ในงานประชุม IMCAS Asia 2022 ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค. ที่โรงแรมดิ แอทธินี กทม.

คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชั้นนำระดับนานาชาติ Aesthetic Council for Ethical use of Neurotoxin Delivery (ASCEND) ได้จัดเวทีเสวนาพร้อมเผยบทความฉันทามติ หรือเอกสารวิชาการจากการวิจัยที่ได้รับการเห็นพ้องจากคณะแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามชั้นระดับนานาชาติ ASCEND ว่าด้วยหัวข้อ ‘อุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ของคนไข้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อเสนอแนะเพื่อลดความเสี่ยง’ ซึ่งเรียกร้องให้เกิดการตระหนักรู้และเพิ่มการรณรงค์ในหมู่ผู้ปฏิบัติงานด้านความงาม เกี่ยวกับความเป็นไปได้ของความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดื้อต่อ Botulinum Toxin A อย่างต่อเนื่อง ที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนไข้ที่รับบริการเสริมความงาม

สำหรับการฉีด Botulinum Toxin A (BoNT-A) หรือโบท็อกซ์เป็นวิธีการเสริมความงามที่ใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก ตั้งแต่ ค.ศ. 1999 และยังเป็นตัวเลือกในการรักษาลำดับต้นๆ สำหรับโรคหลายอย่าง เช่น คอบิดเกร็งและภาวะกล้ามเนื้อแขนขาหดเกร็ง เป็นต้น

ผลที่ได้จากการใช้โบท็อกซ์จะอยู่เพียงชั่วคราวและสลายไปตามกาลเวลา ส่งผลให้ต้องฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ที่ต้องการ

อย่างไรก็ตาม การได้รับโบท็อกซ์ ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นโครงสร้างโปรตีนของเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ได้มีในร่างกายมนุษย์ จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดี หรือภูมิคุ้มกัน หมายถึงการที่ผลลัพธ์จากการรักษาลดลงหรือไม่เกิดขึ้นเลย หลังจากการรักษาครั้งที่สองเป็นต้นไป ซึ่งแตกต่างจากผลลัพธ์ที่ได้ตามต้องการในการรักษาครั้งแรก

จากงานวิจัยผู้บริโภค ซึ่งจัดทำโดย Merz Aesthetics ร่วมกับ Frost & Sullivan ในปี พ.ศ.2561 และ พ.ศ.2564 ตามลำดับ พบว่ามีคนจำนวนเพิ่มมากขึ้นตอบว่าประสิทธิผลของการรักษาด้วย โบท็อกซ์ลดลง ร้อยละ 69% ในปี พ.ศ.2561 เทียบกับ ร้อยละ 79% ในปี พ.ศ.2564 ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่จะแก้ไขปัญหาโดยการไปฉีดซ้ำบ่อยขึ้นและในปริมาณที่มากขึ้น

ด้วยเหตุนี้ บทความฉันทามติ “อุบัติการณ์การดื้อต่อโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ ของคนไข้ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และข้อเสนอแนะ เพื่อลดความเสี่ยง” จึงจัดทำขึ้นเพื่อสร้างการตระหนักรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่อโบท็อกซ์อย่างต่อเนื่อง และให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวปฏิบัติที่ดี รวมถึงให้ข้อพิจารณาบูรณาการด้านการแพทย์ ด้านจริยธรรม และด้านความงาม เพื่อการประเมินและบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการรักษาด้วยโบท็อกซ์ มักเป็นการรักษาตลอดชีวิต

โดยกลุ่มผู้เขียนบทความเห็นว่าการใช้ โบท็อกซ์ ที่กระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันในระดับต่ำ จะเป็นวิธีการลดความเสี่ยงที่ร่างกายจะเกิดภาวะดื้อต่อโบท็อกซ์

ดร.วิลสัน โฮ แพทย์ศัลยกรรมพลาสติก ผู้อำนวยการ The Specialists : Lasers, Aesthetic & Plastic Surgery จากฮ่องกง หนึ่งในผู้เขียนบทความ ให้ความเห็นว่า การเกิดภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านโบท็อกซ์ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการประสาทวิทยา เคสที่ได้รับการรายงานก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการรักษาทางระบบประสาท ซึ่งใช้ขนาดยาที่สูงกว่าที่ใช้เพื่อการเสริมความงามอย่างมาก

อย่างไรก็ตามแนวโน้มปัจจุบันในการใช้เพื่อเสริมความงามแสดงให้เห็นว่าการใช้โบท็อกซ์ เพื่อเสริมความงามขยายอย่างรวดเร็วไปสู่การใช้ลดขนาดกล้ามเนื้อกราม และไม่นานมานี้ มีการนำไปใช้กับส่วนอื่นๆ ของร่างกายด้วย

ดังนั้น ขนาดยาทั้งหมดที่ใช้ในกระบวนการเสริมความงามอาจสูงเท่ากับที่ใช้ในการรักษาทางการแพทย์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเสริมความงามยึดถือกันมา ฉะนั้น ความเสี่ยงที่คนไข้จะสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านโบท็อกซ์ก็จะเพิ่มมากขึ้น เรากำลังเรียกร้องให้แพทย์และผู้เกี่ยวข้องทั้งหลาย ร่วมมีบทบาทในการลดปัจจัยความเสี่ยงต่อภาวะดื้อต่อโบท็อกซ์โดยขอให้พิจารณาประวัติ การรักษาของคนไข้ รวมถึงการใช้โบท็อกซ์ในการรักษาข้อบ่งใช้ที่หลากหลาย โดยแนวทางต่างๆ อย่างละเอียด และชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบทางเลือกการเลือกรักษา ตลอดทั้งประวัติการรักษาของคนไข้ จากมุมมองทางการแพทย์ การใช้สูตรโบท็อกซ์ในขนาดที่ต่ำที่สุดเท่าที่ทำให้เกิดผล จะต้องเว้นระยะเวลาการใช้ให้เหมาะสม จึงจะช่วยจำกัดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านได้ดี

ข้อเสนอแนะสำคัญอีกประการหนึ่งจากเอกสารฉบับนี้ คือความสำคัญของการสร้างการตระหนักรู้ในหมู่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะดื้อต่อโบท็อกซ์ ซึ่งเป็นการเรียกร้องให้มีแนวปฏิบัติที่เป็นการร่วมมือกันและยึดคนไข้เป็นศูนย์กลาง การประเมินรายบุคคล และการอธิบายอย่างครอบคลุมกับคนไข้ตั้งแต่ต้นเกี่ยวกับการรักษาด้วยโบท็อกซ์ และความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมถึงเกิดภาวะดื้อต่อ โบท็อกซ์ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการใช้เพื่อการรักษาทางการแพทย์ในอนาคต ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพอาจมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมให้คนไข้เข้าใจถึงผลกระทบของการรักษาต่อภาพรวมของสุขภาพในระยะยาว นอกเหนือจากผลลัพธ์ของการรักษาเพียงอย่างเดียว

ดร.ซาแมนตา เคอร์ หัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ ของ Merz Aesthetics กล่าวว่า เราไม่เพียงแต่มีความรับผิดชอบต่อลูกค้าของเราเท่านั้น แต่ต่อคนไข้ ของพวกเขาด้วย นี่จึงหมายความว่า เราจะต้องแน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ของเราได้รับมาตรฐานสูงสุดทั้งในแง่ความปลอดภัยและประสิทธิผล และจะทำให้ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์และสาธารณสุขสามารถแนะนำคนไข้ให้ตัดสินใจได้ถูกต้องสำหรับร่างกายและจิตใจของตนเอง

ลอเรนซ์ เซียว ประธาน (APAC) ของ Merz Aesthetics กล่าวเสริมว่า เป้าหมายของเราในการจัดทำงานวิจัยผู้บริโภค อาทิ ประสบการณ์การดื้อต่อโบท็อกซ์ของ ผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก” และบทความฉันทามติของ ASCEND เป็นการสร้างความเข้าใจและเพิ่มการตระหนักรู้ เกี่ยวกับภาวะการดื้อต่อโบท็อกซ์ เพื่อ ส่งเสริมอุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงามด้วยองค์ความรู้ทางการแพทย์ และเพื่อทำให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้นว่าคนไข้จะได้รับความปลอดภัยและมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว เรามุ่งเน้นการขับเคลื่อนการตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้มาโดยตลอด ดังนั้น ผู้บริโภคสามารถมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาในอนาคตร่วมกับแพทย์อย่างสมเหตุสมผล

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน