกำลังใจให้พี่ครับ อันไหนผิดพี่ก็ยอมรับผิด ก็ว่าตามกฎหมายครับ แต่อันไหนไม่ผิดก็สู้ครับพี่ คนเราเหรียญมันมี 2 ด้าน ค่อยๆ ดูนะครับ ผมว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆ ครับ (ใครมองอย่างงั้นผมไม่สน เพราะคนนี้เปรียบเหมือนพี่ชายผมครับ)”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวเลข 17 ซึ่งเป็นอายุของผู้เสียหายในคดีนี้ กลายเป็นเลขเด็ดที่นักเสี่ยงโชคแห่ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจนเกลี้ยงเกือบทุกแผง

ต่อมาเวลา 16.30 น. ที่สภ.เมืองขอนแก่น 3 เยาวชนหญิงเพื่อนเด็กสาว วัย 17 ปี คู่กรณี ‘สมรักษ์ คำสิงห์’ เดินทางเข้าพบร.ต.อ.ดรุณี ลามะให รอง สว.(สอบสวน) เพื่อแจ้งความกรณีมีบุคคลนำภาพส่วนตัว ไปโพสต์ลงในโซเชี่ยลมีเดีย ว่าเป็นเด็กอายุ 17 ปีคู่กรณีของอดีตนักมวย จนสังคมเกิดการเข้าใจผิดและมีการแชร์ภาพดังกล่าวจนเกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ชื่อเสียงของเยาวชนทั้ง 3 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนเดินทางไปรับเยาวชนทั้ง 3 คนที่ จ.กาฬสินธุ์ มาแจ้งความที่สภ.เมืองขอนแก่น โดยพาเดินเข้าทางด้านหลังอาคารโรงพัก เพื่อเลี่ยงไม่ให้ให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ เนื่องจากมีสื่อมวลชนจากหลายสำนัก ทั้งสื่อท้องถิ่นและสื่อส่วนกลาง ให้ความสนใจติดตามเฝ้าทำข่าวจำนวนมาก ตำรวจเกรงว่าจะกระทบสิทธิ์เยาวชน จึงไม่ยอมให้ลงจากรถ ก่อนที่เวลาจะผ่านไปประมาณกว่า 1 ชั่วโมง เยาวชนทั้ง 3 คนจึงลงจากรถมาพร้อมกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยมีกำลังตำรวจคอยคุ้มกัน ก่อนจะเดินเข้าห้องสอบสวนโดยไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในห้องสอบสวน