เข้าใจจริงๆ ว่า เมื่อช่วงใกล้จะมีการเลือกตั้ง บรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ก็ต้องออกนโยบาย แนวทางต่างๆ เพื่อจะสร้างกระแส สร้างความนิยมให้ประชาชน เป็นสิ่งจูงใจให้เลือกเข้าไปในสภา
เช่นเดียวกับพรรคภูมิใจไทย ที่มีหัวหน้าพรรคคือนายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่ประกาศในเวทีหาเสียงในพื้นที่กทม.
ระบุจะลงนามให้ใครที่ถือครอง ยาเสพติดเกิน 1 เม็ดผิดกฎหมาย และนี่คือการประกาศสงครามกับยาเสพติด
แน่นอนว่าสังคมย่อมเข้าใจได้ว่านี่คือแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดของพรรคภูมิใจไทย
แม้ต่อมาภายหลังจะออกมาอธิบายว่าเป็นข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อแก้ไขกฎกระทรวง และต้องเข้าครม.เพื่อพิจารณา
ไม่ได้เกี่ยวกับการหาเสียง หรือพรรคการเมือง
แต่เมื่อนำประเด็นดังกล่าวไปปราศรัยหาเสียง ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่าปัญหา ยาเสพติดเป็นเรื่องที่ลุกลามบานปลายกัดกินสังคมไทยอย่างแท้จริง
Advertisement
แต่การแก้ไขอะไรย่อมต้องมองอย่างรอบด้าน ไม่เช่นนั้นก็เกิดปัญหาซ้ำรอยกับเรื่องกัญชาเสรี ที่นายอนุทินลงนามใน คำสั่งปลดพ้นบัญชียาเสพติด โดยไม่มีกฎหมายควบคุมจนเกิดสุญญากาศทางกฎหมาย ที่ปัจจุบันยังมีปัญหาอยู่
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องทบทวนอย่างรอบคอบ
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการตีความทางกฎหมาย ที่จริงๆ แล้วการจะชี้ว่าเป็นผู้เสพหรือผู้ค้า ไม่ได้อยู่ที่จำนวนยาเสพติดเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่เจตนา หรือพฤติกรรมต่างๆ
การกวาดต้อนอย่างเหมารวมเช่นนี้จะกระทบต่อการใช้ดุลพินิจทางกฎหมาย ถึงขั้นถามกันว่าอาจเป็นใบอนุญาตให้ ยัดยา เป็นเส้นทางทำกินของเจ้าหน้าที่นอกรีตด้วยหรือไม่อย่างไร
อีกทั้งการบำบัดรักษาที่เคยมองว่า ผู้เสพเป็นผู้ป่วย จะถูกปฏิเสธดูแลรักษาอันทำให้คนที่ควรมีโอกาสกลับตัว หมดอนาคตไปได้ง่ายๆ
จริงๆ แล้วก่อนจะไปถึงจุดนั้นก็ต้องตั้งคำถามว่าแล้วทำไมยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้า กระจายเข้ามาในประเทศในราคาถูกเช่นนี้ได้อย่างไร
มีโรงงานผลิตที่ไทย หรือมีกระบวนการลักลอบเข้ามา โดยเจ้าหน้าที่ ไม่สามารถสกัดป้องกันได้ หรือมีอะไรซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากไปกว่านั้น
การพูดแล้วทำเป็นเรื่องดี แต่ก็ต้องมีเรื่องสติปัญญาเข้าไปเกี่ยวข้อง
ไม่เช่นนั้นปัญหาก็ลุกลามเสียหายยิ่งกว่าเดิม!!