อ่าน‘ปีศาจ’ผ่านยุคสมัย – สู่บรรณพิภพอีกครั้ง ช่วงเวลาที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ตื่นตัวมีส่วนร่วมทางการเมืองดุจสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง
อมตะนิยายสามัญชนเล่มสำคัญ “ปีศาจ” ผลงานนักเขียนลือนาม เสนีย์ เสาวพงศ์ บอกเล่าเรื่องราวของราษฎรธรรมดา ผู้เสมือนปีศาจหลอกหลอนชนชั้นนำที่ทำใจยอมรับไม่ได้กับยุคสมัยอันผันผ่าน จึงทุรนอกสั่นขวัญผวาอยู่ในโลกเก่า
นิยายซึ่งเผชิญวิบากขวากหนามตั้งแต่คราวตีพิมพ์ครั้งแรกโดย “คำสิงห์ ศรีนอก” หรือ “ลาว คำหอม” ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์เกวียนทอง ตีพิมพ์ “ปีศาจ” ฉบับรวมเล่มเป็นครั้งแรกในปี 2500
เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้ก่อรัฐประหาร สั่งกวาดล้างหนังสือ หัวก้าวหน้าที่เข้าข่ายว่าเป็นหนังสือคอมมิวนิสต์ หรือหนังสือต้องห้าม ในยุคสมัยของการแสวงหาของคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยที่ได้รับอิทธิพลจากลัทธิสังคมนิยม-มาร์กซิสต์ที่เฟื่องฟูในทศวรรษ 2490 และงานเขียนในยุค “ศิลปะเพื่อชีวิต” ของนักเขียนชาวไทย
แม้ “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ จะรอดจากการกวาดล้าง เพราะถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนิยายผี แต่กระนั้นสำนักพิมพ์ก็ได้รับคำเตือนให้เก็บหนังสือจากท้องตลาด จึงต้องนำไปเก็บซ่อนไว้ที่ไร่ในอำเภอปากช่อง (ไร่ธารเกษม) จังหวัดนครราชสีมา
คำสิงห์เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นว่า “ผมเอากระดาษหนังสือ พิมพ์ห่อไว้ คิดว่าทำยังไงให้คนได้อ่าน เลยแยกมา 500 เล่ม นักกิจกรรม นักศึกษามาหา ผมแจก รู้ว่าหนังสือเล่มนี้จะทำให้เขาตื่น ผมตื่นจากหลับใหลเพราะเล่มนี้มาแล้ว”
ช่วงทศวรรษ 2500 “ปีศาจ” จึงส่งต่อกันในหมู่นักศึกษาและนักกิจกรรมอย่างเงียบเชียบภายใต้เงื้อมเงาเผด็จการทหาร
ตั้งแต่ปี 2512 แวดวงปัญญาชนเริ่มพูดถึง “ปีศาจ” และใน ปี 2514 สำนักพิมพ์มิตรนรานำ “ความรักของวัลยา” และ “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ มาพิมพ์ใหม่ จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 “ปีศาจ” กลายเป็นนิยายที่ตอบโจทย์ในยุคประชาธิปไตยเบ่งบานร่วมกับงานของนักเขียนไทยยุค 2490 ที่ผู้คนกลับมาอ่านอีกครั้ง
คำสิงห์กล่าวด้วยว่า “เจตนาของพี่เสนั้นชัดเจนมาก คงมีความในใจ เจตสำนึกที่อยากบอกกล่าวถึงความขัดแย้ง ปัญหาของยุคสมัยว่า เมื่อเริ่มระบบการศึกษามหาวิทยาลัย ลูกชาวบ้านที่เข้ามาสร้างปัญหาให้แก่คนที่มีชีวิตห่างเหินจากชาวบ้าน สร้างให้เห็นปัญหาว่าในที่สุดคนที่มีปัญหาจริงๆ ไม่ใช่ลูกสาวอย่างรัชนี แต่เป็นพ่อที่เป็นขุนนางที่กลัวว่าลูกสาวตนเองจะพบกับ ลูกชาวบ้าน”
ด้าน เสนีย์ เสาวพงศ์ ผู้เขียน เผยที่มาชื่อหนังสือ “ปีศาจ” ว่า “ผมเอามาจากคอมมิวนิสต์มานิเฟสโต้ มาร์กซ์บอกว่าปีศาจตนหนึ่งกำลังหลอกหลอนยุโรปอยู่ ปีศาจนั้นคือคอมมิวนิสต์ คนที่มีความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้น คุยกับคนหัวเก่า เขาก็หาว่าไอ้นี่เป็นปีศาจมาหลอกหลอนเขาทำนองนั้น นี่คือปีศาจตนใหม่ที่เกิดขึ้นมาหลอกหลอนคนเก่า”
รัชนีคือปีศาจที่น่ากลัวที่สุด เพราะเป็นขบถของชนชั้นตัวเอง รัชนีเกิดเป็นลูกเจ้าขุนมูลนาย แต่ไม่ยอมที่จะอยู่ในวงล้อมหรืออาณัติ ฉีกตัวเองเพื่อผันไปสอนอยู่ต่างจังหวัด การที่รัชนีเป็นลูก สร้างความเจ็บปวดให้คนในชนชั้นรุนแรงที่สุด
พฤศจิกายน 2563 สำนักพิมพ์มติชนนำ “ปีศาจ” และ “สาย สีมา” คืนสู่สังคมอีกครั้ง
ด้วยจำนวน 368 หน้า ปกแข็ง, 380 บาท สำนักพิมพ์มติชนได้รับเกียรติจาก สุพจน์ แจ้งเร็ว บรรณาธิการนิตยสารศิลปวัฒนธรรม เป็นผู้เขียนบทบันทึกเสมือนคำนำสำนักพิมพ์มติชน และ ผศ.ดร.ประจักษ์ ก้องกีรติ รองคณบดีฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นผู้เขียนคำนำเสนอในวาระการจัดพิมพ์ครั้งสำคัญนี้
อีกทั้งยังได้ นักรบ มูลมานัส ศิลปินคอลลาจ ตัวแทนของคนรุ่นใหม่เป็นผู้ตีความและออกแบบปก “ปีศาจ” ฉบับ 2563
หนังสือถ่ายทอดเรื่องราว สาย สีมา ที่ท่านเจ้าคุณเกลียดและกลัว ไม่ใช่เพราะ สาย สีมา คือ “ผี” ที่ไปปรากฏกาย ให้เห็นกลางวันแสกๆ แต่ สาย สีมา คือ คนรุ่นใหม่ที่มิได้ สยบนบนอบต่อค่านิยมเก่า คือคนรุ่นใหม่ที่ท่านเจ้าคุณแม้จะเกลียดจะกลัวสักเท่าใดก็กำจัดไม่ได้
ฉากสำคัญของเรื่องคือฉากบนโต๊ะอาหารที่ สาย สีมา กล่าวถ้อยคำทรงพลังถึง “ปีศาจแห่งกาลเวลา” ต่อหน้าท่านเจ้าคุณ บิดาของ รัชนี คนรักของเขา เป็นหมุดหมายสำคัญของการประกาศต่อสู้ทางชนชั้นที่ชัดเจนที่สุดของวรรณกรรมไทย และแทบทุกครั้งที่มีการปะทะกันระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่
“ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่สร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที
ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนนี้ วันนี้ ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้ แต่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่ยงคงกระพัน ยิ่งกว่าอาคิลลิส หรือซิกฟริด เพราะเขาอยู่ในเกราะกำบังแห่งกาลเวลา
ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป โลกของเราเป็นคนละโลก…โลกของผมเป็นโลกของธรรมดาสามัญชน”
เสนีย์ เสาวพงศ์ พูดถึงพลังของ “ปีศาจแห่งกาลเวลา” ในบทสัมภาษณ์ชิ้นสุดท้ายในชีวิตกับนิตยสาร Writer ว่า
“ทุกวันนี้การต่อสู้ทางความคิดยังมีอยู่ พูดง่ายๆ คือระหว่างความคิดเก่ากับความคิดใหม่ ผมรู้สึกตัวว่ายุคสมัยของผมหมดแล้ว หรือกำลังจะหมด และผมไม่อยากให้สิ่งตกค้างเก่าๆ มามีผลต่อคนอื่น ถึงเวลาต้องเปลี่ยน ธรรมชาติให้มาแบบนี้ อาจจะโหดร้ายหน่อย แต่มันเสมอหน้า และเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือกอื่นคือความตาย คุณต้องผ่านไปให้ได้ ไม่มีใครเหลือติดเลย คนที่มาใหม่ เขามาใหม่แท้ๆ เขาไม่ได้ติดอะไรเก่าๆ เลย เขามาหาเอาในยุคของเขา อาจจะเก็บตกจากของเก่า แต่เขาศึกษาเอง”