น้องชมพู่คดีดังที่ยังไม่ปิด – คดีที่สื่อมวลชนถูกตั้งคำถามถึงจรรยาบรรณในการทำหน้าที่รายงานข่าวมากที่สุดในปี 2563 คงหนีไม่พ้นคดีการเสียชีวิตอย่างปริศนาของ “น้องชมพู่” คดีดังข้ามปีที่ยังไม่มีบทสรุป

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.นำทีมแถลง

คำสัญญาจากผบ.ตร.

“ขอให้คนร้ายที่ฟังอยู่นอนเครียดต่อไป เพราะตำรวจยังไม่เลิกสืบสวน ไม่ว่าจะกินเวลานานเท่าไร ตำรวจไม่แขวนคดี ตอนนี้เราก็ทำอยู่ อาจมีเร็วมีช้าบ้าง ตัวสำนวนถ้าไม่มีการตั้งข้อหาใครได้ เราก็จะส่งไปให้อัยการ แต่คดีมีอายุความถึง 20 ปี เราต้องสืบสวนให้เต็มที่ เจ้าหน้าที่จะทำความจริงให้ปรากฏให้ได้ เราไม่ทิ้งเรื่องนี้แน่นอน” คำสัญญาที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ให้ไว้ในวันที่ 2 ต.ค. ในงานแถลงความคืบหน้าคดี น้องชมพู่ เด็กหญิงอรวรรณ วงศ์ศรีชา วัย 3 ขวบ ซึ่งหายออกจากบ้านในหมู่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 ก่อนที่ต่อมาจะพบศพบริเวณเขาภูเหล็กไฟ บ้านกกกอก ห่างจากบ้านพัก 5 กิโลเมตร ในวันที่ 14 พ.ค. แต่หลังผ่านมา 144 วันแต่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ว่าใครเป็นคนทำ

น้องชมพู่

โดยพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข นำทีมแถลงความคืบหน้าคดีหลังเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนใหม่ โดยระบุว่าคดีคืบหน้า 99% และผู้ทำคือคนใกล้ชิดน้องชมพู่มากๆ แต่ยอมรับว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอดำเนินคดี ส่วนเส้นผมที่พบในที่เกิดเหตุไม่มีรากผม ทำให้ไม่สามารถตรวจดีเอ็นเอ แบบระบุคนได้ ทราบเพียงว่าเป็นดีเอ็นเอของบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับน้องชมพู่ทางฝ่ายหญิงเท่านั้น เช่น ยาย/เเม่/ป้า/น้า/น้อง รวมถึงไม่ได้หมายความว่า เส้นผมที่พบจะเป็นของคนร้ายเสมอไป แต่จากการสืบสวนสอบสวนได้ทำอย่างรอบคอบและครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ยังไม่พบพยานหลักฐานที่จะสามารถลงโทษบุคคลใด การสืบสวนก็มีบุคคลต้องสงสัย แต่ตอนนี้ ไม่สามารถเปิดเผยได้

พฐ.หาหลักฐาน

เปิดฉากคดีปริศนา

พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.สส.บช.น. กล่าวว่า น้องชมพู่หายตัวไปจากบ้านพักวันที่ 11 พ.ค. ชาวบ้านได้ช่วยกันออกตามหา แต่ไม่พบ มารดาได้เข้าแจ้งความ และระดมออกค้นหาอย่างหนัก

จนวันที่ 14 พ.ค. เวลา 19.00 น. พบน้องชมพู่เป็นศพในสภาพนอนเปลือย บนเขาภูเหล็กไฟ โดยคดีดังกล่าวเป็นที่สนใจของประชาชน จึงมีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบสวนคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สัมภาษณ์พยานบุคคลทั้งสิ้น 384 ปาก สอบปากคำเข้าสำนวนสอบสวน 120 ปาก สอบผู้เชี่ยวชาญ 13 ปาก เก็บวัตถุพยาน 113 ชิ้น เป็นพยานหลักฐานที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น เก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ 154 ตัวอย่าง สำนวนการสอบสวนหนา 918 หน้า

จุดสำคัญของผลสรุปคดีวันนั้นคือ การชี้ชัดด้วยพยาน หลักฐานว่า เด็กไม่ได้หลงป่าจนตายเอง เป็นคดีที่มีคนกระทำผิดอย่างแน่นอน โดยเอาตัวเด็กออกไปจากบ้านจนสุดท้ายน้องชมพู่ถึงแก่ความตาย!

