กกพ.ชี้ค่าไฟฟ้างวดต่อไป เดือนพ.ค.-ส.ค.2566 ภาคครัวเรือนจ่ายเพิ่มแตะ 5.24 บาทต่อหน่วย โยนรัฐชี้ชะตากำหนด 2 ราคาเหมือนปัจจุบัน ช่วยประชาชน

นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงาน คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ในฐานะโฆษก คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กกพ.อยู่ระหว่างรวบรวมปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ทั้งราคาก๊าซธรรมชาติ (แอลเอ็นจี) กำลังการผลิตก๊าซจากอ่าวไทย อัตราค่าเงินบาท ความต้องการใช้ไฟฟ้า และปัจจัยต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมมติฐานที่ตั้งไว้ เพื่อประกอบการพิจารณาคำนวณต้นทุนค่าไฟฟ้างวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2566 กกพ. ให้มี ความชัดเจนในช่วงเดือน มี.ค.นี้

“หากสมมติฐานต่างๆ ไม่เปลี่ยนแปลงอัตราค่าไฟฟ้าของประเทศ ก็อยู่ในระดับประมาณ 5.2407 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเป็นอัตราเดียวกันทั้งประเทศ หากภาครัฐไม่มีนโยบายกำหนดให้ กกพ.คำนวณอัตราค่าไฟฟ้าเป็น 2 กลุ่มเหมือนช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.2566”

นายคมกฤชกล่าวอีกว่า ในระยะสั้นโอกาสที่จะเห็นอัตราค่าไฟฟ้าปี 2566 กลับไปต่ำกว่า 4 บาทต่อหน่วย คงเป็นเรื่องยาก เนื่องจากกำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยยังไม่เป็นไปตามแผน อีกทั้งต้นทุนราคาพลังงานยังทรงตัวในทิศทางขาขึ้น แต่หากกำลังการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยเพิ่มขึ้น และราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) อ่อนตัวลง ก็มีโอกาสที่ค่าไฟฟ้าจะทยอยปรับลดลงได้ในช่วงปลายปี 2566 หรือต้นปี 2567

ที่ผ่านมา รัฐบาลมีนโยบายแบ่งอัตราค่าไฟฟ้าเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยคิดอัตรา เรียกเก็บเฉลี่ย 4.7176 บาทต่อหน่วย และกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่น (ที่ไม่ใช่บ้านอยู่อาศัย) คิดอัตราเรียกเก็บเฉลี่ย 5.3325 บาทต่อหน่วย ซึ่งหากรัฐบาลมีนโยบายให้กำหนดอัตราค่าไฟฟ้าแยกเป็น 2 กลุ่มตามเดิม กกพ.ก็พร้อมดำเนินการตามนโยบาย

สำหรับแนวทางการกำกับกิจการของ กกพ. จากนี้ไปจะสร้างกลไกเพื่อเพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงานทั้งกิจการก๊าซธรรมชาติที่อาจมีการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อรองรับการแข่งขัน และสนับสนุนการใช้พลังงานสีเขียวในราคาที่ยอมรับได้ เช่น ไฟฟ้าสีเขียว (Green Tariff) ที่ออกแบบให้มีการขายไฟฟ้าพร้อมใบรับรอง (Rec) ที่สามารถระบุที่มาของแหล่งผลิตไฟฟ้าเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับ ภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการใช้ไฟฟ้าสีเขียว

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน