ฮีตสโตรกหรือโรคลมแดดฮีตสโตรก (Heatstroke) หรือโรคลมแดด เป็นภาวะที่เกิดจากร่างกายมีความร้อนสูงเกินไป ซึ่งมักเกิดจากการทำงาน ใช้แรงงาน หรือออกกำลังกายอย่างหนักในภาวะแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง มักเกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า และมักจะเกิดในช่วงฤดูร้อนหรือบริเวณที่มีความชื้นในอากาศสูง

ฮีตสโตรกอาจทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ไต และกล้ามเนื้อได้ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงทีจะมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้ บางรายถึงขั้นพิการและเสียชีวิตได้

พญ.ดวงพร รุธิรโก อายุรแพทย์ และแพทย์ด้านเวชบำบัดวิกฤตระบบประสาท ร.พ.กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ฮีตสโตรก หรือ ภาวะฉุกเฉินจากความร้อนแบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ตามสาเหตุที่ทำให้เกิด ได้แก่

1.Classic heatstroke or Non- exertional heat stroke เกิดจากการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงแล้วทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงตาม มักพบในคนที่อยู่ในบริเวณที่อากาศร้อนและชื้นเป็นเวลานาน

2.Exertional heatstroke ในกรณีนี้อุณหภูมิร่างกายมักสูงขึ้นจากการทำงานหรือออกกำลังกายอย่างหนักในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงเกิดได้ง่ายขึ้นในคนที่ไม่คุ้นเคยกับอากาศร้อน

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายอย่างที่ทำให้ผู้ป่วยบางรายมีโอกาสเกิดภาวะฮีตสโตรกได้ง่ายขึ้น เช่น อายุที่น้อยหรือมากเกินไป มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคอ้วน ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย การใช้ยา บางกลุ่มที่ทำให้สูญเสียสารน้ำ หรือร่างกายไม่สามารถ ตอบสนองต่ออุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการดื่มแอลกอฮอล์ก็เป็นสาเหตุร่วมที่ทำให้กลไกการควบคุมอุณหภูมิร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดฮีตสโตรกได้เช่นกัน หรือการที่ร่างกายต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน เช่น ในกรณีที่เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศที่อากาศร้อนหรือในช่วงที่เกิดคลื่นความร้อน ร่างกายปรับตัวไม่ทันก็ทำให้เกิดฮีตสโตรกได้ง่าย

อาการของผู้ป่วยที่เป็นฮีตสโตรกจะมีอุณหภูมิกาย 40 องศาเซลเซียสหรือมากกว่า ร่วมกับภาวะความรู้สติเปลี่ยนแปลงอาจเกิดอาการสับสน กระวนกระวาย เพ้อ ชักหรือหมดสติได้ หัวใจเต้นเร็ว อัตราการหายใจเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ผิวหนังแดง

แพทย์จะวินิจฉัยโรคจากการทราบประวัติว่าผู้ป่วยมีสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะนี้ การตรวจร่างกายพบว่ามีอุณหภูมิกายสูงร่วมกับอาการแสดงในระบบต่างๆ บางกรณีอาจวินิจฉัยร่วมกับผลตรวจเลือดและเอกซเรย์เพื่อค้นหาภาวะแทรกซ้อนของฮีตสโตรกร่วมด้วยใน ผู้ป่วยบางรายที่มีโรคและความผิดปกติทางระบบประสาทอยู่เดิม เมื่อต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงเป็นเวลานาน หรือมีภาวะที่ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นมากอาจทำให้อาการทางระบบประสาทที่เคยมีกลับเป็นซ้ำได้ เช่นผู้ป่วยโรคเส้นเลือดสมอง multiple sclerosis หรือโรคลมชักซึ่งกลไกที่กระตุ้นให้เกิดอาการมากขึ้นจะแตกต่างกันในแต่ละโรค

นพ.ภวิศ เหลืองเวชการ แพทย์ด้านเวชบำบัดวิกฤตระบบประสาท ร.พ.กรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคลมแดด หรือ ฮีตสโตรก มีความแตกต่างจากสโตรก

สโตรก คือ ภาวะฉุกเฉินของระบบประสาทที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตก ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการอ่อนแรง ชา พูดลำบาก ปากเบี้ยว หรือการทรงตัวผิดปกติเฉียบพลัน ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน ซึ่งแนวทางการวินิจฉัยและ การรักษาที่แตกต่างไปจากฮีตสโตรก

ส่วนฮีตสโตรกทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้หลายอย่างโดยขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงผิดปกติ โดยหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจทำให้เกิดผลเสียต่ออวัยวะสำคัญต่างๆ จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ เช่น โรคทางสมองมีโอกาสทำให้เกิดอาการชัก สมองบวมอาจเกิดการเสียหายถาวรของเซลล์สมอง อาจทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อสลาย ส่งผลกระทบถึงภาวะไตวายเฉียบพลันได้ การสูญเสียสารน้ำทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงตับลดลงอาจทำให้เกิดภาวะตับวาย มีการทำงานที่หนักขึ้นของหัวใจอาจส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดภาวะ หัวใจวายได้ อาจทำให้เกิดภาวะวิกฤตทางระบบการหายใจ อาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกง่าย หรือเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย

วิธีรับมือฮีตสโตรกเบื้องต้น สามารถทำได้โดยการลดอุณหภูมิร่างกาย 1.พาผู้ป่วยเข้ามาพักในที่ร่มหรือในที่ที่มีเครื่องปรับอากาศและมีอุณหภูมิที่เย็นลง 2.ถอดเสื้อผ้าและคลายเครื่องแต่งกายที่รัดแน่นจนเกินไปออกเพื่อให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัว 3.อาจเช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำเย็น หรือใช้ถุงน้ำแข็งวางบริเวณศีรษะ ลำคอ รักแร้และขาหนีบ หรืออาจใช้สเปรย์น้ำเย็นพ่น 4.ห้ามดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดย เด็ดขาด เนื่องจากเครื่องดื่มประเภทนี้จะทำให้ความสามารถในการปรับอุณหภูมิของร่างกายสูญเสียไป รวมถึงการดื่มน้ำเย็นๆ ในทันทีจะทำให้เกิดการหดเกร็งของกระเพาะอาหารได้

ทั้งนี้ ภาวะฮีตสโตรกป้องกันได้ ดังนี้ สวมใส่เสื้อผ้าโปร่งระบายลมได้ง่าย หากรู้ตัวว่าจะต้องไปอยู่ในที่อากาศร้อนอาจป้องกันตัวเองจากแสงแดดโดยสวมใส่แว่นกันแดดหรือหมวก รวมถึงใช้ครีมกันแดดที่มี SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักในที่อากาศร้อนและถ่ายเทไม่สะดวก หากพบผู้ป่วยที่ต้องสงสัยว่ามีอาการที่เข้าข่ายของโรคควรติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินหรือโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน