อาคมจ่อลดภาษีดีเซลรมว.คลังเผยอาจจะพิจารณาปรับลดภาษีน้ำมันดีเซล หากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงกู้ชนเพดานที่กำหนด ยันรัฐบาลต้องลดขนาดการทำงบประมาณขาดดุล
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง บรรยายเรื่อ “ระบบเศรษฐกิจกับการบริหารการเงินการคลังของประเทศ” ระหว่างเป็นประธานในพิธีปิดโครงการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารการเงิน การคลังภาครัฐระดับสูง (บงส.) รุ่นที่ 8 ณ โรงแรมสวิสโฮเต็ล กรุงเทพฯ รัชดา เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ว่าปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจปีนี้ มาจากความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทั่วโลกกังวลอยู่ ส่วนไทยยังมีประเด็นการเพิ่มสูงขึ้นของหนี้ครัวเรือน และหนี้สาธารณะของรัฐบาล

ช่วงที่ผ่านมารัฐบาลต้องกู้เงิน โดยออกพ.ร.ก.กู้เงินถึง 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อเยียวยาโควิด-19 ทำให้ระดับหนี้สาธารณะรัฐบาลอยู่ที่ 59% รัฐบาลต้องขยายกรอบเพดานหนี้สาธารณะเป็นไม่เกิน 70% ของจีดีพี จากเดิม ไม่เกิน 60% ของจีดีพี
ทั้งนี้รัฐบาลไม่สามารถจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลได้อย่าง ต่อเนื่องแล้วจำเป็นต้องลดขนาดของการขาดดุลลง โดยเพิ่มการ ใช้จ่ายงบประมาณเร่งการลงทุนภาครัฐต้องใช้จ่ายงบให้หมด ในปีงบประมาณนั้น และเพิ่มรายได้ด้วยการเตรียมเก็บภาษี การขายหุ้นและภาษีคริปโต คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัว ได้ 4% ฟื้นตัวจากปีที่ก่อน 1% แต่ไม่ใช่อัตราที่สูง เพราะรายได้ ท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นเต็มที่ คาดว่าปี 2565 นักท่องเที่ยวต่างชาติ ราว 7 ล้านคน น้อยกว่าปกติปีที่อยู่ที่ 40 ล้านคน ซึ่งทำรายได้ 2 ล้านล้านบาท
นายอาคมกล่าวถึงข้อเสนอให้กระทรวงการคลังลดภาษี น้ำมันดีเซลที่ปัจจุบันเก็บที่ 5-6 บาทต่อลิตรว่า หากลดภาษีน้ำมัน ดีเซลจะทำให้รัฐบาลขาดรายได้ 2 พันล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ งบประมาณปี 2565 รัฐบาลมีรายได้เพียง 2.47 ล้านล้านบาท ขาดดุลอยู่ที่ 7 แสนล้านบาท

“การลดภาษีน้ำมันต้องเป็นมาตรการสุดท้าย เพราะเรา มีกองทุนน้ำมันที่ช่วยรักษาระดับราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาท/ลิตร ซึ่งกองทุนน้ำมันสามารถกู้เงินมาช่วยรักษาเสถียรภาพ ราคาน้ำมันได้ แต่หากกองทุนกู้ยืมจนชนเพดานที่สามารถกู้ได้แล้ว เราจึงมาดูเรื่องการใช้มาตรการภาษี ในอดีตรัฐบาลเคยลดภาษี น้ำมันจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งสูงถึงระดับ 100 เหรียญ ต่อบาร์เรล”

รายงานข่าวจากสำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) แจ้งว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบให้แน่ใจว่าเงินกองทุนมีอยู่เท่าไหร่ ติดลบเท่าไหร่ ใช้ได้เท่าไหร่ แม้ว่าจะมีเงินกู้ซึ่งกฎหมายกำหนดเพดานกู้ไม่ให้เกิน 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบให้กู้ 2 หมื่นล้านบาทก่อน ในกรอบวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท หากจำเป็นสามารถกู้ได้อีก 1 หมื่นล้านบาท

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน