เศรษฐกิจ - ส่งสัญญาณหนี้เสียปีหน้าพุ่งทะยาน

ส่งสัญญาณหนี้เสียปีหน้าพุ่งทะยาน
หมดเวลาพักชำระ-ธปท.จี้แบงก์ช่วยแบบตรงจุด

ธปท.จับตาสัญญาณหนี้เสียพุ่งยาวปี 2565 ย้ำหมดยุคพักหนี้เพราะเศรษฐกิจเริ่มฟื้น ชี้เร่งช่วยเหลือลูกหนี้โดยการปรับโครงสร้างแบบตรงจุด เผยไตรมาส 3/2564 ธนาคารปล่อยสินเชื่อโต 5.6% สะท้อนภาคธุรกิจต้องการเงินทุนหลังคลายล็อกดาวน์-เปิดประเทศ

น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2564 มีความ เข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ และสนับสนุนความต้องการสินเชื่อเพื่อรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป

มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์ การจัดชั้นช่วยชะลอการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน ภาพรวมการเติบโตของสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3 ปี 2564 ขยายตัวที่ 5.6% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน

ส่วนสินเชื่อยังคงขยายตัวต่อเนื่องแม้หักผลของสินเชื่อที่ให้แก่ภาครัฐ และมาตรการให้ความช่วยเหลือทาง การเงินโดยสินเชื่อธุรกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 6.3% จากการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในเกือบทุกประเภทธุรกิจ รวมถึงสินเชื่อที่ให้แก่ภาครัฐ สะท้อนความต้องการเงินทุนของภาคธุรกิจหลังทยอยผ่อนคลายมาตรการและแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังการเปิดประเทศ

ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวต่อเนื่อง สินเชื่อส่วนบุคคลขยายตัวใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน สอดคล้องกับความต้องการสภาพคล่องของครัวเรือนคุณภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 3 ปี 2564 ยังคงได้รับผลจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นลูกหนี้โดยยอดคงค้างสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.46 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ 3.14% ขณะที่สัดส่วนสินเชื่อที่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 6.69% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 6.34%

“ธปท.จะจับตาดูแนวโน้มการขยายตัวของ NPL ซึ่งคาดว่าในปี 2565 จะค่อยๆ ทยอยปรับขึ้น แต่ไม่ได้เป็นการปรับตัวสูงในระยะต่อไปการช่วยเหลือลูกหนี้จะไม่ใช้ลักษณะมาตรการพักชำระหนี้แต่จะดูการปรับโครงสร้างหนี้ให้ตรงจุด และให้ความช่วยเหลือในแต่ละรายที่ต่างกันซึ่งมาจากเศรษฐกิจขณะนี้มีแนวโน้มทยอยฟื้นตัว”