จุดพบศพน้องชมพู่

8 เหตุผลมีคนพาน้องไป

ตร.และผู้เชี่ยวชาญยกเหตุผล 8 ข้อมาอธิบาย 1.เส้นทางที่ยากลำบากเกินความสามารถ จากเส้นทางที่สามารถเดินเท้าขึ้นไปได้จนถึงจุดพบศพมีจำนวนทั้งสิ้น 4 เส้นทาง จะมีอุปสรรคเป็นเนินหินชัน มีความชันมากกว่า 60 องศามาขวางกั้นอยู่ในทุกเส้นทาง เกินความสามารถของน้องชมพู่ เพราะน้องชมพู่ยังไม่สามารถขึ้นบันไดที่บ้านได้ ซึ่งบันไดที่บ้านนั้นมีความชันเพียง 45 องศา

2.พลังงานไม่เพียงพอ นักโภชนาการและนักวิทยาศาสตร์ด้านสุขภาพและการกีฬา มีความเห็นสอดคล้องกันว่า อาหารเช้ามื้อสุดท้ายที่น้องชมพู่รับประทานเข้าไป มีเพียงไข่เจียว 3 คำ และน้ำส้ม 1 ขวด ไม่สามารถให้พลังงานได้เพียงพอจะเดินขึ้นไปบริเวณจุดพบศพด้วยตัวเองได้

พิธีศพน้อง

3.ชาวบ้านให้การสอดคล้องว่า เด็กไม่สามารถเดินขึ้นเองได้ 4.มีการเทียบเคียงจากการหายตัวของชาวบ้านคนหนึ่งในหมู่บ้านเมื่อเดือนส.ค. ชาวบ้านช่วยกันออกมาตามหาเจอได้ในคืนเดียว 5.แพทย์นิติเวชเดินไปถึงจุดพบศพ พบว่าเด็กไม่สามารถเดินขึ้นไปได้ กุมารแพทย์ให้ความเห็นว่า ไม่น่าจะเป็นการเดินหลง เพราะหากเด็กเดินห่างจากบ้าน 200 เมตร ยังมองเห็นบ้านได้เพราะเป็นพื้นที่ราบ แต่ไม่สามารถเดินไปยังจุดพบศพได้เอง

6.สภาพศพ มีสภาพเปลือยกาย บิดา-มารดายืนยันว่าน้องชมพู่ถอดเสื้อผ้าเองไม่ได้ 7.พบเส้นผม 36 เส้นตกอยู่ข้างศพ พบว่าเกิดจากการตัด การเฉือนด้วยมีด เด็กไม่สามารถตัดเองได้ 8.เด็กกลัวที่สูง ที่มืด ไม่เคยเล่นไกลบ้าน พ่อแม่ไม่เคยพาไปไกลบ้านเลย และไม่เคยพาขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ ทำให้เชื่อได้ว่าเด็ก ไม่สามารถเดินขึ้นไปเองได้

พ่อ-แม่ชมแถลงผลคดี

ไทม์ไลน์ เวลา สาเหตุ เสียชีวิต

ในการแถลงพล.ต.อ.สุวัฒน์เผยว่า จากการสรุปของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรื่องเวลาที่เกิดเหตุคือ ระหว่าง 09.11-09.49 น. อ้างอิงจากดูคลิปวิดีโอในโน้ตบุ๊ก ที่น้องชมพู่เปิดดูเป็นคลิปสุดท้าย และเวลา 09.49 น. ซึ่งเป็นเวลาที่พี่สาวเลิกใช้เฟซบุ๊ก จึงยืนยันว่าหายตัวไปในช่วงเวลาดังกล่าว

แพทย์ชันสูตรสันนิษฐานว่าน่าจะเสียชีวิต ระหว่างเวลา 14.30 น. วันที่ 12 พ.ค. กับเวลา 14.30 น. วันที่ 13 พ.ค. และจากการสอบปากคำนักกีฏวิทยา ที่พบหนอนในศพน้องชมพู่ ในการชันสูตรวันที่ 15 พ.ค. หนอนอยู่ระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย คาดว่าเสียชีวิต 3 วัน เมื่อนับย้อนไปคือวันที่ 12 พ.ค. อยู่ในห้วงเวลาเดียวกันกับที่แพทย์สันนิษฐานไว้

เมื่อเทียบกับการเน่าของเนื้อหมูบริเวณภูเขา จากการจำลองพบว่ามีอัตราเร่งมากกว่าปกติ เมื่อนำมาวิเคราะห์ การเจริญเติบโตของหนอนมีเวลา 33 ชั่วโมง ทำให้พบว่าน้องชมพู่น่าจะเสียชีวิตช่วงเช้าวันที่ 12 พ.ค. เวลา 14.30 น.ไปจนถึงวันที่ 13 พ.ค. เวลา 14.30 น. ส่วนสาเหตุการเสียชีวิต ไม่พบบาดแผลใดๆ ที่นำไปสู่การเสียชีวิต และไม่พบร่องรอยการกระทำอนาจารทางเพศ แต่แพทย์สันนิษฐานว่า อาจเสียชีวิตจากการขาดน้ำเพราะเนื้อผิวหนังแห้งน้อยกว่าภายใน สาเหตุจากการขาดน้ำทำให้มีการเน่าน้อยกว่า และยังไม่พบอาหารในกระเพาะ แต่พบของเหลวในกระเพาะ ซึ่งคาดว่าเป็นการเน่าของศพ จึงไม่ยืนยันว่าของเหลวที่พบคืออาหาร

ลุงพลเปิดใจ

หลักฐานยังไม่พอให้ดำเนินคดี

คดีนี้ตำรวจมีคนสงสัยชัดเจน หลังจากขีดวงจนแคบแล้วว่า มีอยู่ไม่เกิน 10 คน ที่สามารถเข้าถึงในบ้าน และเด็กยอมให้ อุ้มตัวออกจากบ้านได้ ในจำนวนนี้กรองจนเหลือชัดๆ แล้วว่าน่าจะเป็นใคร เพียงแต่ต้องมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงให้ได้ ที่แน่ๆ ไม่มีคนร้ายจากที่ไหนมาก่อเหตุ เพราะไม่มีเหตุจูงใจที่ใครจะเอาตัวเด็กไปเพื่อประโยชน์อื่นใด ต้องเป็นคนในครอบครัวเครือญาติใกล้ชิด ทั้งคงไม่ได้คิดจะเอาตัวไปทำร้าย น่าจะเป็นความพลาดพลั้งบางอย่างแล้วด้วยความรอบรู้สภาพพื้นที่ คนร้ายจึงตัดสินใจ เอาร่างไปทิ้งอำพรางบนภูเหล็กไฟ

ในส่วนของข้อหาจึงไม่ใช่ฆ่าโดยเจตนา แต่เป็นข้อหา พรากเด็กและกักขังหน่วงเหนี่ยวเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต และข้อหาซ่อนเร้นเคลื่อนย้ายทำลายและอำพรางศพ แต่เพราะเหตุเกิดในพื้นที่ซึ่งไม่ใช่ชุมชนพลุกพล่าน ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ในขณะคนร้ายก่อเหตุ ไม่มีกล้องวงจรปิด การตรวจสอบสัญญาณมือถือยากลำบาก การพิสูจน์พยานหลักฐานอื่นจึงต้องละเอียด โดยพยานแวดล้อมต่างๆ พอจะบ่งชี้ผู้ต้องสงสัยได้แล้ว แต่หลักฐานยังไม่พอถึงขั้นจับกุม

บ้านกกกอก

ถนนทุกสายมุ่งสู่บ้านกกกอก

คดีนี้นับเป็นคดีที่หลายฝ่ายถูกตั้งคำถามถึงการทำหน้าที่ โดยเฉพาะบรรดาสื่อมวลชน ที่ยกขบวนกันไปเกาะติดนำเสนอข่าวหลากหลายแง่มุม ทั้งเรื่องความคืบหน้าในคดีและชีวิตผู้คนในบ้านกกกอก ทั้งมีการนำเสนอหลักฐานต่างๆ ที่รวบรวมมาหักล้างและสนับสนุนข้อสงสัยต่างๆ หรือแม้แต่การทรงเจ้าเข้าผีเพื่อช่วยคลี่คลายคดีตามความเชื่อ กลายเป็นซีรีส์ที่มีคนติดตามจำนวนมากทุกวัน

จากหมู่บ้านเล็กๆ ที่แทบไม่มีคนรู้จัก กลายเป็นที่สนใจ ผู้คนอยากจะไปเยือนสักครั้ง ชาวบ้านต่างปรับตัวกับกระแส นำผลผลิตต่างๆ มาวางขายเป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

แต่ก็มีผลที่ตามมา เมื่อหลายครั้งข้อมูลการสืบสวนของตำรวจถูกนำมาเปิดเผยทั้งที่ยังไม่มีข้อสรุป ทำให้คนในครอบครัวน้องชมพู่ รวมทั้งญาติพี่น้องต่างตกเป็นจำเลยสังคม สร้างความแตกแยก ความหวาดระแวงในครอบครัวและชุมชนชนิดไม่เคยมีมาก่อน

จินตหรา พูนลาภ กับลุงพล-ป้าแต๋น

จับตาบทสรุปคดีน้องชมพู่

เพราะการดำเนินคดีไม่สามารถอาศัยเพียงข้อสงสัย แต่ต้องมีพยานหลักฐานที่มัดแน่นจนเชื่อได้ว่าเป็นคนร้ายตัวจริง โดยเฉพาะการทำงานในคดีสำคัญๆ ที่ผ่านมาของพล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. อาทิ คดีฆ่าหั่นศพนักธุรกิจชาวสเปน คดีวางระเบิดราชประสงค์ คดีวางระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า คดียิงถล่มป้อม ชรบ. ตำบลลำพะยา อำเภอเมือง จังหวัดยะลา คดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวที่เกาะเต่า ฯลฯ ล้วนสามารถการันตีได้เป็นอย่างดี จับตาดูกันต่อไปมั่นใจได้ว่าหากมีการขออนุมัติหมายจับใครในคดีนี้ แต่ต้องมีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มารองรับอย่างแน่นหนา ไม่ใช่แค่เพียงข้อสงสัย ลืมคำว่าแพะไปได้เลย

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน