เมื่อไม่ให้แก้รธน. ต้องปิดสวิตช์ส.ว.ให้ได้ – หลังกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสภาต้องล้มคว่ำไป โอกาสที่จะได้การเมืองเป็นประชาธิปไตยเสรี ไร้การผูกขาดอำนาจโดยคนกลุ่มเดียว ก็เหมือนมาถึงจุดมืดมน อย่างน้อยก็ต้องเสียเวลาเนิ่นนานออกไปอีก

จนเชื่อกันว่ากระบวนการเตะถ่วง มุ่งหมายให้การเลือกตั้งหนหน้า ต้องจมอยู่กับรัฐธรรมนูญที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำนี้ต่อไป

ประชาชนไปลงคะแนนเลือกตั้งกันขนาดไหน สุดท้ายก็ขึ้นกับ 250 ส.ว.จากการแต่งตั้งที่จะชี้ขาดให้ใครเป็น นายกฯ

ทำให้ประเทศชาติยังต้องล้าหลัง การพัฒนาเจริญก้าวหน้ายังคงเชื่องช้ากันต่อไป!

ในบรรยากาศเช่นนี้ หลายคนนึกย้อนกลับไปเมื่อการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562

ถ้าวันนั้นพรรคการเมืองที่มาจากรากฐานประชาธิปไตยทั้งหมด ผนึกกันแน่นหนา เพื่อตั้งรัฐบาลโดยเสียงส.ส.ล้วนๆ ปิดสวิตช์อำนาจส.ว.ให้ไร้ค่าไร้ความหมาย

การเมืองไทยอาจจะไปได้ดีกว่าวันนี้ เมื่อการเมืองดี เศรษฐกิจชีวิตประชาชนย่อมดีด้วย

แล้วย้อนกลับไปยังท่าทีพรรคขนาดกลาง 2-3 พรรค ที่ตัดสินใจโดดเข้าร่วมรัฐบาลวันนั้น ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อไปผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ

ถ้าคิดให้ไกล มากกว่าผลประโยชน์เฉพาะหน้าคือการ โดดเข้าไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี

ก็จะเป็นการร่วมสร้างประชาธิปไตยที่สำคัญ!

ทำให้กลไกอันล้าหลังของรัฐธรรมนูญฉบับนี้สิ้นท่า

เลือกนายกฯ โดยฝ่ายส.ส.ที่มาจากประชาชน โดย 250 ส.ว.ที่ไม่ใช่กลไกประชาธิปไตยไม่อาจทำอะไรได้!

แต่วันนั้นไม่ตัดสินใจโดยมองให้ไกลไม่คิดให้กว้าง

ผลก็คือ เมื่อจะมาแก้รัฐธรรมนูญกันในวันนี้ ก็โดนสกัดขัดขวางสารพัด จนล้มคว่ำ

ประชาชนคนดูก็จับได้ ว่าทำท่าขึงขังเป็นนักประชาธิปไตย ก็แค่ปาหี่!

แต่เอาเป็นว่า ต่อจากนี้ก็ยังต้องเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญกันใหม่ แม้ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ก็ต้องลงมือ

แล้วเมื่อถึงเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้ายังใช้รัฐธรรมนูญฉบับเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มเดียวนี้ต่อไป ประชาชนก็ต้องช่วยกันด้วยสองมือ

ด้วยการช่วยกันเลือกพรรคฝ่ายประชาธิปไตยให้ท่วมท้น

ให้เหนือกว่าพรรคเฉพาะกิจที่ตั้งมาเพื่อให้คนคนเดียวที่ไม่ใช่นักประชาธิปไตยเป็นนายกฯ

แล้วพรรคการเมืองที่มีความเป็นประชาธิปไตยก็ต้องร่วมกันตั้งรัฐบาล โดยไม่ให้อำนาจ 250 ส.ว.มาเหนือเสียงที่มาจากประชาชน

บทเรียนเจ็บแสบทางการเมืองในวันนี้ น่าจะมีบทสรุปที่ถูกทาง!

วงค์ ตาวัน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน