ยังคงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ-อีสาน ซึ่งล่าสุดส่งผลกระทบมาถึงภาคกลาง กทม.และปริมณฑล

เพราะแม้สถานการณ์ฝนจะบรรเทาลงแล้ว แต่ปริมาณน้ำที่ค้างอยู่กลับยังมีอยู่จำนวนมาก กระทบต่อพื้นที่เศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างรุนแรง

บางพื้นที่ท่วมต่อเนื่องนานนับเดือน หรือกระทั่งหลายเดือนก็มี

น่าเสียดายที่การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล และการลงพื้นที่ถี่ยิบของนายกฯ และรองนายกฯ กลับไม่สามารถทำให้ปัญหาทุกอย่างบรรเทาเบาบาง

แถมยังทำให้เกิดสะทกสะท้อน สงสารตัวเองที่ต้องเผชิญชะตากรรมที่ปราศจากทางออก

ไม่ว่าจะเป็นน้ำไม่ท่วมเหมือนปี 2554 บ้าง แต่ข้อเท็จจริงคือบางพื้นที่ท่วมล้ำไปแล้ว และถึงแม้หลายพื้นที่จะไม่ท่วมเท่าเมื่อปี 54 แต่ความเดือดร้อนเสียหายที่เกิดขึ้นจะบอกว่าน้อยกว่า ก็คงไม่ใช่

หรือกระทั่งการพร่ำบอกว่าเป็นห่วงเป็นใย ให้ปรับตัวอยู่กับน้ำให้ได้ ล้วนเป็นวาทกรรมที่สะท้อนถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ

เมื่อไหร่จะเข้าใจว่าการลงพื้นที่ไปยืนโบกไม้โบกมือ ทำสัญลักษณ์ไอเลิฟยู ทุบอกตัวเอง มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาแต่ อย่างใด








Advertisement

ไม่เท่านั้นหลายครั้งที่ลงพื้นที่ ตร.-ทหารต้องมาปิดถนน เฝ้าสกรีนคนหวั่นม็อบจะประชิดตัว หวาดผวากันไปทั้งหมด

จนเกิดคำถามว่าไปให้คนอื่นเขาเดือดร้อนทำไม!??

ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบ รวมทั้งคำถามที่อยากรู้ว่า รัฐบาลจะระบายน้ำออกจากพื้นที่ได้เมื่อไหร่ เส้นทางน้ำผ่านไป ทางไหน

หลังจากวิกฤตแล้ว การเยียวยาจะเป็นอย่างไร

ทั้งหมดล้วนพร่าเลือนไม่มีรูปแบบที่ชัดเจนมีประสิทธิภาพ

จึงไม่แปลกที่จะเห็นม็อบจี้เปิดประตูน้ำที่นั่นที่นี่ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ก็สนับสนุน หวังคะแนนเสียง หวังความนิยม จนทำให้แผนระบายน้ำไม่เป็นชิ้นเป็นอันทั้งที่ใช้งบประมาณมหาศาลเป็นหมื่นเป็นแสนล้านไปแล้ว

จนอดไม่ได้ถึงแผนบริหารจัดการน้ำในสมัยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่หากไม่ถูกรัฐประหาร ก็น่าจะมีอะไรเป็นชิ้น เป็นอัน

ไม่ใช่ฝนตกก็น้ำท่วม ฝนไม่มีก็แล้งทันทีแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้!!

เป็นบทเรียนผลพวงรัฐประหาร ที่กระทบชีวิตประชาชนอย่างชัดเจน!!

รุก กลางกระดาน

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน