‘สิงห์ เอสเตท’ทุ่มอีก1,726ล้านบาท – “การซื้อนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับโรงไฟฟ้าสามแห่งที่เราเข้าไปถือหุ้นในสัดส่วนที่มากพอสมควรนี้ ถือเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นหนึ่งในการเดินหน้าสู่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของเราที่จะสร้างจุดแข็งที่ทรงพลังให้กับธุรกิจ จากการส่งเสริมซึ่งกันและกันของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ที่หลากหลายของ สิงห์ เอสเตท เพื่อทำให้เรามีความแข็งแกร่งในการแข่งขัน และทำให้ธุรกิจของเรามีความเป็น Resilient Business”

นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานกรรมการ บมจ.สิงห์ เอสเตท กล่าวภายหลัง บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) บริษัทผู้พัฒนาและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยลงนามในข้อตกลงซื้อหุ้น 100% ของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด จากบริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด โดยบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี จำกัด เป็นเจ้าของนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู้ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ ซึ่งมีเนื้อที่ 1,790 ไร่ ตั้งอยู่ในจ.อ่างทอง เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา

สำหรับการโอนหุ้นระหว่างกันคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564

ธุรกรรมดังกล่าวมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,421 ล้านบาท โดย 510 ล้านบาท เป็นเงินที่จ่ายเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท ปาร์ค อินดัสตรี ในราคาพาร์

ส่วนอีก 1,726 ล้านบาท เป็นเงินที่จะใช้ในการลงทุนพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่า การผสานธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมเข้ากับธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้าจะสร้างประโยชน์ให้กับธุรกิจของเราทั้งในด้านการเงินและการดำเนินงาน เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วนิคมอุตสาหกรรมคือหนึ่งในผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด








Advertisement

การดำเนินกิจการในนิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้ทำให้เกิดความต้อง การใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงไฟฟ้าทั้งสามแห่งของเรา และการที่นิคมอุตสาหกรรมแห่งนี้เน้นสินค้าอาหารโดยเฉพาะทำให้มีความต้องการใช้ไอน้ำจากผู้ประกอบการแปรรูปอาหารต่างๆ ในนิคม

“โรงไฟฟ้าของเราเป็นผู้ผลิตไอน้ำที่ใช้ได้ในอุตสาหกรรมอาหารด้วย นอกจากนั้น กิจการโรงไฟฟ้ายังช่วยให้เรามีรายได้อย่างต่อเนื่อง และมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ ลดความเสี่ยงในเรื่องความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดจากการขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม”

นางฐิติมากล่าวอีกว่า มากกว่าความลงตัวในเชิงกลยุทธ์แล้ว เรายังมองเห็นอนาคตที่สดใสของธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของไทยด้วย โดยอัตราการเข้าใช้พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของทั้งประเทศนั้นเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 80% ณ ช่วงสิ้นปีของปีที่แล้ว

ในขณะที่ภาคกลางมีอัตราการเข้าใช้พื้นที่ นิคมอุตสาหกรรมในระดับสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 89%

ประธานฯ บมจ.สิงห์ เอสเตท ระบุอีกว่า นิคมฯ แห่งนี้ยังมีความสำคัญตามนโยบายการขับเคลื่อนประเทศ ที่มุ่งยกระดับประเทศไทยให้เป็นครัวของโลก และเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอาหารชั้นนำของโลก

ทำเลที่ตั้งของนิคม ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความเหมาะสมสำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหาร เนื่องจากอยู่ใจกลางห่วงโซ่อุปทานอาหารและวัตถุดิบของประเทศ

ทั้งแหล่งสำคัญในการผลิตข้าว ผลิตภัณฑ์จากนม และสัตว์ปีก นอกจากนี้ ยังมีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา

รัฐบาลไทยสนับสนุนการพัฒนาอุตสาห กรรมแปรรูปอาหาร ซึ่งกำหนดเป็นนโยบายระยะยาว โดยข้อมูลของคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุน พบว่าอุตสาหกรรมการเกษตรและอาหารเป็นหนึ่งในภาคอุตสาห กรรม ที่ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนเข้ามาในอัตราที่เติบโตรวดเร็วที่สุด

ภาคกลางของประเทศไทยมีสัดส่วนของการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมดในปี 2563

คาดการณ์ว่าความต้องการที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น เมื่อผ่อนปรนมาตรการความเข้มงวดในการเดินทางหลังการคลี่คลายของโควิด-19

ก่อนหน้านี้ บมจ.สิงห์ เอสเตท จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปีเมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่ผ่านมา ผู้ถือหุ้นได้อนุมัติแผนการซื้อหุ้น 30% ในโรงไฟฟ้าสามแห่งที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมเวิลด์ ฟู้ด วัลเลย์ ไทยแลนด์ คิดเป็นมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 1,392 ล้านบาท

ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าแห่งแรกเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมที่ดำเนินการผลิตอยู่แล้วขนาด 123 เมกะวัตต์

ส่วนโรงไฟฟ้าแห่งที่สองและสามเป็น โรงไฟฟ้าใหม่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง มีกำหนดจะเปิดดำเนินการได้ในปี 2566 กำลังการผลิตแห่งละ 140 เมกะวัตต์

ซึ่งทั้งหมดนี้เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่บมจ.สิงห์ เอสเตท ประกาศดันรายได้ต่อปีเพิ่มขึ้นสามเท่า กลายเป็นประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี

มีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นเป็น 80,000 ล้านบาท ภายในระยะเวลา 3 ปี

เปิดเครือข่าย‘4ธุรกิจ’ที่เชื่อมโยงกัน

สําหรับ ‘สิงห์ เอสเตท’ กำลังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจ โดยครอบคลุม 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างสม่ำเสมอ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ยากจะคาดเดาทั้งในประเทศและทั่วโลก

3 กลุ่มธุรกิจแรกของสิงห์ เอสเตท ประกอบด้วย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจโครงการที่พักอาศัย และธุรกิจรีสอร์ตและโรงแรม

กลุ่มธุรกิจที่ 4 ของสิงห์ เอสเตท เป็นธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มและส่งเสริมซึ่งกันและกันกับธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ธุรกิจบริการด้านวิศวกรรม และธุรกิจบริการนวัตกรรมอื่นๆ

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ของสิงห์ เอสเตท ประกอบด้วยพื้นที่อาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 140,000 ตารางเมตร สร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 15% ของรายได้ทั้งหมดใน ปี 2563

นอกจากนั้นยังมีโรงแรมและรีสอร์ต 39 แห่งใน 5 ประเทศ ซึ่งมีห้องพักรวมกัน 4,647 ห้อง สร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 24% ของรายได้ทั้งหมด และมีโครงการที่พักอาศัย 23 โครงการ ประกอบด้วยที่อยู่อาศัยแนวราบ และคอนโดมิเนียม เช่น แบรนด์สันติบุรี The ESSE และแบรนด์อื่นๆ

สร้างรายได้ให้กับบริษัทประมาณ 57% ของทั้งหมด

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน