‘แต้ว’แฮปปี้บาลานซ์ชีวิตทำตามหัวใจ-เก็บมวลความสุข

อาทิตย์ใส

“Six Characters มายาพิศวง” ถือเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่นางเอกสาว ‘แต้ว’ ณฐพร เตมีรักษ์ ได้ร่วมงานกับผู้กำกับฯบรมครู ‘หม่อมน้อย’ ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล โดยรับบทเป็น ‘น้ำฟ้า ดารณี’

วันนี้เจ้าตัวมาเปิดใจถึงการร่วมงานกับหม่อมน้อย และบทบาทที่ได้รับในเรื่อง รวมถึงอัพเดตความรักกับแฟนหนุ่ม ‘ไฮโซณัย’ ประณัย พรประภา

คาแร็กเตอร์ น้ำฟ้า ดารณี?
แต้ว – “น้ำฟ้าเป็นดารายอดนิยมฝ่ายหญิงแห่งประเทศไทยในยุคนั้น คือยืนหนึ่งคนเดียวเลย ก็นึกภาพไปถึง คุณเพชรา เชาวราษฎร์ ลอยมาเลย ไม่มีใครโค่นบังลังก์ได้อะไรอย่างเนี้ย ซึ่งในยุคนั้นมุมมองของคนทั่วไปจะมองนางเอกเป็นมากกว่านักแสดง เข้าถึงยาก แทบจะเป็นนางฟ้าเจ้าหญิงเลย บทนี้คนอาจจะคิดว่าใกล้ตัวเราหรือเปล่า จริงๆ ไม่ใกล้เลย เพราะนักแสดงในสมัยนี้กับสมัยนั้นคนให้ค่าต่างกัน ยุคนี้นักแสดงเข้าถึงง่าย คนสามารถเห็นทุกมุมของเราได้ แต่นักแสดงสมัยนั้นคือเกินเอื้อม มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ก็เลยรู้สึกว่าต้องทำการบ้านเยอะเพื่อให้อยู่ในคาแร็กเตอร์ได้อย่างสมบูรณ์”

การร่วมงานกับหม่อมน้อยเป็นอย่างไรบ้าง?
แต้ว – “ถือเป็นเรื่องแรกที่ได้ร่วมงานกับหม่อมน้อยค่ะ ความรู้สึกแรกเหมือนเด็กถูกเลือกไปเป็นตัวแทนประกวดระดับประเทศ แล้วหม่อมก็พูดเลยว่าไม่ง่ายนะ แต่ตอนนั้นเรามองผิวๆ ว่าเราเป็นนักแสดงแล้วเราก็ไปเล่นเป็นนักแสดงไง มันจะยากเหรอ แต่พอได้อ่านบทมันทำให้เรารู้สึกสนใจ พอมาเจาะลึกในตัวละครก็รู้สึกไม่ง่ายจริงๆ หม่อมคืออาจารย์ที่ทำให้แต้วรู้สึกมีแพสชั่นกับการแสดง ตอนโน้นพี่อ๊อฟ (พงษ์พัฒน์) พี่แดง (ธัญญา) ส่งแต้วไปเรียนการแสดงกับหม่อม ก็ทำให้เราเจอจุดที่อยากตื่นไปทำงานได้ยังไงก็มาจากหม่อมเลย พอมาถึงวันนี้ก็เหมือนกับแปลกใจ ที่เรายังมีอะไรที่ต้องพัฒนาไปอีกเรื่อยๆ นักแสดงก็เหมือนนักกีฬาที่หยุดไม่ได้ ถ้าหยุดเราก็จะตก”

หม่อมน้อยดุบ้างไหม?
แต้ว – “ไม่เจอดุสิคะแปลก (หัวเราะ) ดุแต่ก็เป็นอะไรที่ทำให้เราตื่นตัวตลอด ถามว่าตอนที่เป็นลูกศิษย์กับตอนเป็นนักแสดงในงานของหม่อมแตกต่างกันไหม ไม่ค่อยแตกต่างเท่าไหร่เพราะมันเหมือนเรียนการแสดงแหละ ตอนเวิร์กช็อปก็มีคลาสที่เราต้องเรียนด้วย แต่เราก็เหมือนเอาบทมาเป็นเบสในการที่จะพัฒนาตัวละครไปเรื่อยๆ”

นักแสดงหลักแต่ละคนตัวท็อปทั้งนั้น?
แต้ว – “ใช่ค่ะ อย่างในพาร์ตเรา เราต้องโฟกัสมาก ต้องไม่หลุดเป็นแต้วที่นั่งดูทุกคนเล่น เราต้องฉันเป็นน้ำฟ้า นิว (ชัยพล) เป็นตัวละคร โอ้ (มาริโอ้) เป็นผู้กำกับฯ ทุกคนต้องทำหน้าที่ตรงนั้น เรียกว่าเป็นความว้าวอย่างหนึ่งในการที่เราโอ้โห! ใครเล่นบ้างเนี่ย นักแสดงหลักในเรื่องนี้แต้วได้เจอทุกคน แต่ไม่เจอพี่บอย (ปกรณ์) พี่บอยเป็นนักแสดงรับเชิญและเป็นตัวละครที่เป็นแบ๊กกราวด์ของ Six Characters เขาจะไม่ได้มาเป็นตัวละครที่มายืนเล่าเรื่องให้เราฟัง”








Advertisement

ความคาดหวัง?
แต้ว – “แต้วว่าทุกคนเต็มที่มากๆ แล้วก็แค่ให้ความตั้งใจของเรามันทำงานไปแค่นั้นเอง ก็ทำหน้าที่ไปตามที่อาจารย์บรีฟมา แล้วก็ได้รู้ว่าการแสดงเราดีหรือไม่ดียังไง แต่สิ่งที่เราเห็นรู้สึกว่าเราไม่ได้เห็นพี่แอฟเป็นพี่แอฟ โอ้เป็นโอ้ หรือแม้แต่ตัวเราก็ตาม แปลกใจว่าทุกคนก็มีมุมนี้กันด้วยเหรอที่ไม่ได้มองนักแสดงกันเองเป็นตัวเขา เราว่าแค่นี้ก็น่าตื่นเต้นสำหรับชีวิตนักแสดงคนหนึ่งแล้ว”

เหตุผลอะไรที่ทำให้ตัวเองยังอยากเป็นนักแสดงอยู่?
แต้ว – “ความที่เราอยากจะเข้าใจตัวเองและเพื่อนมนุษย์ให้ลึกมากขึ้น การทำงานเรามันคือการพยายามเข้าใจคน ซึ่งมันไม่มีทางเข้าใจได้เคลียร์ เพราะความซับซ้อนของคนมันทำให้เราอยากจะเป็นคนที่ไม่ตัดสินอะไรง่ายๆ แล้วแต้วว่าอันนี้มันคือคุณสมบัติที่จะทำให้โลกและการแสดงมันยังน่าค้นหาอยู่ อันนี้เลยเป็นจุดที่ทำให้รู้สึกว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดกับงานแสดง และยังทำมันต่อไปได้เรื่อยๆ”

มองเรื่องการแคสต์งานต่างประเทศบ้างไหม?
แต้ว – “แต้วว่ามันไม่จำเป็นว่าเราต้องออกไปทำงานต่างประเทศหรืออะไร แต่มาหากันดีกว่าว่าจุดไหนที่เราจะเอ็นจอยกับมันแล้วรู้สึกมีแพสชั่นทั้งคนทำและคนดู อันนี้น่าสนใจมากกว่าว่าเราจะพัฒนาฝ่ายโปรดักชั่นของเราทุกฝ่ายให้เป็นที่ยอมรับในพื้นฐานของคนดูประเทศไทยเราเอง อันนี้คิดว่าเป็นโกล์ที่ทุกคนกำลังทำกันอยู่ แต่ถ้ามีโอกาสแคสต์งานต่างประเทศก็ทำค่ะ จริงๆ มีติดต่อมา แต่เราไม่มีประสบการณ์ในการไปทำงาน ก็ต้องชั่งน้ำหนักว่าเราจะได้อะไรจากตรงนั้นในแง่มุมมองการทำงานใหม่ๆ ค่ะ”

แล้วกับงานเบื้องหลังล่ะ?
แต้ว – “(หัวเราะ) ไม่ดีกว่า ชัดเจนเลย เพราะรู้สึกว่าในฐานะนักแสดงคนหนึ่งมันหนักพอแล้วสำหรับเรา เราไม่สามารถจะรับมือทุกอย่างได้ ความสุขของเราคือการรับผิดชอบตัวละครตัวหนึ่งมากกว่าที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง ลองวิเคราะห์คร่าวๆ คนที่จะอยู่จุดนั้นได้ต้องมีองค์ความรู้ ในการบริหารเก่งมากๆ เพราะการบริหารธุรกิจกับการบริหารคนตรงนี้ไม่เหมือนกัน แล้วสุดท้ายมันไปเป็นผลลัพธ์ที่เป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง เป็นอีกศาสตร์หนึ่งเลย แม้แต่ตอนนี้ที่เราเป็นนักแสดงเราก็ไม่ได้จบการแสดงมาโดยตรง เรายังต้อง Learning by doing อะไรอยู่ ขนาดเราทำมาเยอะเรายังต้องเรียนรู้ตรงนี้อีกตั้งเยอะ แล้วชีวิตที่เหลือเราคงอยากจะทำส่วนที่เรามีต้นทุนตรงนี้มาให้มันดีก่อนที่เราจะต้องไปเรียนรู้อะไรใหม่”

ชีวิตดูแฮปปี้มาก?
แต้ว – “บาลานซ์อ่ะค่ะ มันก็มีช่วงที่ไม่แฮปปี้แต่เราก็พยายามดึงตัวเองขึ้นมา หรือจุดที่เราแฮปปี้มากๆ เราก็ต้องลงๆ มาหน่อยบาลานซ์หน่อย”

ถูกจับตาเรื่องความรักมาตลอด ชินหรือยัง?
แต้ว – “เราก็จับตาเหมือนกัน (หัวเราะ) ตอนนี้ก็ดีค่ะ จริงๆ มีทั้งดีและไม่ดี แต่ก็ไม่อยากโชว์ด้านไม่ดีให้คนอื่นเห็น เราไม่อยากเป็นตัว Toxic อ่ะค่ะ ถามว่ามีตีกันบ้างไหม ไม่ได้ตีกันแบบเรื่องใหญ่โต แต่เป็นเรื่องทางความรู้สึกมากกว่า หมายถึงว่าเขาคิดยังไง เราคิดยังไง เพราะเราเองก็โตแล้วไม่อยากจะรีแอ็กต์กลับไปแบบเด็กๆ แต่เราต้องเป็นคนมีเหตุผลและพยายามเข้าใจว่ามันเป็นที่เขาหรือที่เรา ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ค่ะ”

คู่เรามีกฎอะไรไหม?
แต้ว – “ไม่ได้มีกฎอะไรค่ะ เหมือนยังเป็นช่วงคุยกันแชร์กัน เพราะต่างคนต่างมีงานที่ต้องรับผิดชอบเยอะ บางทีก็ไม่อยาก เอาด้านลบๆ มากวนใจกันมาก เลยเหมือนรักษาน้ำใจกันมาก จนบางทีแต้วรู้สึกว่าถ้าเราไม่ชอบอะไรยังไงอาจต้องพูดกันมากขึ้น เราจะได้เป็นจุดสบายของกันและกัน”

ภาพและแคปชั่นในโซเชี่ยลที่ลงหวานๆ มีเขินกันเองบ้างไหม?
แต้ว – “สำหรับเราเวลาจะลงอะไรไม่ให้ดูก่อนค่ะ เราทำตามหัวใจเท่านั้น ไม่บอกก่อน เพราะถ้าบอกเดี๋ยวจะไม่กล้าลงไง ทุกอย่างที่ลงไม่ใช่ว่าจะอวดหรืออะไร แค่เรารู้สึกว่าอยากเก็บมวลความรู้สึกเราไว้ ภาพมันเล่าไม่พอเราก็อาจจะเพิ่มความคิดอะไรให้เป็นฟีลลิ่งเข้าไปในแคปชั่น จริงๆ ทางฝั่งเขาไม่ค่อยลงอะไรเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นเรานี่แหละที่เพ้อเจ้อ เต็มที่แค่เขาลงรูปแล้วแท็กเรา เราก็แบบ…ดีใจแล้ว โอ๋ย! ไม่น่าบอกเลย ไม่เท่เลยอ่ะ (หัวเราะ) ส่วนเขาเวลาที่เราลงอะไรแบบนั้นเคยเห็นเขาเขินบ้าง แต่จะเก๊กๆ ตามสไตล์เขา”

มองอนาคตร่วมกันไว้บ้างไหม?
แต้ว – “มองนะคะ ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรามองแบบยาวๆ อยู่แล้ว แต่ชีวิตไม่คาดหวังอ่ะดีที่สุด เราแค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดจะได้ไม่เสียใจกับความตั้งใจของเรา เพราะวันพรุ่งนี้มันก็อยู่ที่วันนี้แหละว่าเราให้ใจเต็มที่กับมันแค่ไหน”

ไม่รีบแต่งงานใช่ไหม?
แต้ว – “เวลาวินาทีมันก็เดินเท่ากันไง มันรีบไม่ได้ค่ะ ก็ต้องไปเรื่อยๆ อยากแต่งงานไหม อยากค่ะ มองว่าเราก็เป็นคนที่น่าจะมีครอบครัว คือเห็นภาพรางๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าต้องปีนี้ปีนั้น มันก็ยังมีความหวั่นๆ ว่าเราจะได้ไหม เพราะอนาคตก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง เราจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีของเขาหรือเปล่า มันมีคำถามตีกันในหัว แต่ทุกอย่างอยู่ที่เวลาที่จะเรียนรู้ตัวเราเองและคนอื่นด้วย”

มองภาพตัวเองเป็นแม่ออกไหม?
แต้ว – “อันนั้นรางมากๆ ค่ะ แต่ก็อยากนะ เห็นคนอื่นมีลูก แต่ยังนึกภาพตัวเองไม่ออกค่ะ”

นิยามความรัก?
แต้ว – “ในวัยนี้แต้วว่าความรักเป็นเรื่องของความเข้าใจ รีแล็กซ์ สบาย เพราะแต้วรู้สึกว่าความรักต้องเป็นอะไรที่เราไม่ต้องพยายาม ต่างคนต่างเป็นตัวเองได้ แล้วเราก็พร้อมจะเข้าใจและเห็นใจกัน เรียกว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ที่จะไม่ได้มาเอาอะไรจากกันและกัน เพราะว่าโลกข้างนอกมันเหนื่อยมากแล้ว”

จิรณัฏฐ์ จงประสพมงคล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน