กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าไทยเป็นต้นแบบการรีไซเคิลในประเทศ และภูมิภาคเอเชีย กรมโรงงานอุตสาหกรรมเตรียมรีไซเคิลซากรถทั่วประเทศ 5 ล้านคัน นำเหล็กกลับมาใช้ในระบบ เพื่อลดนำเข้าเหล็ก และแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นต้นแบบการรีไซเคิลทั้งในประเทศและในภูมิภาคเอเชียในอนาคต ตามความลงนามบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) โครงการสาธิต สำหรับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนที่คำนึงถึงการอนุรักษ์พลังงานเพื่อการรีไซเคิลทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมสำหรับซากยานพาหนะที่หมดอายุใช้งานในประเทศไทย (ELV Project: End-of-life Vehicles in Thailand) ที่ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยี อุตสาหกรรม เพื่อสร้างระบบหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพจากซากรถยนต์ที่ใช้แล้วในประเทศไทย

โดยมีการกำหนดข้อปฏิบัติตามคู่มือมาตรฐานการทำงาน (คู่มือการแยกชิ้นส่วน) แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการถอดแยกซากรถยนต์ เพื่อเสนอแนวทางการจัดการ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่มีรถยนต์เก่า นำรถยนต์มาทำลายอย่างถูกวิธี พร้อมทั้งกระตุ้นให้มีการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจด้วยการซื้อรถยนต์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อมมากขึ้น นำไปสู่การเกิดระบบจัดการซากรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพเป็นรูปธรรมในประเทศไทยต่อไป

นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวว่า จากสถิติจำนวนรถจำแนกตามอายุรถทั่วประเทศ กรมการขนส่ง ทางบก ณ วันที่ 31 ม.ค.2565 ประเทศไทยมีรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปีทุกประเภท รวมทั้งสิ้น 5,033,307 คัน หากรีไซเคิลซากรถทั้ง 5 ล้านคัน จะได้เหล็กประมาณ 6.55 ล้านตัน และคาดว่าในระยะ 20 ปีข้างหน้าจำนวนรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี จะเพิ่มเป็น 16 ล้านคัน ซึ่งรถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งานยาวนาน และขาดการบำรุงรักษาตามมาตรฐานเป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งของปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน (PM 2.5) การนำไปรีไซเคิลจึงมีความจำเป็น

“กรอ.พยายามผลักดันให้ธุรกิจแยกชิ้นส่วนขยายตัว เพื่อลดปริมาณการนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ และเป็นการนำทรัพยากรจากการแยกซากรถมาหมุนเวียนให้กลายเป็นชิ้นส่วนที่เป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม เช่น ยาง พลาสติก โลหะมีค่าสกัดได้จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโลหะที่เป็นเหล็ก ซึ่งในรถยนต์ 1 คันมีสัดส่วนเหล็กมากถึง 69% คิดเป็นมูลค่ากว่า 30,000 บาทต่อคัน ขณะที่ไทยมีความต้องการเหล็ก 19 ล้านตันต่อปี เป็นการนำเข้า 12 ล้านตัน และผลิตเอง 7 ล้านตัน”

ปัจจุบันไทยมีโรงงานถอดแยกชิ้นส่วนรถยนต์แบบครบวงจรอยู่เพียง 2 แห่ง คือ บริษัท ฮีดากาโยโก เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด จ.ชลบุรี และบริษัท วงษ์พาณิชย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จ.พระนครศรีอยุธยา ดำเนินการรวบรวมรถยนต์ที่หมดอายุ รื้อชิ้นส่วนอย่างมีประสิทธิภาพ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน