สมาคมผู้ค้าปลีกไทย แนะเร่งจัดตั้งรัฐบาลภายหลังเลือกตั้ง เพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เติมกำลังซื้อที่ยังเปราะบาง พร้อมระบุไตรมาส 2 ปีนี้ เตรียมปรับขึ้นราคาสินค้าอีก 5% หนีต้นทุนแพง
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งควรรีบจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อเร่งกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านการจ้างงาน และลดภาระ ค่าครองชีพ ต้องเน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ ผู้บริโภคระดับบน, ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน และระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน
“จะเห็นได้ว่าภาพรวมการค้าปลีกไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ ฟื้นตัวไม่เท่ากัน กำลังซื้อโดยรวมยังเปราะบาง ในกลุ่มฐานราก รวมทั้งภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจาก ค่าสาธารณูปโภค ทำให้เน้นซื้อสินค้าจำเป็น รัฐบาลใหม่ต้องเร่งเพิ่มรายได้กลุ่มฐานราก และเพิ่มการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อให้ค้าปลีกไทยเข้มแข็งอีกครั้ง”
นายฉัตรชัยกล่าวว่าขณะที่ผู้ประกอบการค้าปลีกประสบปัญหาค่าแรงงานแพง และแรงงานขาดแคลน เป็นปัญหาหลักของภาคค้าปลีกและบริการ รวมทั้งประสบกับภาวะต้นทุนที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งสมาคมฯ ได้สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับประเมินการใช้จ่ายของผู้บริโภค และการ ฟื้นตัวของธุรกิจค้าปลีกของผู้ประกอบการที่สำรวจระหว่างเดือนม.ค.-มี.ค. 2566 พบว่า 1. การประเมิน ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ต่อการปรับราคาสินค้า ผู้ประกอบการ 79% ระบุว่า ที่ผ่านมาธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนการดำเนินการที่เพิ่มขึ้น แต่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปสู่ราคาสินค้าได้บางส่วนเท่านั้น
2. แนวโน้มในการปรับราคาสินค้าเพื่อให้สอดรับกับราคาสินค้าในอีก 3 เดือนข้างหน้า 24% ไม่ปรับราคาเพิ่ม 43%, ปรับเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5%, 26% ปรับเพิ่มขึ้น 6-10% และ 7% ปรับเพิ่มขึ้น 11-20% และ3.ปัจจัยที่มีผลต่อการปรับราคาสินค้า อันดับ 1 ต้นทุนสินค้าเพิ่มสูงขึ้น อันดับ 2 ส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทั้งหมด อันดับ 3 ราคาสินค้า บริการอื่นที่ไม่ใช่ต้นทุนปรับสูงขึ้น
นอกจากนี้ได้มีประเมินโครงการกระตุ้นกำลังซื้อในภาคค้าปลีกช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ผ่านโครงการช้อปดีมีคืน (ระหว่าง 1 ม.ค.-16 ก.พ.66) พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ประเมินว่า โครงการช้อปดีมีคืน จะช่วยให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 43%, ยอดขายเท่าเดิม 50% ,ยอดขายเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% อยู่ที่ 7%
