เมื่อวันที่ 31 พ.ค. เอเอฟพีรายงานว่า ผู้นำชาติสมาชิกสหภาพยุโรปหรืออียูบรรลุข้อตกลงระงับการนำเข้าน้ำมันจากประเทศรัสเซียเป็นปริมาณถึงสองในสามส่วนเพื่อเป็นการยกระดับมาตรการกดดันทางเศรษฐกิจให้รัสเซียยุติการรุกรานประเทศยูเครนหลังกองทัพรัสเซียเริ่มประสบความสำเร็จในการรุกคืบยึดพื้นที่ในภาคปกครองดอนบัสทางตะวันออกของยูเครน
นายชาร์ลส์ มิเชล ประธานคณะมนตรียุโรป กล่าวว่า ข้อตกลงที่เกิดจากการเจรจากันของบรรดาผู้นำชาติอียูเป็นไปเพื่อลงโทษรัสเซีย ถือเป็นการตัดรายได้หลักและกดดันขั้นสูงสุดจากอียูเพื่อให้รัสเซียยุติการรุกรานยูเครนที่กินเวลามายาวนานถึง 3 เดือนแล้ว
รายงานระบุว่า การเจรจาที่เกิดขึ้นของอียูนั้นกินเวลานานหลายเดือนเนื่องจากความกังวลของชาติอียูที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเป็นหลัก โดยเฉพาะทางการฮังการีที่ปัจจุบันนั้นนำเข้าน้ำมันทั้งหมดจากรัสเซีย นอกจากนี้ ทางอียูยังตกลงจะส่งเงินไปช่วยเหลือทางการยูเครน 9 พันล้านยูโร หรือกว่า 3.3 แสนล้านบาท
ด้านบริษัทแก๊สพรอม รัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของรัสเซียประกาศยุติการส่งแก๊สให้กับทางการเดนมาร์กและเนเธอร์แลนด์แล้วเนื่องจากปฏิเสธไม่ยอมชำระเงินให้รัสเซียด้วยเงิน รูเบิล ซึ่งเป็นความพยายามของรัสเซียที่จะหลีกเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
วันเดียวกัน ทางการยูเครนประณามการกระทำของรัสเซียว่ากำลังปล้นทรัพยากรของยูเครนหลังกองกำลังฝักใฝ่รัสเซียเปิดเผยว่า เรือสินค้าลำแรกสามารถเดินทางออกจากท่าเรือเมืองมาริอูโปลได้แล้วโดยมีจุดหมายปลายทางที่รัสเซียเป็นสินค้าประเภทโลหะมีค่าน้ำหนัก 2,500 ตัน โดยยูเครนระบุว่า ท่าเรือเมืองมาริอูโปลที่อยู่ภายใต้การยึดครองของรัสเซียทำให้รัสเซียนั้นมีจุดเชื่อมต่อการส่งกำลังใหม่จากแคว้นไครเมียมายังภาคตะวันออกของยูเครน