ครองตำแหน่งแชมป์ตลาดรถยนต์ครอสโอเวอร์ 7 ที่นั่ง สไตล์มินิ เอ็มพีวี (Mini MPV) มาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ค่ายมิตซูบิชิ เปิดตัว เอ็กซ์แพนเดอร์ ตั้งแต่เดือนส.ค. 2561 เป็นต้นมา
ด้วยรูปลักษณ์ที่โดนใจ ประกอบกับอรรถประโยชน์ การใช้งานที่ทำได้หลากหลาย
ทำให้ยังได้รับการตอบรับจากกลุ่มครอบครัวขนาดเล็กกันมาอย่างต่อเนื่อง สะสมยอดขายในบ้านเราไปแล้วกว่า 44,000 คัน
ล่าสุดได้ฤกษ์ปรับแต่งทั้งภายนอก ภายในใหม่ เพื่อให้ดูไฉไลยิ่งขึ้น
และเพื่อให้ได้รับรู้ถึงสมรรถนะ รวมถึงสิ่งที่ปรับเปลี่ยน ว่ามีดีอย่างไรบ้าง ทีมงานประชาสัมพันธ์ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จัดทริปทดสอบ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่

ก่อนออกเดินทาง พิจารณาดีไซน์ภายนอกว่ามีอะไรใหม่บ้าง ด้านหน้าดีไซน์ Advanced Dynamic Shield เส้นสายคมชัด ไฟหน้า และไฟท้ายรูปตัว T เอกลักษณ์เฉพาะ
เพิ่มความสูงจากพื้นขึ้น 15 ม.ม. ทำให้มีความสูงจากพื้นเป็น 220 ม.ม. จะน้ำขัง หรือเนินระนาดสูง ก็ผ่านได้สบาย ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 17 นิ้ว จากเดิมขนาด 16 นิ้ว

เลือกเส้นทางกรุงเทพฯ-เขาใหญ่ ขับกันคันละ 2 คน ตกลงกับน้องนักข่าวร่วมคัน ว่าให้แต่ละคนขับรวดเดียวไป หรือกลับ จะได้ระยะทางอยู่พอประมาณ
ตอนแรกว่าจะไปนั่งเบาะนั่งแถวสาม แต่คะเนด้วยสายตาแล้วไม่น่ารอด เหมาะให้เด็กๆ หรือน้องๆ เอวบางร่างน้อยนั่งน่าจะเหมาะกว่า

เลยเลือกนั่งแถวสอง ไปแบบชิลชิล เบาะนั่งรองรับต้นขา ช่วยคลายความเมื่อยล้า ยามเดินทางไกล ช่องเสียบชาร์จไฟ USB 2 ช่อง สำหรับเบาะแถวที่สอง แบบ Type-A และ Type-C ส่วนเบาะนั่งแถวสาม เป็นแบบที่จุดบุหรี่ 12 โวลต์
แอร์สำหรับเบาะนั่ง แถวสอง-แถวสาม อยู่บนเพดาน เป่าเย็นทั่วถึง คอมเพรสเซอร์แยกกันกับแอร์ตอนหน้า ไม่ฉุดกำลังกัน เย็นฉ่ำชื่นใจ

ช่วงล่างนุ่มนวลขึ้นจนรู้สึกได้ เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ เป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนขนาดของโช้กอัพด้านหลังให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้น เป็นรุ่นเดียวกับมิตซูบิชิ ปาเจโร่ สปอร์ต
ขากลับขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ ตัวรถที่มีความสูงพอประมาณ ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยการขับขี่ ให้สามารถมองไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น พวงมาลัยดีไซน์โฉบเฉี่ยว แบบมัลติฟังก์ชัน
เบาะนั่งหนังสังเคราะห์ มาพร้อมคุณสมบัติกันความร้อนหรือ Heat Guard ตรงนี้เห็นผลชัดเจนว่าเย็นขึ้นจริง ถ้าใครใช้เบาะหนังอยู่จะรู้ว่าร้อนขนาดไหน เวลาจอดรถตากแดดไว้

ห้องโดยสารสีทูโทน น้ำตาล-ดำ หน้าจอแบบสัมผัสขนาด 9 นิ้ว เชื่อมต่อทุกความบันเทิง แอร์ดิจิตอล พร้อมฟังก์ชัน Max Cool ไปที่ตำแหน่งเย็นสุด ด้วยปุ่มเดียว คลายร้อนได้ทันใจ

เครื่องยนต์ ช่วงออกตัวให้ความรู้สึกราบเรียบ ไม่ถึงกับแรง แต่ก็ใช่ว่าจะอืด เหมาะกับบุคลิกรถสำหรับครอบครัว ที่ไปกันแบบเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ
กำลังเครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบริดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที เรียกมาใช้งาน ทั้งช่วงเร่งแซง หรือทำความเร็วปลายได้ทันใจพอสมควร

แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างชัดเจนคือความเงียบ ไม่ว่าจะจากเครื่องยนต์ หรือเสียงลม เล็ดลอดเข้ามาในห้องโดยสารน้อยมาก เป็นผลมาจากฉนวนกันเสียงที่เพิ่มเข้ามา ระหว่างห้องเครื่องยนต์กับห้องโดยสาร

เกียร์อัตโนมัติ CVT ทันสมัย และนุ่มนวล ราบเรียบไหลลื่น จากเดิมเป็นเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ที่พอทำความเร็วสูงไปยันที่เกียร์ 4 แล้ว เสียงเครื่องยนต์เหมือนจะอั้นๆ จนคนขับเกิดอาการเครียดได้ง่ายๆ
เบรกมือไฟฟ้า เพิ่มความปลอดภัย ทันสมัย ที่สำคัญใช้งานง่าย ใส่เกียร์ P เบรกมือทำงานให้ทันที ใส่เกียร์ D เบรกมือปลดให้ทันทีเช่นกัน ไม่ต้องกังวลว่าลืมใส่ ลืมปลด
ช่วงล่างบนย่านความเร็วต่ำ ถึงปานกลาง หนึบแน่น นุ่มนวล ผ่านหลุมบ่อคอสะพาน แบบไม่มีอาการหัวสั่นหัวคลอน

ส่วนความเร็วสูงเกิน 140 ก.ม.ต่อช.ม.ไปแล้ว กำพวงมาลัยให้แน่นขึ้นนิดหนึ่ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจ ซึ่งไม่น่าแปลกใจ ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่ง ย่อมมีอาการโคลงบ้างเป็นธรรมดา
เอาเป็นว่าถ้าทำความเร็วที่ 100-120 ก.ม.ต่อช.ม. ไปได้แบบชิลชิล เพลินใจกันไป
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองวันนั้นทำไว้ที่ 14.5 ก.ม.ต่อลิตร กับระยะทาง 220 ก.ม. ประหยัดพอใช้ได้เลยทีเดียว เพราะวันนั้นที่ทดสอบ ใส่เต็มมาเกือบตลอดทาง ถ้าขับแบบทั่วไปทะลุ 15 ก.ม.ต่อลิตร ต้องได้เห็น

ส่วนราคารุ่นเริ่มต้น GLX-LTD อยู่ที่ 799,000 บาท เพิ่มขึ้น 10,000 บาท ส่วนตัวท็อป GT คันที่ทดสอบอยู่ที่ 895,000 บาท เพิ่มขึ้น 32,000 บาท
ต้องไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง คุ้มหรือไม่ในยุคน้ำมันแพง!

กิตติพงศ์ ศรีเจริญ

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน