‘อนันดา’ซึมซับ‘ขุนพันธ์’
ทุ่มเทกว่า10ปีมีดีเอ็นเอในตัว

อาทิตย์ใส

ผูกขาดตัวละคร ‘ขุนพันธ์’ ในภาพยนตร์ “ขุนพันธ์” มานานกว่า 10 ปี โดยล่าสุดพระเอกมาดเซอร์ ‘อนันดา เอเวอริงแฮม’ ได้ถ่ายทอดบทบาทตัวละครดังกล่าว เดินทางมาถึงภาค 3 ภาคปิดของภาพยนตร์เรื่องนี้

โดยเขาได้ปะทะบทบาทกับ ‘โอ้’ มาริโอ้ เมาเร่อ และ ‘โตโน่’ ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ 2 นักแสดงมากฝีมือที่ถ่ายทอดบทบาทตัวละครสำคัญ ‘เสือมเหศวร’ และ ‘เสือดำ’

อยากให้พูดถึงตัวละคร “ขุนพันธ์” ที่เรามีโอกาสได้อยู่กับตัวละครตัวนี้มาตลอดระยะเวลา 10 ปี?
อนันดา – “ขุนพันธรักษ์ราชเดชเป็นนายตำรวจดังผู้เป็นตำนานของเมืองไทย สิ่งที่ดังที่สุดคือเป็นตำรวจที่มีอาคมหนังเหนียว ยิง ไม่เข้า และมีตำแหน่งเป็นขุน คนสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ท่านมีสัญลักษณ์ประจำตัวคือหนวดเขี้ยว ประวัติที่เป็นตำนานก็จะเป็นเรื่องความกล้าหาญและเรื่องราวการปราบเสือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเสือฝ้าย, เสือใบ, เสือเบี้ย, เสือดำ, เสือมเหศวร และอีกหลายเสือ อาวุธของท่านที่ดังมากคือดาบแดงซึ่งในขุนพันธ์ 3 นอกจากจะได้เห็นดาบแดงแล้ว จะได้เห็นท่านใช้อาวุธและอาคมที่หลากหลายมาก”

ความรู้สึกที่กลับมารับบทขุนพันธ์ อีกครั้ง ในหนังภาค 3?
อนันดา – “อย่างแรกคือดีใจ ทีมงานยังเป็น ทีมเดิม ได้ร่วมงานกันจนเป็นเหมือนครอบครัว แต่ขณะเดียวกันก็มาด้วยความแหยง เพราะไม่มีภาคไหนที่ไม่เหนื่อย โคตรของโคตรเหนื่อยทุกภาค เป็นหนังที่เหนื่อยที่สุดที่เคยเล่นมา ภาคล่าสุดนี้ก็เหมือนกัน เพียงแต่ไอ้ความโคตรเหนื่อยนี่แหละคือความเป็นหนัง ขุนพันธ์ ถ้าวันไหนถ่ายฉากที่แค่อยู่ในห้อง มีแอร์ มันก็ยังไม่ใช่ ถ้าจะให้รู้สึกถึงแก่นแท้ของหนัง ขุนพันธ์ ต้องออกไปถ่ายข้างนอก ต้องออกไปบู๊ ออกไปเหนื่อยจนเหงื่อท่วม แล้วกลับไปบ้านคือสลบ อันนี้คือฟีลลิ่งของหนัง ขุนพันธ์ ที่แท้จริง”

ตัวละครขุนพันธ์ในภาค 3 คนดูจะได้เห็นพัฒนาการอะไรที่แตกต่างไปจากสองภาคที่ผ่านมาบ้าง?
อนันดา – “ภาคนี้จะเป็นภาคที่เราได้เห็นด้านที่เป็นมนุษย์มากที่สุดของท่านขุน ซึ่งจะมีเรื่องราวครอบครัวท่าน การที่ท่านกำลังจะเป็นคุณพ่อคนใหม่ ความสัมพันธ์กับภรรยา รวมถึงอะไรที่มันซับซ้อน กว่านั้น ไม่ว่าจะเรื่องความกลัวตาย การมีชีวิตเพื่อคนอื่น เรื่องที่เขาคือสัญลักษณ์ของฮีโร่ ภาคนี้ขยายความว่าสัญลักษณ์คืออะไร ความหมายของมันคืออะไรเพื่อจะ inspire คนอื่นหรือท่านอาจไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ก็ได้ จริงๆ ท่านก็เป็นแค่นายตำรวจคนหนึ่งที่มีครอบครัวและมีเป้าหมายความต้องการที่ไม่ได้ต่างจากคนทั่วๆ ไป ภาค 3 จะได้เห็นมุมของท่านที่มีความลังเล ไขว้เขว ถึงขั้นเศร้า ผิดหวัง เป็นมุมมองที่ในฐานะของนักแสดงเราก็ ค่อนข้างชอบ เพราะมันเปิดพื้นที่ให้กับตัวละครตัวนี้เพิ่ม ภาคนี้จะเห็นมุมที่เป็นคนธรรมดาๆ ทั่วไปมากขึ้น ไม่ต้องแคร์เรื่องความเป็นซูเปอร์ฮีโร่อยู่ตลอดเวลา”








Advertisement

ภาคนี้ขุนพันธ์ต้องปะทะกับสองเสือร้าย คือ เสือมเหศวร กับ เสือดำ?
อนันดา – “ภาคนี้เราต้องเจอกับ เสือดำ ซึ่งได้ โตโน่ ภาคิน มาเล่น เสือดำจะป็น ตัวละครที่ดุเดือดมากมีวิชาอาคมไม่แพ้ท่านขุน และต้องปะทะกันด้วยความรุนแรงส่วนเสือมเหศวร ได้มาริโอ้ มารับบทบาทนี้ เสือมเหศวรจะใช้ไหวพริบ ความคล่องแคล่ว ความกะล่อนในการเอาตัวรอด ซึ่งทั้งสองคนเป็นเสือที่อาคมแกร่งกล้าเมื่อไหร่ที่ท่านขุนต้องมาปะทะกับทั้งคู่มันจะเป็นคนละฟีลกันเลย”

การร่วมงานกับ โตโน่ และมาริโอ้ เป็นอย่างไรบ้าง?
อนันดา – “กับมาริโอ้ ที่รับบทเสือมเหศวร โอ้เขาจะเป็นคนเฟรนด์ลี่มากๆ เคยร่วมงานกันมาแล้ว สนิทสนมกัน ตอน เข้าฉากกับโอ้จะค่อนข้างสบาย ก็มีคุยกันเพราะเราทั้งคู่ต่างชอบสะสมของเก่า ผมกับโอ้เวลาถ่ายจะมีความสัมพันธ์ที่ต่างกับตอนที่ผมเข้าฉากกับโตโน่ ถ้าเข้าฉากกับเสือมเหศวร ความรู้สึกจะคลายกว่าตอนเข้าฉากกับเสือดำ เพราะเสือมเหศวรกับขุนพันธ์ไม่ได้มีความแค้นอะไรระหว่างกัน และผมเองยังรู้สึกว่ามันก็เป็นการดีที่เรามีเสือมเหศวรในลุกส์ใหม่ๆ แทนที่จะมาแบบหน้าเขลอะๆ ดูก็รู้ว่าเป็นโจร แต่เสือมเหศวรของมาริโอ้มาแบบหน้าใส กะล่อนๆ หน่อย ผมว่าทำให้ตัวละครดูกลมดี มันไม่ได้เข้าไปในโลกของโจรแล้วทุกคนต้องหน้าเป็นโจรกันไปหมด”

“ส่วนโตโน่ ที่มาในบทเสือดำ โตโน่มาเต็มมากในภาคนี้ทั้งที่ปกติโตโน่จะเป็นคนขี้เล่น สบายๆ แต่พอมาอยู่ในกองถ่าย ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นเสือดำตลอดเวลา แค่โตโน่ เดินเข้าฉากผมรู้สึกได้เลยว่า เขาอยากลองมาเป็น method คืออยู่กับตัวละครตลอดเวลา ซึ่งในแง่การแสดงปกติผมจะเป็นลูกผสม คือมีความเป็น method และมีความเป็นเทคนิคัลอยู่ด้วย พอเขามาเป็นตัวละครอยู่ตลอดเวลา เราก็ไม่อยากไปทำลายสมาธิ ตรงนั้น ถ้าเข้าฉากกับโตโน่ก็คือเป็นศัตรูกัน เราต้องเก็บพลังตรงนั้นไว้ แต่เวลาเดียวกันมันก็จะมีมุมเทคนิคัลที่ผมผสมเข้าไปเพื่อให้ผมเข้าหาตัวละครได้เร็วขึ้น ผมจะมีวิธีการขยับการเดินเพื่อให้คุ้นเคย หรือแม้กระทั่งชุดเสื้อผ้าที่ใส่ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ถือเป็นความโชคดีของผมที่เคยรับมือกับพี่น้อย (กฤษฎา) มาก่อนตั้งแต่ภาคแรก เพราะโตโน่เองมีความเป็นพี่น้อยเวอร์ชั่น 2 คือมาแบบรู้สึกได้ถึงความอำมหิตของตัวละครในทันที”

จนถึงวันนี้ที่หนังเดินทางเป็นเวลา 10 ปี ส่วนตัวรู้สึกอย่างไรบ้าง?
อนันดา – “ผมอยู่กับเนื้อหานี้มาประมาณ 11 ปี จำได้ว่าผมเข้ามาทำภาคแรกผมอายุ 29 แล้วตอนนี้ผมอายุ 40 เหตุผลหนึ่งที่แต่ละภาคมันจะมีช่วงอยู่ประมาณสองสามปี มันไม่ใช่ว่าทำต่อเนื่องเลยไม่ได้ แต่เนื่องจากมันเป็นโปรเจ็กต์ที่ค่อนข้างยาก และใช้พลังงาน ค่อนข้างสูง พอจบแต่ละภาคก็เหมือนต้องไปรีเซ็ตตัวเอง เพราะมันเหนื่อยจริงๆ เป็น โปรเจ็กต์ที่ต้องใช้เวลาระหว่างทาง แบบว่าโอเคพอเราจะเข้าสู่ช่วงถ่าย พอถึงตอนเปิดกล้องอย่างภาค 3 ก็จะเป็นความรู้สึกทำใจก่อน เตรียมจิตใจ ร่างกาย ทุกอย่างให้แข็งแรง เพราะมันไม่จบง่ายๆ แน่”

“มันไม่ใช่แค่การถ่ายทำที่มันยากนะ มันต้องจัดการความท้อกับความเหนื่อยด้วย เพราะมันจบฉากแต่ละฉากได้ยากเหลือเกิน ถ่ายกันจริงๆ ต้องเสร็จกันตั้งแต่ 4 โมงเย็น แต่นี่ตี 4 แล้วทำไมยังไม่หยุดถ่ายกันเลย อย่างฉากใหญ่ที่เป็นชุมโจรที่กาญจนบุรี เขาเซ็ตไว้ 4 วัน แต่เบ็ดเสร็จถ่ายกันไป 10 กว่าวัน มันเหนื่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย เพราะมันมาถึงภาค 3 แล้ว มันอาจจะเหนื่อยถึงขั้นท้อ แต่ผมก็เห็นสปิริตของทุกคน เห็นความเหนื่อยความท้อ แต่มันไม่เคยยอมแพ้ จนถึงวันปิดกล้องมันคือโล่งอก เหมือนเอาน้ำหนักมหาศาลออกจากบ่า แต่พอผ่านมาประมาณอาทิตย์หนึ่ง รู้สึกใจหาย พวกโมเมนต์เหล่านี้ที่เรา ได้อยู่กับโปรเจ็กต์นี้มันค่อนข้างมีเอกลักษณ์มาก และเราก็เป็นนักแสดงที่โชคดีมากคนหนึ่งที่ได้มีโอกาสมารับบทนี้และได้อยู่กับมันเป็น 10 ปี ได้เป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์ไตรภาค เป็นตัวละครที่เป็น ไอคอนนิคทั้งสำหรับตัวละครที่อยู่ในวงการบันเทิง ทั้งตัวละครที่อยู่ในตำนานของไทย พอมานึกถึงทั้งหมดนี้มันใจหายเหมือนกันหรือว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ ที่เรามีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ พอมันตกผลึกแล้ว คุณค่ามันเพิ่มขึ้น”

ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา หนังขุนพันธ์ ได้ให้อะไรกับอนันดาบ้าง?
อนันดา – “ในฐานะนักแสดงคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเราเป็นลูกศิษย์ของศาสตร์นี้ เราเป็น ลูกศิษย์ที่มีครู และศรัทธากับศาสตร์นี้จริงๆ สิ่งที่ให้ค่ากับอาชีพของเราคือตัวละครของเรา ถ้ามันมีชีวิตจริงๆ มันก็เกิดคุณค่าขึ้นมา มันไม่ได้เป็นแค่ extension ของตัวผม แต่มันคือสิ่งที่มีเลือดเนื้อและชีวิตจริงๆ และถ้าเราสร้างตรงนั้นขึ้นมาได้ หรือเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกนั้น มันก็ไปสร้างคุณค่าให้กับคนดูอีกทีหนึ่ง”

“สำหรับตัวละครขุนพันธ์ ผมรู้สึกว่าเป็นตัวละครที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของดีเอ็นเอในตัวผมไปแล้ว มัน 10 ปีของชีวิตผมเลยนะ คือ 1 ใน 4 ของชีวิตผมที่ผมต้องอยู่กับ ตัวละครนี้ มันคือเวลาครึ่งหนึ่งที่ผมอยู่ในวงการที่ผมอยู่กับตัวละครตัวนี้ จะไม่ให้มันซึมเข้ามาในร่างของผมเลยคงเป็นไปไม่ได้”

ทำไมทีมงานทุกคนที่มีส่วนร่วมกับหนังเรื่องนี้ถึงรู้สึกรักหนังเรื่องนี้?
อนันดา – “สำหรับผมแล้ว ถ้าในมุมของคนที่รักวงการหนัง รักการทำหนัง เขารู้กันอยู่แล้วว่าหนังอย่างนี้ไม่ได้ทำง่ายๆ และไม่ใช่หนังที่จะได้ ทำกันบ่อยๆ นานๆ จะเกิดขึ้นที กับการที่จะได้โชว์ทั้งเทคนิคต่างๆ เรียกว่าทุกแผนกได้โชว์ของ กันหมด ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ไปจนถึงเสื้อผ้าหน้าผม โปรดักชั่นดีไซน์ ซึ่งการที่เรามีชื่อติดอยู่กับโปรเจ็กต์นี้ผมเชื่อว่านี่คือสิ่งที่ ทุกคนภูมิใจมาก รวมทั้งตัวผมเอง”

“ผมภูมิใจในตัวละครนี้มาก เรารู้สึกว่าพอจบเฟสของเราไป คนอื่นก็อาจจะไปรับมือต่อได้ สมมติสิบปีผ่านไป เขาจะรื้อกลับมาทำอีกที ขุนพันธ์ก็ได้กลายเป็น ตัวละครที่เป็นอมตะไปแล้วครับ”

ติดตามข่าวสด

ข่าวเด่นประจำวัน